เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Abysspiyarak_s
Day 12 - 13: Lies and Lullaby
  • คำโกหก


    “ฉันเป็นคนฆ่าสองคนนั้น เหมือนกับแบล็กดาห์เลีย ตามจับฉันให้ได้สิ”


    ข้อความที่เกิดจากการตัดข้อความบนหนังสือพิมพ์มาแปะบนกระดาษเป็นคำโกหกชัด ๆ
    ผมอยากจะโยนข้อความไร้สาระที่มีไอ้บ้าสักคนที่อยากดังที่เอามาส่งให้ทางตำรวจทิ้งลงถังขยะ
    ถ้าไม่ติดว่าคนอื่นอยากเก็บเอาไว้เล่นงานคนที่ส่งให้หลาบจำที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องตอนจบคดี


    นอกจากจดหมายตัดแปะเลียนแบบจดหมายของอาชญากรในคดีแบล็กดาห์เลียที่ถูกส่งมาแล้ว
    เรายังต้องเสียเวลาไปกับโทรศัพท์ที่โทรมาแจ้งข่าวชนิดที่ฟังคำแรกก็รู้แล้วว่า พูดโกหก
    หรือแม้จะไม่ได้พูดโกหก แต่ก็คิดไปเองและเชื่ออย่างสนิทใจตามทฤษฎีที่ตัวเองตั้งว่า เป็นจริง


    อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดเอาเรื่องน่ารำคาญใจเหล่านี้ออกไปให้หมด ก็ยังไม่ได้อะไรมากกว่าเดิมอยู่ดี
    ณ เวลานี้ ไม่มีคำให้การของพยานคนไหนที่เป็นคำโกหก หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่คำโกหกที่จับไม่ได้
    แต่มันก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะเรายังไม่เข้าใกล้ตัวผู้ต้องสงสัยเลยสักนิด


    จากการสอบปากคำพยานที่อยู่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ ไม่มีใครคนไหนที่ดูมีส่วนรู้เห็นการคดีที่เกิดขึ้น
    ภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณสวนสาธารณะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะจุดที่ทิ้งศพ ไม่มีกล้อง
    ภาพของรถยนต์ที่ผ่านไปมาบริเวณสวนสาธารณะ ซึ่งไม่มีรั้วรอบอะไร แต่เป็นเพียงพื้นที่สีเขียวในเมือง
    ไม่มีรถยนต์คันไหนที่ผิดสังเกต ทีมที่ทำงานกับภาพจากกล้องวงจรปิดยังไม่ได้อะไรเพิ่มเติมมากกว่าเดิม


    ในส่วนของการวิเคราะห์ถึงตัวผู้ต้องสงสัย และการติดตามหาตัวผู้ต้องสงสัย ซึ่งพีทกับผมเป็นทีมหลัก
    เราใช้เวลาไปกับการพิจารณาหาแบบแผนการปฏิบัติการ และลักษณะที่น่าจะเป็นของอาชญากร
    อาชญากรที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาลัยการอาชีพที่นีล แม็คเคนซีกับคอนสแตนติน่า เฮอร์สิกอสเรียน
    และต้องเป็นคนที่พวกเขาไว้ใจมากพอที่จะพูดคุยหรืออยู่ด้วยตามลำพังโดยไม่คิดระแวงอะไรเลย


    เรายังไม่รู้ว่า คนคนนั้นเป็นหญิงหรือชาย แม้ในตอนแรก ตามทฤษฎีของเพื่อนร่วมงานของผมส่วนใหญ่
    คิดว่า คนร้ายอาจเป็นผู้ชายและอาจเป็นคนในกลุ่มรักเพศเดียวกัน แต่ทฤษฎีนั้นสั่นคลอนหลังมีศพที่สอง
    คนร้ายอาจเป็นหญิงหรือชายก็ได้ ผมยังไม่อยากตัดความเป็นไปได้ออก เพียงเพราะผู้หญิงแรงน้อยกว่า
    ไม่น่าขนย้ายศพคนทั้งคนได้ แต่ทั้งนีลและคอนสแตนติน่าไม่ใช่คนตัวใหญ่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นแข็งแรงพอ
    ก็อาจแบกผู้ชายตัวใหญ่กว่าได้ด้วยซ้ำไป เหมือนที่เจมม่าเคยแบกพีทที่เมาเละเทะไปขึ้นรถแท็กซี่


