เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Europe First TimeKanSiri
Into the Woods ณ โปแลนด์
  •           เมื่อทริปที่เบอร์ลินจบลง ผมได้รับข้อมูลจากมาริอาอีกครั้ง ในข้อความเขียนถึงที่อยู่ของที่ทำงาน และมาริอายังบอกด้วยว่าอาทิตย์นี้ผมต้องไปทำงานกับเอสม่า (คนตุรกี) ซึ่งเอสมานั้นทำงานที่นี่ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว อย่างที่บอกตัวผมเองนั้นก็ไม่ได้สนิทกับเอสม่าเท่าไหร่ เพราะเอสม่านั้นสนิทและเป็นกลุ่มติดกับพวกโจเซ่และด็อกลาส เออผมก็ไม่ได้อยากจะอะไรนะ แต่เพราะผมไม่ค่อยถูกชะตากับด็อกลาสมันเลยพาลทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับเอสม่าเท่าไหร่ ทำให้ผมไม่ได้ถามเอสม่าเกี่ยวกับที่ทำงานเลย ดังนั้นข้อมูลที่ผมมีอยู่ในมือตอนนี้คือ ที่อยู่ของโรงเรียนแห่งใหม่ กับบัดดี้ใหม่นั่นก็คือเอสม่านั่นเอง

                การได้ไปทำงานที่ใหม่ทำให้ผมต้องย้ายออกจากบ้านเด็กกำพร้าในอาทิตย์นี้เอง ทุกคนที่ทำงานที่บ้านเด็กกำพร้าถูกย้ายที่หมด ผมเองก็ต้องย้ายกลับไปที่หอพักเดิม (หอรูหนูที่โจเซ่มันทำรกๆไว้) เอาจริงๆแล้วที่นอนบ้านผีสิงก็ไม่ได้เลวร้ายนะ แต่มันจะน่ากลัวมากถ้านอนคนเดียว ดังนั้นการกลับไปนอนที่หอเดิมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อีกทั้งรายชื่อรูมเมทก็ถูกส่งมาแล้วด้วย เมทผมในอาทิตย์นี้ก็คือ มาริน่า สาวกรีก

                เมื่อได้กลับมาถึงหอพักแล้วปรากฏว่า ไม่มีเตียงว่างให้นอนเลย(กูละเบื่อ) เตียงนึงนั้นเป็นของมาริน่า อีกเตียงเป็นของเอเรนและอีกเตียงนึงซึ่งมันควรจะเป็นของผม กลับเป็นของแฟร์รี่

                “เห้ย เดี๋ยวนะนี่มึงต้องทำงานเมืองอื่นไม่ใช่หรอกหรอ” ถามไปถามมาได้ความว่าแฟร์รี่ต้องย้ายเมืองเช้าวันจันทร์

                “เออดี แล้วกูละจะต้องนอนไหน?” จะกลับไปห้องที่บ้านเด็กกำพร้าก็ไม่ได้ คืนกุญแจเขาไปแล้ว อีกอย่างผมก็ไม่กล้านอนคนเดียวด้วย ยังโชคยังดีที่วันนั้นผมยังมีเครือข่ายเพื่อนโปลิชอยู่ เลยได้ไปนอนพักบ้านเพื่อนของเพื่อนที่อยู่ออกนอกตัวเมืองไปอีก แต้มบุญที่สั่งสมมายังเหลืออยู่บ้างไม่อย่างนั้นผมคงต้องไปนอนที่พื้นห้องรกๆที่อิโจเซ่ทำไว้แน่ๆเลย ในคืนนั้นผมนอนคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ และไม่นานก็หลับไปในที่สุด


                เช้าวันทำงานในที่ใหม่วันแรกนั้นผมขอมาริอาหยุด เนื่องจากปัญหาการเดินทางไปทำงานและเรื่องที่พัก จึงไม่ได้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับที่ทำงานใหม่เลย แล้วผมก็ไม่อยากจะโทรไปถามเอสม่าด้วย การทำงานของผมจึงเริ่มเป็นวันถัดไปแทน และเมื่อวันถัดไปมาถึง ผมก็ต้องเดินทางไปทำงานด้วยตัวเอง เวลานี้ก็ต้องขอบคุณ Google Map อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้อัจฉริยะเสมอไปโดยเฉพาะกับพื้นที่ในป่า ใช่แล้วกูเกิ้ลพาผมมายังพื้นที่ป่าซึ่งมันดูหลอกๆอะนะ 

