เมื่อทริปที่เบอร์ลินจบลง
การได้ไปทำงานที่ใหม่ทำให้ผมต้องย้ายออกจากบ้านเด็กกำพร้าในอาทิตย์นี้เอง ทุกคนที่ทำงานที่บ้านเด็กกำพร้าถูกย้ายที่หมด ผมเองก็ต้องย้ายกลับไปที่หอพักเดิม (หอรูหนูที่โจเซ่มันทำรกๆไว้) เอาจริงๆแล้วที่นอนบ้านผีสิงก็ไม่ได้เลวร้ายนะ แต่มันจะน่ากลัวมากถ้านอนคนเดียว ดังนั้นการกลับไปนอนที่หอเดิมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อีกทั้งรายชื่อรูมเมทก็ถูกส่งมาแล้วด้วย เมทผมในอาทิตย์นี้ก็คือ มาริน่า สาวกรีก
เมื่อได้กลับมาถึงหอพักแล้วปรากฏว่า ไม่มีเตียงว่างให้นอนเลย(กูละเบื่อ) เตียงนึงนั้นเป็นของมาริน่า อีกเตียงเป็นของเอเรนและอีกเตียงนึงซึ่งมันควรจะเป็นของผม กลับเป็นของแฟร์รี่
“เห้ย เดี๋ยวนะนี่มึงต้องทำงานเมืองอื่นไม่ใช่หรอกหรอ” ถามไปถามมาได้ความว่าแฟร์รี่ต้องย้ายเมืองเช้าวันจันทร์
“เออดี แล้วกูละจะต้องนอนไหน?
เช้าวันทำงานในที่ใหม่วันแรกนั้นผมขอมาริอาหยุด เนื่องจากปัญหาการเดินทางไปทำงานและเรื่องที่พัก จึงไม่ได้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับที่ทำงานใหม่เลย แล้วผมก็ไม่อยากจะโทรไปถามเอสม่าด้วย การทำงานของผมจึงเริ่มเป็นวันถัดไปแทน และเมื่อวันถัดไปมาถึง ผมก็ต้องเดินทางไปทำงานด้วยตัวเอง เวลานี้ก็ต้องขอบคุณ Google Map อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้อัจฉริยะเสมอไปโดยเฉพาะกับพื้นที่ในป่า ใช่แล้วกูเกิ้ลพาผมมายังพื้นที่ป่าซึ่งมันดูหลอกๆอะนะ
“โรงเรียนบ้าอะไรจะมาตั้งในป่า”
แต่พอลองเดินรอบๆแล้วก็ต้องยอมแพ้ และต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ คือแม่งต้องมีโรงเรียนอยู่ในป่าแน่นอน แล้วก็ต้องเดินลุยเข้าไปด้วย การเดินทางเข้าป่านั้น กูเกิ้ลช่วยอะไรไม่ได้เลย จากนั้นไม่นานผมก็ค้นพบว่า
“Where am I?” กูอยู่ไหน
ใช่ครับกูหลงป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขึ้นชื่อว่าคำว่า “หลง” แม่งแย่อยู่แล้ว “หลงในป่า” คือความพินาศของการเดินทาง และ 1 ชั่วโมงไม่ได้ทำให้กูเจอโรงเรียนเลยจ้า ตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าจะเจอตัวอะไรไหม ขอแค่กูพบใครซักคนก็พอ
