หลังจากคืนนั้นผมไม่ได้ติดต่อกับเจค็อบเลย ตัวเจค็อบเองก็คงรู้ตัวว่ามันดูแย่ๆ เมื่อเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นเลยทำให้ผมกับเจค็อบค่อยๆเลิกคุยกันไป ส่วนตัวผมก็รู้สึกแย่นิดหน่อย กับเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ซึ่งมันควรที่จะเกิดขึ้นกับคนที่ผมรักซะมากกว่า แต่จูบแรกดันเสียให้กับผู้ชายซะงั้น แม่งเกิดเรื่องบ้าๆแบบนี้ได้ยังไง ถึงจะพยายามปล่อยผ่านก็เหอะ ในขณะเดียวกันผมก็เครียดกับอาการไม่สบายของตัวเองมากเพราะอาการหูติดเชื้อมันไม่หายขาดซักที วันถัดมาผมเลยโทรไปหาแม่ที่ไทยเพื่อคุยเรื่องการส่งยามาต่างประเทศ ทางฝ่ายแม่ผมก็ได้โทรไปปรึกษากับบริษัทขนส่งก็ได้ใจความว่าการส่งยานั้นมีความเสี่ยงสูงมากที่จะถูกตีกลับมา เนื่องจากศุลกากรของยุโรปมีความเข้มงวดสูง เผลอๆอาจจะไม่อนุญาตการส่งยาปฏิชีวนะใดๆเลยก็ได้หากไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ทางยุโรป ทำให้ผมต้องหาช่องทางอื่น ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นแม่ผมได้แนะนำการกินยาสมุนไพร และเนื่องด้วยมันไม่ใช่ยาปฏิชีวนะการขนส่งยาสมุนไพรนี้เลยอนุญาตให้ส่งได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 5 วันทำการ กว่ายาจะมาถึงที่โปแลนด์จากเหตุผลหลายๆอย่างดูเหมือนว่าผมจะไม่มีทางเลือกจริงๆ
เมื่อจัดการเรื่องยาเสร็จเรียบร้อยแล้วในที่สุดผมจึงตัดสินใจที่จะเลื่อนวันกลับไทย กำหนดเดิมผมจะมีเวลาเที่ยวยุโรปเต็มๆ
จากการวางแผนนั้นผมเริ่มตัดประเทศที่คิดว่าไปไม่ได้แล้วจริงๆ ก่อนเลยนั่นก็คือ อิตาลี ในแพลนคือ อิตาลี เวนิส คือเมืองที่ไกลที่สุดการเดินทางต้องใช้เวลานานที่สุด แล้วก็เนเธอร์แลนด์ เบลเยียมก็ด้วย ไปก็เสียเวลาเปล่าๆ แล้วเพื่อให้แพลนของผมมีความลงตัวมากขึ้น ก็เลยเป็นที่มาของการที่ว่า ผมควรจะไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลากับการเดินทางต่อเนื่องแบบ Non-stop คิดอยู่ซักพักแจ็คพอตเลยไปตกอยู่ที่เบอร์ลิน เยอรมนี แม้บีอาลี่สต๊อก จะอยู่ทางตะวันออกสุดเลยของโปแลนด์ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับเยอรมันเลยก็ตามแต่เบอร์ลินเนี่ยแหละ คือเมืองที่ใกล้ที่สุดแล้ว และยังเหมาะที่สุดแล้วที่จะไปในวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย
เมื่อผมคิดแพลนคร่าวๆได้แล้วมันจึงเป็นการดีหากจะมีเพื่อนเดินทางไปซักคน ซึ่งคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลคนไทยเนี่ยแหละ นั่นก็คือ น้องเอิร์ท นั่นเอง ซึ่งที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะไปจริงๆหรอก เพราะถึงผมไม่ไปตอนนี้ก็ยังมีโอกาสไปหลังจากจบโปรเจคแล้วอยู่ดี แต่ก็ทำการพูดเปรยๆกับเอิร์ทว่า
“เสาร์อาทิตย์นี้ถ้าไม่รู้จะไปไหน ไปเบอร์ลินกันไม๊”
แต่แล้วการชวนครั้งนี้ถ้าจะพูดกันตามตรงมันก็เหมือนเป็นการจุดชนวนระเบิดนั่นแหละ ต้องบอกก่อนว่าเอิร์ทก็เป็นหญิงสาวขาเที่ยวเหมือนกัน ดังนั้นแล้วพอผมถามปุ๊บเอิร์ทก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า
"เห้ยไปสิ ทำไมจะไม่ไปละ ฮ่าๆ"
แต่ด้วยความที่ผมรู้สึกว่ามันยังดูยุ่งๆวุ่นๆ อยู่ก็เลยพยายามบอกๆว่า ก็ดูๆก่อนแล้วกันอีกอย่างอาทิตย์หน้าอาจจะถูกย้ายเมืองก็ได้ ถ้าถูกย้ายก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่แต่ดูเหมือนกับว่าระเบิดนั้นมันเริ่มนับเวลาถอยหลังไปซะแล้ว ต่อมอยากเที่ยวของเอิร์ทนั้นได้ถูกผมกระตุ้นจนไม่สามารถหยุดอะไรได้อีกแล้วในตอนนั้น
พอตกบ่ายเอิร์ทบอกผมว่า พวกเราควรไปเช็ครอบรถบัสที่สถานีกันไหม ด้วยความที่เห็นว่าเป็นการ “แค่ไปเช็ครถบัสกับเวลา” ก็เลยตกลงไปด้วย และพอไปถึงที่นั่นพวกเราก็เช็คจริงๆนั่นแหละ
เอิร์ท: “พี่คะ มาเช็ครอบรถไปเบอร์ลินค่ะ”
พนักงานยื่นตารางรถพร้อมกับอธิบายรายละเอียดซึ่งวันที่เราจะไปคือวันพฤหัส มีรอบเย็น จะไปถึงเบอร์ลินก็เช้าวันศุกร์พอดี
เอิร์ท: “พี่คะ เอารอบนี้แหละค่ะ 2 ที่….”
"เห้ยเดี๋ยวนะ ?" ไหนบอกแค่มาดูรอบรถไงนี่มันมัดมือชกกันชัดๆ ใช่แม่งไม่ได้เช็คอย่างเดียว แม่งจองไปด้วยเลยจ้า
ตอนนั้นคือก็ต้องเออออห่อหมกไปด้วย แล้วก็เลยตามเลย มาถึงขนาดนี้และเอิร์ทบอกว่ามีผู้นำก็ต้องมีผู้ตาม ไม่งั้นทริปไม่เกิดนะ กูว่าแล้วตะหงิดๆตั้งแต่ตอนออกจากที่พักล่ะบอกว่าไปแค่เช็ครถแต่ก่อนออกเอิร์ทนี่เตรียมชาร์ตแบตกล้อง ชาร์ตโน่นนี่นั้นไว้เรียบร้อยซึ่งเอิร์ทก็บอกแค่ว่า “เผื่อไว้ไม่มีอะไรหรอก” สรุปนี่โดนหลอกให้มาซื้อตั๋วไปเบอร์ลินเฉย และแล้ววันพรุ่งนี้ตอนเย็นพวกเราก็ต้องนั่งรถไปเบอร์ลินซะล่ะจ่ายเงินไปแล้วนี่ เอาวะมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้างั้นก็ ผมกับเอิร์ทตัดสินใจหยุดทำงานวันศุกร์ พวกเราจึงมีเวลาเที่ยวในเบอร์ลินถึง
พระอาทิตย์สาดส่องระหว่างอยู่บนรถบัสป้ายบอกทางเปลี่ยนเป็นภาษาเยอรมัน บอกทางไปเบอร์ลิน ใช่แล้วขอต้องรับสู่เยอรมนีอย่างเป็นทางการ
