หลังจากที่กลับมาจากค่ายกักกัน พวกเรามีเวลาเหลือเวลาอีกเยอะก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
ดังนั้นพวกเราจึงตกลงกันว่าจะไปเข้าร่วมกิจกรรม Free Walking อันเป็นกิจกรรมการมีไกด์ทัวร์เดินฟรี
ต้องขออธิบายก่อนว่า Free Walkingคือกลุ่มของไกด์ หรือกิจกรรมของคนกลุ่มนึง ที่มาทำหน้าที่ไกด์ให้ฟรีๆแบบไม่มีเงื่อนไข พวกเขาจะพาไปสถานที่สำคัญๆของเมือง และเล่าประวัติความเป็นมาของสิ่งต่างๆในเมืองที่เรามาเที่ยว ซึ่งจริงๆแล้ว Free Walking มีแทบจะทุกเมืองดังๆในทวีปยุโรปเพื่อนๆสามารถเข้าไปเช็คได้ในเว็บไซด์ของ Free Walking และแน่นอนทุกอย่างถูกบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ (ซะส่วนใหญ่) แต่ถึงจะบอกว่าฟรีก็เหอะ ด้วยมารยาท ทุกคนมันจะให้ทิป หลังจากจบทัวร์อันจริงๆแล้วไม่มีกำหนดตายตัวว่าจะให้เท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่ทุกคนก็จะให้ราวๆ 10-30 ยูโร
การมาเข้าร่วม
วันนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีพวกเราหาอาหารมื้อเย็นกินและกลับไปพักผ่อนที่ห้อง ถือได้ว่าเป็นวันที่ดีอีกวันนึง แม้ว่าเรื่องราวที่จะได้รับรู้จากค่ายกักกันจะเป็นเรื่องเศร้าอันเป็นผลพวกมาจากสงครามก็ตาม
ก่อนจะหลับตานอน สองได้เข้ามาหาผมในห้องและพูดถึงเกี่ยวกับเหมืองเกลือใกล้ๆกับเมืองกรากุฟที่ผมเคยพูดให้สองฟัง ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้านี้ เดลและสองไม่ได้วางแผนที่จะไปเหมืองเกลือแต่ด้วยความที่ผมแอบไปทำการบ้านมาจึงรู้ว่าห่างออกไปจากตัวเมือง กินเวลาไม่เกิน
ในตอนเช้า 6 โมงกว่าๆนั้นพวกเรารีบไปสถานีอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการกลับเข้ามาชมย่านเมืองเก่าและอีกเหตุผลก็คือเราต้องกลับมาให้ทันรถไฟรอบบ่าย 2
ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปด้วยดีจนกระทั่ง...ผมรู้สึกว่า
“
อีกสองก้าวจะเข้าเหมืองแล้วแต่มายแคเมร่าอะ ยูโน๊ว!? กล้องฉันอยู่ไหน Oh NO
ความคิดแรกที่ผุดมาคือพาสปอร์ทผมที่อยู่ในกระเป๋ากล้อง ซึ่งมันสำคัญมากกว่ากล้อง (ถึงกล้องจะแพงกว่าก็เถอะ) และอีกความคิดนึงคือ “กูควรจะกลับไปหากระเป๋ากล้องหรือกูควรจะไปเที่ยวเหมืองก่อน” เพราะผมมากับสอง ตอนนั้นผมรู้สึกโมโหตัวเองมาก ทำไมถึงได้ประมาทขนาดนี้ ร้อยวันพันปีไม่เคยเป็นแบบนี้เลยแล้วกับวันที่ผมไม่อยากเสียเวลาอันมีค่ามากที่สุด...กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ไหนจะยังน้องสองอีก ทุกอย่างมันลนลานไปหมด ผมพยายามตั้งสติและ ค่อยๆ นึกๆดูที่ที่ผมลืมไว้มันเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลยนอกจาก
“บนรถไฟ”