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการทำงานในป่านั้นกลับไม่ใช่การทำงานในป่า (งงมะ?) แต่กลับเป็นสังคมที่ไม่มีแม้แต่สายตาเยื้อใยให้กับพวกเรา วันแรกที่ผมมาทำงานในป่า ผมไม่ได้รับการต้อนรับจากครูที่นั่นเลย ครูที่นั่นไม่ถามแม้แต่ชื่อผมด้วยซ้ำ (รวมถึงการที่กูเดินหลงทางมาตลอดชั่วโมงสองชั่วโมงที่กล่าวไป) ทุกครั้งที่ผมเจอคือใบหน้าที่บูดบึ้งไร้ซึ่งความเป็นมิตร และดูเหมือนเด็กๆที่นั่นก็ไม่ได้อยากจะได้คนเทคแคร์แบบชาวต่างชาติซักเท่าไหร่ ผมรู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายแล้วเอสม่าก็คือคำตอบเดียวที่กูจะมีมนุษย์สัมพันธ์ได้ในป่าแห่งนี้ได้
“ทำไมครูที่นี่เค้าไม่ยิ้มเลย เค้าเคยยิ้มให้เอสม่าบ้างไม๊
เอสม่ามองมาด้วยสายตาที่มึงก็น่าจะรู้คำตอบ แล้วยังจะมาถาม
“ไม่เคย แต่ก็ช่างเถอะ ไอไม่แคร์อยู่แล้วเราก็อยู่ส่วนของเราไปเถอะไม่ต้องไปใส่ใจเขา แล้วไอก็เกลียดโปแลนด์เป็นที่สุด” (อารมณ์แบบมึงก็น่าจะรู้อยู่แล้วก็จะจะมาถามกูอี้กกก)
เออผมเองก็คิดไม่ออกเลยว่าครูที่นี่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูได้ยังไง แย่มาก นอกจากเรื่องแย่ๆของคนแล้ว การมาทำงานที่นี่นั้นผมต้องทำธุระส่วนตัวให้เสร็จเรียบร้อยทุกครั้ง ง่ายๆก็คือมึงควรจะถ่ายหนักถ่ายเบามาตั้งแต่ที่บ้านนั่นแหละ เพราะการมานั่งปลดทุกข์ใจกลางป่าแห่งนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้ชีวิตย้อนยุคไปเมื่อ 30 ปีก่อนซักเท่าไหร่ ในฐานะที่ผมมีประสบการณ์ด้านนี้มาพอสมควร ผมขอเตือนเลยว่า ทุกคนไม่ควรเข้าห้องน้ำในป่า (ในยุโรป)! ครั้งแรกที่ได้เรียนรู้คือตอนที่ผมได้ไปเดินป่ากับโฮสที่สุวอลกี (Suwalki) ภายนอกนั้นห้องน้ำก็ดูเป็นปกติ๊ ปกติ แต่เมื่อเปิดเข้าไปแล้วพวกมึงได้เจอกับนรกที่แท้จริงแน่นอน เพราะว่าส้วมในป่ามันเป็นส้วมแบบถังเก็บของเสียอะ เออยังไงดี เออเก็บขี้นั่นแหละ แล้วทีนี้มึงลองคิดสภาพนะ ทุกคนเข้าไปแล้วแบบมันก็กองๆทับๆอยู่ในโถส้วมนั้นอะลองจินตนาการว่าถ้าเราไปเปิดฝาส้วม แล้วเห้นขี้ทับถมกันเยอะๆ โอ้ย ขนลุก แค่นึกก็ได้กลิ่นแล้ว เอาเป็นว่าทุกเช้าควรทำธุระให้เสร็จมิเช่นนั้นมึงเจอนรกของจริงแน่ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
นอกจากเรื่องส้วมนรกนั่นแล้วก็มีเรื่องของเด็กๆ ที่นี่แม้งเล่นแบบลุยมากอะ เล่นดิน เล่นทราย กินอาหารที่ตกจากพื้น โอย สารพัด บางทีมือไปจับดินแล้วก็มาจับขนมจับไปจับมาแบบนี้เห็นแล้วปวดศีรษะ การที่พวกเด็กๆทำแบบนี้แล้วไม่ได้มายุ่งอะไรมันก็โอเคอยู่หรอกแต่แม่งไม่อยู่เฉยไง เอามือมาป้ายกูววว มีชีวิตที่บ่นได้ในใจแค่ว่า "ปล่อยกูไปปปปป"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in