    ผมยืนอิงขอบโต๊ะ กอดอกมองแผนภูมิ รูปภาพ แผนที่ที่แสดงความเชื่อมโยงกันด้วยหมุดและเส้นด้ายสี
    พีท โดเฮอร์ตี้ยึดเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของผม และนั่งหมุนซ้ายหมุนขวาไปมา พร้อมแทะดินสอไปด้วย


    “จิตแพทย์ นักจิตวิทยา เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษา... บาร์เทนเดอร์...”


    พีทหยุดหมุนเก้าอี้ เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกมาแต่ละคำ แล้วลุกไปหยิบปากกาไวท์บอร์ดมาเขียน
    สิ่งเหล่านั้นเอาไว้บนกระดานแบบตั้งได้ที่เอามาวางเพิ่มในออฟฟิศที่เราใช้ทำงานด้วยกันเพิ่มอีกอันหนึ่ง
    จากนั้นก็ถอยหลังเดินมาอิงโต๊ะตัวเดียวกับผม ใช้มือข้างหนึ่งยันขอบโต๊ะเอาไว้ แล้วหันมามองผม


    “บาร์เทนเดอร์...” เขาขมวดคิ้ว “นายแน่ใจนะ ฮัล ว่าจะรวมคนในอาชีพนี้เข้าไปด้วย”
    “ถ้านายไม่เห็นด้วย นายคงจะท้วงตั้งแต่แรก แล้วไม่เขียนความเป็นไปได้นี้ลงบนกระดานหรอกจริงไหม”
    ข้อสังเกตของผมทำให้เขาทำเสียงหึ แล้วยกนิ้วขึ้นมาโบกตรงหน้าผม ห้ามไม่ให้ยกตัวอย่างมาอธิบาย
    ท่าทางของเขาทำให้ผมกลั้นยิ้ม เพราะเขารู้ทันว่า ผมยกตอนที่เขาเมาฟูมฟายให้เจนน่าปลอบมาพูดแน่


    “ฉันรู้หรอกน่า ว่านายคิดอะไรอยู่” พีทฉีกยิ้ม เขาเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย ๆ และผมชอบเขาตรงนั้น
    “นายอธิบายให้หัวหน้าเราดี ๆ แล้วกันว่า ทำไมถึงไปหาคนที่เข้าถึงยากับอุปกรณ์การแพทย์ได้ในผับ”
    “แน่นอน” ผมหัวเราะแล้วขยิบตาให้เขาที่หัวเราะตามผมด้วย “เรามัน Partners in crime กันอยู่แล้วนี่”
    เขากำหมัดยื่นมาให้ผม ผมกำหมัดข้างหนึ่งของตัวเองไปกระทบกับหมัดของเขา เป็นข้อตกลงที่เรารู้กัน


    “นั่งต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา กลับบ้านไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมไปทะเลกันดีกว่า” พีทลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
    หยิบเอาเสื้อแจ็คเก็ตของเขาที่พาดไว้บนพนักเก้าอี้ของผมออกพาดแขนของเขา แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้
    “ในขณะที่ Partner in Crime ของนายอย่างฉันไปหาอะไรกิน นายก็ไปลา Partner ของนายที่บ้านซะ”


