ก่อนหน้านี้ผมได้เล่าว่าได้รู้จักคนโปลิชคนใหม่ ชื่อแอนดริว
แอนดริวเป็นหนุ่มโปลิชติสๆนิสัยดี น่ารักและเป็นอีกคนที่ทำให้ชีวิตผมในอาทิตย์แรกใน
สุดสัปดาห์นี้ ผม สอง และเดลตัดสินใจ พาใจไปที่
กรากุฟนั้นโอบอวนไปด้วยความรู้สึกประวัติศาสตร์เพราะนอกจากจะเป็นเมืองหลวงเก่าของโปแลนด์แล้ว ห่างออกไปจากตัวเมืองไม่ถึง
เมื่อมาถึงกรากุฟพวกเราได้รีบตรงดิ่งไปยังที่พักที่เดลได้จองผ่านแอพ
แอพลิเคชั่นการจองที่พักกับคนที่มีบ้านหรือห้องแต่ไม่ได้ถูกใช้จึงนำมาออกให้เช่าในราคาที่ถูกแสนถูกและต้องบอกว่าพวกเราได้ที่พักในราคาเกินคุ้มกันอย่างมาก
หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยพวกเราตัดสินใจออกไปเดินเล่นในย่านของกิน คนที่นี่ครึกครื้นกว่าที่คิด ถ้าใครนึกภาพไม่ออกลองนึกภาพถนนข้าวสารหรือเยาวราชตอนกลางคืนดู มันให้ความรู้สึกหนาแน่นแบบเดียวกันเป๊ะ รวมถึงการมีรถม้าให้บริการตลอดทาง นึกถึงภาพแท็กซี่หาลูกค้าในประเทศไทยดูแบบนั้นเลยแต่มันไม่ใช่รถแท็กซี่ไง มันคือรถม้า
คืนแรกไม่มีอะไรเป็นพิเศษนัก หลังจากท่องราตรีจนถึงสี่ทุ่มพวกเรารีบกลับตรงไปยังที่พักเพื่อที่ว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางไปยังค่ายกักกันเอาชวิสท์ตั้งแต่เช้าตรู่อารมณ์ต้องไปแต่เช้าไม่ต้องเจอคนแน่นเอี๊ยด แบบวัดพระแก้วเมืองไทยทุกอย่างเป็นไปตามสูตรสำหรับนักท่องเที่ยวเป๊ะ
พวกเราไม่รอช้ารีบไปขนส่งตั้งแต่ 7 โมงเช้าคนเริ่มเดินกันอย่างหนาแน่นอย่างชนิดที่ไม่ผิดคาดเท่าไหร่ รถตู้ไปยังค่ายกักกันยังมีที่ว่างพอสำหรับพวกเราในรอบ 7.30 น. และในที่สุดเราก็มาถึงค่ายกักกันเอาชวิสท์ภายในเวลา 1 ชั่วโมง
ก้าวแรกที่ผมได้มาเหยียบสถานที่สังหารชีวิตมนุษย์บอกได้เลยว่า หดหู่อย่างที่สุด แม้นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลมามากจนมีเสียงอึกทึกโวยวาย แต่ลึกเข้าไปในค่ายความสิ้นหวัง ความกลัว ความเศร้ามันแผ่ออกมาจนอดไม่ได้เลยที่จะนึกถึงความโหดร้ายทารุณที่พวกนาซี
ขอย้อนกลับไปไกลกว่าสงครามโลกตั้งแต่สมัยชาวยิวก่อกำเนิดขึ้นมา ในความเชื่อของชาวยิวนั้นเชื่อว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ของพระเจ้า (หรือคนของพระเจ้า) ยิวหรือยูดาห์ ศาสนาเอกเทวนิยมหรือศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว นั้นถือได้ว่าเป็นรากเหง้าของศาสนาศริสต์และอิสลาม
พวกชาวยิวเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพวกเขาแล้วเป็นผลดี มีชีวิตที่ดี มั่งคั่งสมบูรณ์นั้นล้วนมาจากพรของพระเจ้า พวกเขาเชื่อในพระเจ้า อ้อนวอนพระเจ้า และสักการะพระเจ้า จนกระทั่งความสุขของพวกชาวยิวถึงขีดสุดจนลืมที่จะขอบคุณพระเจ้าอย่างที่เคยทำ บทลงโทษแรกที่ชาวยิวได้รับคือการเป็นพวกเร่ร่อนไม่มีดินแดนเป็นของตนเอง หลังจากนั้นก็กลายไปเป็นทาสของพวกชาวอียิปต์ วีรกรรมและประวัติศาสตร์ชาวยิวตั้งแต่ยุคโมเสสจนมาถึงปัจจุบันมีมากมายมานับไม่ถ้วนและทุกอย่างที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์และที่สำคัญล้วนเกิดจากการถูกลงโทษทั้งสิ้น