เมื่อก้าวลงจากรถนั้นอย่างที่ทราบกันดีว่า ผมไม่ได้แพลนอะไรมาเลย จึงทำให้การมาเที่ยวครั้งนี้จะต้องไหลไปตามสถานการณ์ เอิร์ทได้จองที่พักเอาไว้แถวๆใจกลางเมืองไม่ไกลจากตึกรัฐสภาแต่ว่านะจากจุดที่รถบัสจอดนี่สิไกลโข แต่ก็ยังดีที่มี
ที่พักคืนละ 2000 กว่าบาทไทยหารกัน 2 คนราคาก็ถือว่ารับได้ ห้องนอนเป็นห้องส่วนตัวโรงแรมติดกับสถานีรถไฟทำให้การเดินทางที่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก หากจะไม่ใช้รถไฟการเดินเท้าจากที่โรงแรมไปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆก็ถือว่าไปได้อยู่ ไม่ไกลมาก
การเที่ยววันนี้แรกนั้นถือว่าเป็นไปได้ด้วยดีพวกเราได้มีโอกาสเดินไปสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
ทุกอย่างในเบอร์ลินก็ดูปกติราบรื่นดี แต่ก็คงจะต้องเล่าเรื่องนี้ซักหน่อย วันหนึ่งในขณะที่พวกเรากำลังเดินไปเที่ยวเล่นนั้นบนทางเดินเท้า ปกติแล้วหากในต่างประเทศไม่ได้กำหนดไว้ว่าตรงไหนเป็นที่สำหรับทางจักรยานพวกจักรยานหรือยานพาหนะเล็กๆ ก็ย่อมสามารถใช้ทางเดินเท้าในการขับขี่ได้ ตอนที่กำลังเดินอยู่นั่นเองมีผู้ชายวัยกลางคนขี่รถจักรยานมินิสวนผมกับเอิร์ทมาพอดี ขณะที่เอิร์ทกำลังเสยผมนั้น รถจักรยานก็เสียหลัก หกคะเมนตีลังกาข้างๆเอิร์ท ทำให้ผู้ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บหัวเข่าถลอก วินาทีนั้นผมกับเอิร์ทไม่รอช้าเข้าไปดูผู้ชายคนนั้นทันทีเอาจริงๆทุกคนงงมากว่าเขาเสียหลักได้ยังไง และจากการถามไถ่และเทคแคร์ซักพักจึงได้ความว่าเขากลัวชนเอิร์ทเลยเสียหลักหัวทิ่ม เหตุการณ์ไม่น่าจะเลวร้าย ยกเว้นเสียแต่คนที่กำลังกินอาหารอยู่แถวนั้นทุกสายตามองมาที่เอิร์ทราวกับว่าเอิร์ทนั้นเป็นผู้ร้าย อารมณ์ประมาณว่า
“นี่มึงจงใจทำให้เขาหัวทิ่มใช่ไหม
ในวันเสาร์ตอนเย็นขณะที่พวกเรากำลังเดินเล่นอยู่นั้น พวกเราก็ได้รับข้อความจากมาริอาซึ่งเป็นข่าวร้าย นั่นก็คือพวกเราต้องย้ายเมืองสำหรับการทำงานอาทิตย์หน้า แต่ด้วยความที่ผมต้องรอยาจากประเทศไทยผมเลยขอให้มาริอาจัดชื่อผมให้ทำงานต่อในเมือง Bialystok ต่อ เพราะมันสำคัญมากจริงๆ ซึ่งมันก็สัมฤทธิ์ผล และแล้วอีก 2 อาทิตย์ที่เหลือผมก็ต้องทำงานในเมืองเดิมซึ่งตอนหลังผมก็ค้นพบว่า มันอาจจะไม่ใช่เรื่องโชคดีอย่างที่ผมคิด ก็เป็นได้....
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in