    “เดี๋ยวก่อน พีท... ลีโอกับฉันยัง...” ผมพูดไม่ทันจบประโยค คู่หูของผมก็กลอกตา ทำเสียงปรามให้หยุด
    “นายโกหกคนอื่นได้ แต่อย่าโกหกตัวเอง ฮัล” เสียงของพีทจริงจังกว่าทุกครั้ง จนผมต้องหยุดฟังที่เขาพูด
    “ฉันเห็นสายตาของนายที่มองลีโอ แล้วก็สายตาลีโอที่มองนาย สายตาของคนรักกันมันไม่โกหกหรอก”


    “ถ้านายไม่อยากจะมาร้องไห้ฟูมฟายกับเจนน่าที่บาร์ ก็อย่าทำแบบฉันตอนที่ทุกอย่างสายไปแล้ว รู้ไหม”
    คำพูดของเขาทำให้ผมได้แต่นิ่งเงียบ ในขณะที่เขายื่นมือออกมาตบต้นแขนของผมเบา ๆ อย่างเข้าใจ
    “ขอบใจ พีท” ผมเอ่ยกับคู่หูที่เป็นตำรวจไอริชคาทอลิกที่ไม่เคยมองว่าการรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องผิด
    เขายิ้ม ก่อนโบกมือลา พร้อมบอกว่า พบกันพรุ่งนี้ตามเวลานัด ในขณะที่ผมเก็บของตัวเองเพื่อกลับบ้าน


    ระหว่างเก็บข้าวของและเอกสารที่สามารถนำไปศึกษาต่อที่บ้านได้ จนกระทั่งเดินออกไปถึงที่จอดรถ
    ผมอดคิดถึงสิ่งที่พีท โดเฮอร์ตี้พูดกับผมเมื่อครู่ที่ผ่านมาไม่ได้... ความสัมพันธ์ของลีโอกับผมก็เรื่องหนึ่ง
    แต่ยังมีเรื่องที่สะกิดใจผมเป็นพิเศษ และทำให้ผมอยากคุยเรื่องนี้กับลีโอก่อนที่เราจะไม่ได้พบกันพักใหญ่


    หลังจากตรวจสอบสถานที่พบศพของคอนสแตนติน่าเมื่อเช้าวานนี้ และเดินออกมาพูดคุยกันด้านนอก
    ผมรู้สึกว่า มีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองผมอยู่... มันไม่ใช่สายตาของพีท ของลีโอ หรือของใครที่ผมรู้จัก



    ผมแค่อยากแน่ใจว่า สายตาคู่นั้นไม่ใช่ของ ดร. เฟรเดอริก เครชเมอร์ จิตแพทย์ของเขาที่บังเอิญอยู่ที่นั่น



    13. Lullaby

    ผมเอนหลังลงบนที่นอน พยายามบอกตัวเองให้หยุดคิด และปล่อยความรู้สึกไปกับสัมผัสของคนตรงหน้า
    หนวดเคราของลีโอยังคงให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ผมยังไม่ชินเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะนั่นคือเขา
    ผมเผลอกลั้นหายใจ เมื่อปลายจมูกและริมฝีปากของเขาลากผ่านอกของผมและเลื่อนต่ำลงไปเรื่อย ๆ
    ถึงเราจะมีอะไรกันมาหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน และผมรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง


    ไม่เหมือนครั้งแรก เขาอาจขัดเขินแต่ยังคงชัดเจนในความต้องการที่เขาใช้ร่างกายเอ่ยแทนคำพูด
    ในครั้งนี้ เขากล้าทำในสิ่งที่ผมเคยทำให้  ทว่าผมรู้สึกถึงความกดดันมากกว่า
    ผมสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่เขาพยายามซ่อนมันเอาไว้ 
    และพยายามเลือกภาษากายที่อยากสื่อให้ผมได้รับรู้
    ผมรู้สึกว่า ระหว่างเราสองคนในเวลานี้ เป็นเรื่องที่เราพยายามทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีมากกว่าอยากทำจริง ๆ