ใช่แน่ๆเลยทีนี้ทำไงละ ตอนนั้นพยายามถามพนักงานของเหมืองเกลือแถวนั้นว่า พอจะมีวิธีตามกล้องที่ลืมไว้บนรถไฟได้บ้างไหมพนักงานบอกว่าทางเดียวที่ยูจะได้กล้องคืน คือยูควรโทรหาตำรวจนะยู
“วอทเดอะ ฟัค อีส โก อิ้ง ออน” ถ้าไม่เกรงใจนี่พูดออกมาแน่ๆ โอ้ยยย อิเชี่ย
คือเดี๋ยวนะต้องถึงมือตำรวจเลยหรอ แผนก Lost and Found ก็พอมั้งดูมันห่างไกลที่จะเจอกล้องมากอะ
ด้วยความตื่นตระหนกตอนนั้นทำให้ผมคิดอะไรไม่ค่อยจะออกเลยจากความสติหายในครั้งนี้ ในที่สุดสองก็ได้จัดการเป็นธุระถามโน่นถามนี่ให้ผม ทั้งเรื่องตั๋วทั้งเรื่องหาเบอร์ติดต่อสถานี พวกเราตัดสินใจกลับไปที่สถานีดูเบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่สถานีซึ่งสองเป็นคนติดต่อให้ ซึ่งตอนนั้นผมเกรงใจมาก แต่พยายามเรียกสติกลับมาแล้วมันไม่ไหว มือไม้สั่นไปหมด
หลังจากที่สองติดต่อเจ้าหน้าที่ที่สถานีได้แล้วนั้นผมก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง เมื่อคนที่นั่นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
จนในที่สุดไม่ได้การแล้ว ต้องหาคนพูดภาษาอังกฤษได้ เท้าผมก้าวออกจากป้ายบอร์ดข้อมูล และมันเป็นครั้งแรกจริงๆที่สัญชาติญาณเอาตัวรอดมันทำให้ผมพูดภาษาอังกฤษเป็นต่อยหอยเลยแล้วเหมือนกับสวรรค์มีตา ผมเจอผู้ชายที่คุยภาษาอังกฤษได้ (น้ำตาไหลพราก) ผมเลยเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขาสองไม่รอช้าเข้าผสมโรงให้ ทำให้ผมรับการช่วยเหลืออย่างจริงจังจากชายผู้ใจดีนี้ ไม่กี่อึดใจผมแยกออกจากสองเพื่อไปหาเจ้าหน้าที่บนรถไฟหลังจากมีรถไฟขบวนหนึ่งเทียบเข้าชาญชราไม่นานสองกับผู้ชายคนที่ผมเข้าไปขอความช่วยเหลือ ก็เดินขึ้นมาบนรถไฟพร้อมกับบอกผมว่าโทรไปที่สถานีแล้วและมีเด็กเจอกระเป๋ากล้องแล้ว แต่ผมต้องกลับไปที่สถานีหลักในกรากุฟเพื่อไปรอเอาของจากขบวนรถไฟที่ผมลืมไว้นั่นเอง
ระหว่างที่นั่งรถไฟกลับผมทำความรู้จักกับผู้ช่วยเหลือเรา เขาชื่อเมเธอุซ เป็นไกด์ (อะไรจะโชคดีขนาดนี้)ตอนนั้นผมขอบคุณเมเธอุซและสองเป็นอย่างมาก และเพราะเมเธอุซนั้นทำให้ผมได้กล้องและพาสปอร์ทผมคืนมาภายในระยะเวลา1 ชม.และก็ถือว่าเป็นโชคอีกชั้นที่ผมกลับมาที่สถานีแล้วพวกเราได้ทำการจองตั๋วรถไฟกลับไปBialystok ทันเวลาอย่างปาฏิหาริย์ การจองตั๋วรถไฟครั้งนี้ทำให้พวกเรารู้ว่าหากมาช้ากว่านี้ พวกเราคงต้องกลับ Bialystok อีกวันอย่างแน่นอนเพราะตอนนี้ตั๋วนั่งเต็มหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ตั๋วยืนซึ่งพวกเราก็ต้องยอมรับและซื้อตั๋วยืน ที่ต้องยืนราวๆ 4 ชม.(ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้ยืนตลอดหรอก ก็ได้นั่งแหละ แต่นั่งกับพื้นรถไฟนะ ฮ่าๆชีวิตรันทดชิบเป๋ง) แต่รู้อะไรไหม พวกเราไม่มีทางเลือกแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in