เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Europe First TimeKanSiri
เมืองกรากุฟ เชื้อชาติ ศาสนา และสงคราม
  •                  ก่อนหน้านี้ผมได้เล่าว่าได้รู้จักคนโปลิชคนใหม่ ชื่อแอนดริว

                    แอนดริวเป็นหนุ่มโปลิชติสๆนิสัยดี น่ารักและเป็นอีกคนที่ทำให้ชีวิตผมในอาทิตย์แรกใน Bialystok ไม่น่าเบื่อ ผมได้มีโอกาสไปดื่มเบียร์กับแอนดริวและผมยังไปซักผ้าบ้านเขาได้ด้วย

                    นอกจากแอนดริวแล้ว ผมยังมีประสบการณ์แปลกๆอย่างที่เคยเล่าไปว่าคนเอเชียเป็นที่น่าสนใจสำหรับคนที่นี่ และที่จะเล่านี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีผมได้คนแปลกหน้าเป็นเพื่อน? ระหว่างที่ผมมีเวลาว่างช่วงเย็นและเดินเล่นรอบๆเซ็นเตอร์นั้นมีผู้ชายหน้าตาโอเคประมาณนึง ที่รู้สึกว่าไว้ใจได้ เดินเข้ามาทักผม พวกเรามีบทสนทนาประมาณนึงแบบธรรมดาทั่วๆไปที่คนต่างถิ่นคุยกัน อย่างเช่น มาจากไหน ชื่ออะไร มาทำอะไรที่นี่ หลังจากถามชื่อเสียงเรียงนามเสร็จจึงรู้คร่าวๆว่าเขาชื่อ เจค็อบ เป็นลูกครึ่งโปลิช สวีเดน ทำงานอยู่ที่นี้มา 5-6 ปีล่ะ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะปกติดี และเขาขอช่องทางติดต่อผมไป ตอนนั้นผมเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะมีเพื่อนใหม่เลยมีการแลกช่องทางการติดต่อเอาไว้ กลายเป็นว่าผมได้เพื่อนใหม่มาเพิ่มแล้ว และผมหวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดแบบนั้นจริงๆ


    เมืองกรากุฟ, โปแลนด์

                    หลังจากที่ สอง เดลและซูบิงได้ไปทำงานร่วมกันมานอกเมือง Bialystok ร่วม 3 อาทิตย์ และแล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึง ทั้งสามก็ได้กลับมา Bialystok ในที่สุดเพื่อนๆที่อยากเจอก็กลับมาพวกเรานัดกันไว้ว่าพวกเราจะออกเดินทางไป คราคูฟวันศุกร์นี้ส่วนซูบิงไม่ได้ไปด้วย ดังนั้นแล้วนี่ก็คือทริปแรกในโปแลนด์ของผม แล้วทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีเดลนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีพระคุณอย่างมากในทริปนี้เพราะ
    เดลวางแผนการเดินทางแทบจะทุกอย่าง สองก็มีหน้าที่ช่วยเดลวางแผน จนบางทีเรารู้สึกเกรงใจสองคนนี้ไปเลย
  •                

                    สุดสัปดาห์นี้ ผม สอง และเดลตัดสินใจ พาใจไปที่ Kraków (กรากุฟ) แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของโปแลนด์เมืองมรดกโลก อันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการมาที่โปแลนด์อย่างแท้จริง

                    กรากุฟนั้นโอบอวนไปด้วยความรู้สึกประวัติศาสตร์เพราะนอกจากจะเป็นเมืองหลวงเก่าของโปแลนด์แล้ว ห่างออกไปจากตัวเมืองไม่ถึง 1 ชั่วโมงพวกเราจะได้เจอกับค่ายกักกันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์โลก อย่างค่าย Auschwitz (เอาชวิสท์) สถานที่อันโหดร้ายที่คร่าชีวิตชาวยิวไปนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายทารุณที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ว่าได้

                    เมื่อมาถึงกรากุฟพวกเราได้รีบตรงดิ่งไปยังที่พักที่เดลได้จองผ่านแอพ  AirBnb อันเป็น
    แอพลิเคชั่นการจองที่พักกับคนที่มีบ้านหรือห้องแต่ไม่ได้ถูกใช้จึงนำมาออกให้เช่าในราคาที่ถูกแสนถูกและต้องบอกว่าพวกเราได้ที่พักในราคาเกินคุ้มกันอย่างมาก

                    หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยพวกเราตัดสินใจออกไปเดินเล่นในย่านของกิน คนที่นี่ครึกครื้นกว่าที่คิด ถ้าใครนึกภาพไม่ออกลองนึกภาพถนนข้าวสารหรือเยาวราชตอนกลางคืนดู มันให้ความรู้สึกหนาแน่นแบบเดียวกันเป๊ะ รวมถึงการมีรถม้าให้บริการตลอดทาง นึกถึงภาพแท็กซี่หาลูกค้าในประเทศไทยดูแบบนั้นเลยแต่มันไม่ใช่รถแท็กซี่ไง มันคือรถม้า