                 “โรงเรียนบ้าอะไรจะมาตั้งในป่า”

                                                         (ป่าที่ผมต้องเดินเข้าไปสอนหนังสือ)

                   แต่พอลองเดินรอบๆแล้วก็ต้องยอมแพ้ และต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ คือแม่งต้องมีโรงเรียนอยู่ในป่าแน่นอน แล้วก็ต้องเดินลุยเข้าไปด้วย การเดินทางเข้าป่านั้น กูเกิ้ลช่วยอะไรไม่ได้เลย จากนั้นไม่นานผมก็ค้นพบว่า….

                Where am I?” กูอยู่ไหน

                ใช่ครับกูหลงป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

               ขึ้นชื่อว่าคำว่า “หลง” แม่งแย่อยู่แล้ว “หลงในป่า” คือความพินาศของการเดินทาง และ 1 ชั่วโมงไม่ได้ทำให้กูเจอโรงเรียนเลยจ้า ตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าจะเจอตัวอะไรไหม ขอแค่กูพบใครซักคนก็พอ

                ขณะที่เดินงมทางอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงเด็กไม่ไกลจากบริเวณที่เดินอยู่ ผมเดินตามเสียงนั้นไปแล้วในที่สุด (กู) ก็เจอกลุ่มเด็ก (ซักที) วินาทีแรกผมรีบมองหาเอสม่าเลย แต่ก็ไม่พบเอสม่า เอสม่าเป็นผู้หญิงที่มีร่างอวบอั๋นน่ารักๆ และก็ไม่น่าจะกลมกลืนกับเด็กอายุ 5-6 ขวบด้วย หรือว่ากูมาผิดโรงเรียน ไม่มีเอสม่าในกลางป่า ตรงนี้ก็เช่นกัน จนในที่สุดก็ต้องโทรหาเอสม่า ซึ่งจริงๆกูก็ควรจะโทรตั้งแต่แรกแล้วแหละ จะได้ไม่ต้องมาเดินหลงป่าแบบนี้ หลังจากวางสาย ในที่สุดผมก็เจอกับเอสม่าจนได้ มันช่างเป็นช่วงเช้าที่ยาวนานเสียจริง....ให้ตายเถอะพ่อคุณ


  •              สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการทำงานในป่านั้นกลับไม่ใช่การทำงานในป่า (งงมะ?) แต่กลับเป็นสังคมที่ไม่มีแม้แต่สายตาเยื้อใยให้กับพวกเรา วันแรกที่ผมมาทำงานในป่า ผมไม่ได้รับการต้อนรับจากครูที่นั่นเลย ครูที่นั่นไม่ถามแม้แต่ชื่อผมด้วยซ้ำ (รวมถึงการที่กูเดินหลงทางมาตลอดชั่วโมงสองชั่วโมงที่กล่าวไป) ทุกครั้งที่ผมเจอคือใบหน้าที่บูดบึ้งไร้ซึ่งความเป็นมิตร และดูเหมือนเด็กๆที่นั่นก็ไม่ได้อยากจะได้คนเทคแคร์แบบชาวต่างชาติซักเท่าไหร่ ผมรู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายแล้วเอสม่าก็คือคำตอบเดียวที่กูจะมีมนุษย์สัมพันธ์ได้ในป่าแห่งนี้ได้

                “ทำไมครูที่นี่เค้าไม่ยิ้มเลย เค้าเคยยิ้มให้เอสม่าบ้างไม๊?