การเป็นชาวยิวไม่ใช่ความผิด แต่เนื่องมาด้วยต้นตอของชาวยิวที่มาจากความแร้งแค้นศาสนาที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้ง ความอดยาก นำมาซึ่งการพัฒนา ความเก่งกาจรวมถึงการเอาตัวรอด จริงๆสิ่งเหล่านี้มันอาจจะฟังดูไม่ลื่นหูนักแต่ถ้าคุณเป็นคนคนนึงที่ไม่มีบ้าน ไม่มีที่อยู่อาศัยมีแต่คนดูถูกเหยียดหยามตลอดเวลาผมเชื่อได้เลยว่าในระยะเวลาอันสั้นมันอาจจะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวซักเท่าไหร่แต่สำหรับชาวยิวแล้วมันบ่มเพาะมานานเป็นหลายศตวรรษดังนั้นสิ่งเดียวที่ชาวยิวทำได้ท่ามกลางความว่างเปล่าและความสิ้นหวังก็คือ “ศรัทธา” ต่อพระเจ้า
แต่ทุกอย่างไม่ได้หมุนรอบชาวยิวผู้คนอื่นมองชาวยิว ในแง่ความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าชาวยิวจะไปตั้งรกรากที่ไหนกลายเป็นว่าถูกเกลียดที่นั่น จนมาถึงสมัยสงครามโลก ความรู้สึกเหล่านั้นต่อชาวยิวถูกถาถมใส่พวกเขาอย่างเต็มแรง ชาวยิวกลายเป็นแพะรับบาปและเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
ทุกย่างก้าวในค่ายกักกันมันอบอวลไปด้วยความสิ้นหวัง ผมเดาไม่ออกเลยว่าถ้าหากผมเกิดในยุคที่ “มนุษย์” เกลียด “มนุษย์” ด้วยกัน มันจะเป็นยังไง สิ่งที่นาซี “กระทำ” ต่อ “มนุษย์” เป็นอะไรที่ “โหดเหี้ยม”
ระหว่างที่ผมเดินสำรวจในค่ายกักกันความคิดมากมายมันเกิดขึ้นในหัวผม ความแตกต่าง เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว ภาษา และอื่นๆอีกมากมายที่ คนอื่นไม่เหมือนผม มันต้องต่างกันขนาดไหน ถึงทำให้มนุษย์ “เข่นฆ่า” กันได้ขนาดนี้ จริงๆผมไม่ใช่คนนึงที่เพิ่งจะมาคิดได้หรอกว่า คนเรามี “ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์”เท่ากัน ต่อให้คนเราจะไม่ชอบคนคนนึงเพราะเขามีสีผิวสีอื่น ต่างศาสนา ต่างความคิดหรือแม้กระทั่ง “การเป็นคนเห็นแก่ตัว” แต่หลังจากคนหลายหมื่นหลายแสนคนต้องมาตายเพราะ“ความเกลียดชัง” หากมันเกิดขึ้นไปแล้ว....มันคือสิ่งที่ทำให้โลกนั้น “ดีขึ้น”กว่าเดิมจริงหรือ?
ผมว่าคนเราไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบทุกคนและไม่มีใครดีไปกว่าใคร แต่การที่ คนคนหนึ่งจะต้องถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งพิพากษาว่าเขาไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันสมควรแล้วหรือ? บางครั้งพวกเราตัดสินคนคนหนึ่งจากการรู้จักกันไม่ถึง 1 วันว่าเขาเป็นคนเลว เป็นคนไม่ดี เป็นคนเห็นแก่ตัว คุณคิดว่ามันสมควรแล้วหรือ? แล้วโดยเฉพาะกับคนที่มีผิวสีไม่เหมือนเรา นับถือคนละศาสนา พูดคนละภาษา...มันถูกต้องแล้วหรอที่เราจะพิพากษาเขาว่าไม่สมควรอยู่ร่วมโลกกับเรา?
อันที่จริง ผมก็ไม่ใช่คนโลกสวยเท่าไหร่นะ บางครั้งผมเจอคนบางกลุ่มผมก็ยังไม่อยากจะคบค้าสมาคมด้วยเลย แต่สุดท้ายแล้วตัวผมเองไม่เคยเกลียดหรือตัดสินเลยว่าเค้าเป็นคนไม่ดีหรือไม่ควรอยู่ บางครั้งถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องเจอกับ “กลุ่มคน” ที่ผม “คิดว่า” ไม่อยากจะยุ่ง มันก็อาจจะจำเป็นต้องรู้จัก และบางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้ว่าคนบางคนเป็นคนดีมากกว่าที่จิตใจผมประเมินไว้เสียอีก แต่ข้อสำคัญที่สุดเลยคือผมไม่เคยตัดสินใครจากสิ่งที่เขาเป็น....ถ้าไม่ชอบเราก็แค่เดินออกมา....
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in