                    คืนแรกไม่มีอะไรเป็นพิเศษนัก หลังจากท่องราตรีจนถึงสี่ทุ่มพวกเรารีบกลับตรงไปยังที่พักเพื่อที่ว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางไปยังค่ายกักกันเอาชวิสท์ตั้งแต่เช้าตรู่อารมณ์ต้องไปแต่เช้าไม่ต้องเจอคนแน่นเอี๊ยด แบบวัดพระแก้วเมืองไทยทุกอย่างเป็นไปตามสูตรสำหรับนักท่องเที่ยวเป๊ะ

                    พวกเราไม่รอช้ารีบไปขนส่งตั้งแต่ 7 โมงเช้าคนเริ่มเดินกันอย่างหนาแน่นอย่างชนิดที่ไม่ผิดคาดเท่าไหร่ รถตู้ไปยังค่ายกักกันยังมีที่ว่างพอสำหรับพวกเราในรอบ 7.30 น. และในที่สุดเราก็มาถึงค่ายกักกันเอาชวิสท์ภายในเวลา 1 ชั่วโมง


    (Arbeit macht Frei คำขวัญหน้าค่ายกักกัน
    แปลว่า ทำงานนำมาซึ่งอิสรภาพ เป็นคำที่นาซีหลอกล่อชาวยิว)

                    ก้าวแรกที่ผมได้มาเหยียบสถานที่สังหารชีวิตมนุษย์บอกได้เลยว่า หดหู่อย่างที่สุด แม้นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลมามากจนมีเสียงอึกทึกโวยวาย แต่ลึกเข้าไปในค่ายความสิ้นหวัง ความกลัว ความเศร้ามันแผ่ออกมาจนอดไม่ได้เลยที่จะนึกถึงความโหดร้ายทารุณที่พวกนาซี-เยอรมันมีต่อชาวยิว ผมได้แต่นึกภาพมนุษย์ กำลังสังหารมนุษย์ ด้วยกันเอง ณ ที่แห่งนี้นั้นทุกอย่างในค่ายแสดงถึงความเกลียดชังที่มีต่อชาวยิวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

                    คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่เกิดขึ้นเป็นโศกนาฏกรรมที่รุนแรง และเลวร้ายที่สุดเท่าที่มีมา ขอย้อนกลับไปเรื่องประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การเข่นฆ่าชาวยิวมีสาเหตุหลักๆมาจากชนวนการคลั่งชาติของพวกนาซี-เยอรมัน การแบ่งแยกเชื้อชาติอารยัน และแรงเกลียดชังเรื่องความพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนต้นตอของสงครามผมขอไม่ลงลึกเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นมาจากผลประโยชน์ และการเสียผลประโยชน์ซะเป็นส่วนใหญ่


                    ขอย้อนกลับไปไกลกว่าสงครามโลกตั้งแต่สมัยชาวยิวก่อกำเนิดขึ้นมา ในความเชื่อของชาวยิวนั้นเชื่อว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ของพระเจ้า (หรือคนของพระเจ้า) ยิวหรือยูดาห์ ศาสนาเอกเทวนิยมหรือศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว นั้นถือได้ว่าเป็นรากเหง้าของศาสนาศริสต์และอิสลาม

                    พวกชาวยิวเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพวกเขาแล้วเป็นผลดี มีชีวิตที่ดี มั่งคั่งสมบูรณ์นั้นล้วนมาจากพรของพระเจ้า พวกเขาเชื่อในพระเจ้า อ้อนวอนพระเจ้า และสักการะพระเจ้า จนกระทั่งความสุขของพวกชาวยิวถึงขีดสุดจนลืมที่จะขอบคุณพระเจ้าอย่างที่เคยทำ บทลงโทษแรกที่ชาวยิวได้รับคือการเป็นพวกเร่ร่อนไม่มีดินแดนเป็นของตนเอง หลังจากนั้นก็กลายไปเป็นทาสของพวกชาวอียิปต์ วีรกรรมและประวัติศาสตร์ชาวยิวตั้งแต่ยุคโมเสสจนมาถึงปัจจุบันมีมากมายมานับไม่ถ้วนและทุกอย่างที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์และที่สำคัญล้วนเกิดจากการถูกลงโทษทั้งสิ้น

                    การเป็นชาวยิวไม่ใช่ความผิด แต่เนื่องมาด้วยต้นตอของชาวยิวที่มาจากความแร้งแค้นศาสนาที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้ง ความอดยาก นำมาซึ่งการพัฒนา ความเก่งกาจรวมถึงการเอาตัวรอด จริงๆสิ่งเหล่านี้มันอาจจะฟังดูไม่ลื่นหูนักแต่ถ้าคุณเป็นคนคนนึงที่ไม่มีบ้าน ไม่มีที่อยู่อาศัยมีแต่คนดูถูกเหยียดหยามตลอดเวลาผมเชื่อได้เลยว่าในระยะเวลาอันสั้นมันอาจจะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวซักเท่าไหร่แต่สำหรับชาวยิวแล้วมันบ่มเพาะมานานเป็นหลายศตวรรษดังนั้นสิ่งเดียวที่ชาวยิวทำได้ท่ามกลางความว่างเปล่าและความสิ้นหวังก็คือ “ศรัทธา” ต่อพระเจ้า