                เอสม่ามองมาด้วยสายตาที่มึงก็น่าจะรู้คำตอบ แล้วยังจะมาถาม

                “ไม่เคย แต่ก็ช่างเถอะ ไอไม่แคร์อยู่แล้วเราก็อยู่ส่วนของเราไปเถอะไม่ต้องไปใส่ใจเขา แล้วไอก็เกลียดโปแลนด์เป็นที่สุด” (อารมณ์แบบมึงก็น่าจะรู้อยู่แล้วก็จะจะมาถามกูอี้กกก)

                เออผมเองก็คิดไม่ออกเลยว่าครูที่นี่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูได้ยังไง แย่มาก นอกจากเรื่องแย่ๆของคนแล้ว การมาทำงานที่นี่นั้นผมต้องทำธุระส่วนตัวให้เสร็จเรียบร้อยทุกครั้ง ง่ายๆก็คือมึงควรจะถ่ายหนักถ่ายเบามาตั้งแต่ที่บ้านนั่นแหละ เพราะการมานั่งปลดทุกข์ใจกลางป่าแห่งนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้ชีวิตย้อนยุคไปเมื่อ 30 ปีก่อนซักเท่าไหร่ ในฐานะที่ผมมีประสบการณ์ด้านนี้มาพอสมควร ผมขอเตือนเลยว่า ทุกคนไม่ควรเข้าห้องน้ำในป่า (ในยุโรป)! ครั้งแรกที่ได้เรียนรู้คือตอนที่ผมได้ไปเดินป่ากับโฮสที่สุวอลกี (Suwalki) ภายนอกนั้นห้องน้ำก็ดูเป็นปกติ๊ ปกติ แต่เมื่อเปิดเข้าไปแล้วพวกมึงได้เจอกับนรกที่แท้จริงแน่นอน เพราะว่าส้วมในป่ามันเป็นส้วมแบบถังเก็บของเสียอะ เออยังไงดี เออเก็บขี้นั่นแหละ แล้วทีนี้มึงลองคิดสภาพนะ ทุกคนเข้าไปแล้วแบบมันก็กองๆทับๆอยู่ในโถส้วมนั้นอะลองจินตนาการว่าถ้าเราไปเปิดฝาส้วม แล้วเห้นขี้ทับถมกันเยอะๆ โอ้ย ขนลุก แค่นึกก็ได้กลิ่นแล้ว เอาเป็นว่าทุกเช้าควรทำธุระให้เสร็จมิเช่นนั้นมึงเจอนรกของจริงแน่ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

                นอกจากเรื่องส้วมนรกนั่นแล้วก็มีเรื่องของเด็กๆ ที่นี่แม้งเล่นแบบลุยมากอะ เล่นดิน เล่นทราย กินอาหารที่ตกจากพื้น โอย สารพัด บางทีมือไปจับดินแล้วก็มาจับขนมจับไปจับมาแบบนี้เห็นแล้วปวดศีรษะ การที่พวกเด็กๆทำแบบนี้แล้วไม่ได้มายุ่งอะไรมันก็โอเคอยู่หรอกแต่แม่งไม่อยู่เฉยไง เอามือมาป้ายกูววว มีชีวิตที่บ่นได้ในใจแค่ว่า "ปล่อยกูไปปปปป"

                การปล่อยให้เด็กๆ เล่นเลอะเทอะแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติในยุโรป ถึงแม้จะดูสกปรกแต่ผมว่าเมื่อเด็กๆอยู่กับสภาพแวดล้อมแบบนี้มันเป็นการทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันไปในตัว ต่างจากเด็กไทยที่เดี๋ยวนี้จะแพ้โน่นแพ้นี่ไปซะหมด พ่อแม่ประคบประหงมซะมากกว่า (รวมถึงผมด้วย) หากจะให้เปรียบเทียบ ผมก็ไม่ได้มองว่าการเลี้ยงเด็กแบบไทยหรือแบบตะวันตกดีกว่าหรือแย่กว่ากัน ฝั่งตะวันตกเลี้ยงเด็กให้โต ช่วยเหลือตัวเองได้ ทำให้เด็กรู้จักเรียนรู้กับสิ่งรอบตัว แต่ในขณะเดียวกันก็มองว่าการเล่นแบบคลุกดินคลุกทรายก็ควรจะมีขอบเขตเช่นกัน ไม่ใช่แบบของตกแล้วเอามาหยิบกินแบบนี้ผมว่ามันก็เกินไปหน่อย แต่ก็อย่างว่าแหละที่นี่โปแลนด์นะไม่ใช่ประเทศไทย ซึ่งมันเทียบกันไม่ได้จริงๆ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in