                    แต่ทุกอย่างไม่ได้หมุนรอบชาวยิวผู้คนอื่นมองชาวยิว ในแง่ความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าชาวยิวจะไปตั้งรกรากที่ไหนกลายเป็นว่าถูกเกลียดที่นั่น จนมาถึงสมัยสงครามโลก ความรู้สึกเหล่านั้นต่อชาวยิวถูกถาถมใส่พวกเขาอย่างเต็มแรง ชาวยิวกลายเป็นแพะรับบาปและเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

                    ทุกย่างก้าวในค่ายกักกันมันอบอวลไปด้วยความสิ้นหวัง ผมเดาไม่ออกเลยว่าถ้าหากผมเกิดในยุคที่ “มนุษย์” เกลียด “มนุษย์” ด้วยกัน มันจะเป็นยังไง สิ่งที่นาซี “กระทำ” ต่อ “มนุษย์” เป็นอะไรที่ “โหดเหี้ยม”


                    ระหว่างที่ผมเดินสำรวจในค่ายกักกันความคิดมากมายมันเกิดขึ้นในหัวผม ความแตกต่าง เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว ภาษา และอื่นๆอีกมากมายที่ คนอื่นไม่เหมือนผม มันต้องต่างกันขนาดไหน ถึงทำให้มนุษย์ “เข่นฆ่า” กันได้ขนาดนี้ จริงๆผมไม่ใช่คนนึงที่เพิ่งจะมาคิดได้หรอกว่า คนเรามี “ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์”เท่ากัน ต่อให้คนเราจะไม่ชอบคนคนนึงเพราะเขามีสีผิวสีอื่น ต่างศาสนา ต่างความคิดหรือแม้กระทั่ง “การเป็นคนเห็นแก่ตัว” แต่หลังจากคนหลายหมื่นหลายแสนคนต้องมาตายเพราะ“ความเกลียดชัง” หากมันเกิดขึ้นไปแล้ว....มันคือสิ่งที่ทำให้โลกนั้น “ดีขึ้น”กว่าเดิมจริงหรือ?

                    ผมว่าคนเราไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบทุกคนและไม่มีใครดีไปกว่าใคร แต่การที่ คนคนหนึ่งจะต้องถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งพิพากษาว่าเขาไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันสมควรแล้วหรือ? บางครั้งพวกเราตัดสินคนคนหนึ่งจากการรู้จักกันไม่ถึง 1 วันว่าเขาเป็นคนเลว เป็นคนไม่ดี เป็นคนเห็นแก่ตัว คุณคิดว่ามันสมควรแล้วหรือ? แล้วโดยเฉพาะกับคนที่มีผิวสีไม่เหมือนเรา นับถือคนละศาสนา พูดคนละภาษา...มันถูกต้องแล้วหรอที่เราจะพิพากษาเขาว่าไม่สมควรอยู่ร่วมโลกกับเรา?


    (แปรง และหวี ของพวกยิวที่ใช้ในค่ายกักกัน เขาว่าทุกส่วนในร่างกายชาวยิวหลังจากตายแล้วจะถูกนำ
                                      มาใช้ประโยชน์ทั้งหมด เช่น ผมเอามาแทนนุ่นยัดในหมอน)

                    อันที่จริง ผมก็ไม่ใช่คนโลกสวยเท่าไหร่นะ บางครั้งผมเจอคนบางกลุ่มผมก็ยังไม่อยากจะคบค้าสมาคมด้วยเลย แต่สุดท้ายแล้วตัวผมเองไม่เคยเกลียดหรือตัดสินเลยว่าเค้าเป็นคนไม่ดีหรือไม่ควรอยู่ บางครั้งถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องเจอกับ “กลุ่มคน” ที่ผม “คิดว่า” ไม่อยากจะยุ่ง มันก็อาจจะจำเป็นต้องรู้จัก และบางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้ว่าคนบางคนเป็นคนดีมากกว่าที่จิตใจผมประเมินไว้เสียอีก แต่ข้อสำคัญที่สุดเลยคือผมไม่เคยตัดสินใครจากสิ่งที่เขาเป็น....ถ้าไม่ชอบเราก็แค่เดินออกมา....

                    บทเรียนจากสงครามโลกผมไม่ได้มองว่าฝ่ายไหนถูก หรือผิด 100% ทุกอย่างมีที่มาและเหตุผลต้นตอแห่งความเกลียดชัง (ถ้าจะให้ลงลึกคงไม่ไหวเพราะนี่ไมใช่หนังสือประวัติศาสตร์เนอะ)ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ท่ามกลางความขัดแย้งคือการอยู่ร่วมกันต่อจากนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ต้องคิดว่าพวกเราจะทำยังไง ต่อให้เกลียดกันแค่ไหนมันจะดีกว่าหรือเปล่าที่ต่างฝ่ายต่างอยู่ใช้ชีวิตและจากโลกนี้ไปอย่างไม่ทำร้ายใคร...
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in