    ผมไม่ควรคิดถึงภาพร่างไร้ชีวิตของนีลกับคอนสแตนติน่าที่ถูกหั่นช่วงท้องจนขาดออกเป็นสองท่อน
    แต่นิ้วของเขาที่ลากผ่านหน้าท้องทำให้ผมปั่นป่วน และอึดอัดจนอยากอาเจียนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


    “ลีโอ... หยุดเถอะ” 


    ผมไม่รู้ว่าเสียงของผมตอนนั้นเป็นแบบไหน แต่ทันทีที่เอ่ยปากห้าม ความเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดลง
    ลีโอเงยหน้าขึ้นมองผม สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ผมเห็นความโล่งใจและกังวลระคนอยู่


    เขายันตัวลุกขึ้น ย้ายมานั่งบนขอบเตียงข้างฝั่งที่ผมนอนอยู่ ในขณะที่ผมดึงกางเกงที่ร่นลงถึงสะโพกขึ้น
    ผมเปลี่ยนท่าจากนอนเป็นนั่ง หย่อนขาลงข้างเตียง ก้มเก็บเสื้อยืดที่ถูกถอดออกไปก่อนหน้านี้ขึ้นมาสวม
    เราสบตากัน มองกันเงียบ ๆ มีอะไรบางอย่างในสายตาของเราที่บอกว่าเราต่างกำลังคิดเรื่องเดียวกัน


    เฟรเดอริก เครตช์เมอร์ จิตแพทย์ของลีโอ...


    ผมใช่คนที่เกลียดใครง่าย ๆ แต่ผมไม่ชอบสายตาผู้ชายคนนี้ในเวลาที่เขามองผม เมื่อเราสัมผัสมือกัน
    ผมจงใจแนะนำชื่อของตัวเองกับเขาว่า ฮารุ ชิมาดะ โดยไม่ได้ให้เขาเรียกผมว่า ฮัล แบบที่คนอื่นเรียก
    สายตาของเขาบ่งชัดว่า ผมเป็นแค่คนเอเชีย ผิวเหลืองคนหนึ่งที่ไม่ควรอยู่ในฐานะสารวัตรแผนกสืบสวน
    ส่วนสายตาของเขาที่มองไปยังลีโอ ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนเก่าแก่และคนไข้ของเขาด้วยนั้น ก็เต็มไปด้วยคำถาม
    ทำไมเขาถึงได้มาสนิทสนมกับผมได้ถึงขนาดนี้ เป็นอคติที่เขาพยายามเก็บซ่อนไว้ แต่ไม่มิดเอาเสียเลย

      
    เครตช์เมอร์ยังไม่รู้ว่า ลีโอกับผมเริ่มมีความสัมพันธ์กันเกินกว่าความเป็นเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนสนิท
    นั่นเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเราสองคนแล้ว และนั่นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำความจริงประการหนึ่งว่า
    ถึงอังกฤษจะให้สิทธิแก่คู่รักเพศเดียวกันในการจดทะเบียนสมรสและแต่งงานกันได้แล้ว
    แต่อคติบางอย่างของคนบางคนก็ยังคงอยู่ เพียงแต่ไม่แสดงออก และกดเก็บเอาไว้ในใจเท่านั้น


    ผมมองออกว่า ลีโออ่านความคิดของเครตช์เมอร์ออก และดูจะตกใจกับท่าทีของเพื่อนอยู่ไม่น้อย
    ผมไม่รู้ว่า หลังจากที่เราแยกย้ายกันไปจากที่เกิดเหตุ เครตช์เมอร์พูดอะไรกับลีโอเกี่ยวกับผมไปบ้าง
    ไม่ว่าจิตแพทย์ผู้นั้นจะพูดอะไร ผมเดาได้ว่า คงไม่ใช่เรื่องดี ไม่เช่นนั้น ลีโอคงไม่แสดงออกกับผมแบบนี้


    สัมผัสที่นุ่มนวลแต่แฝงความอึดอัดและกดดันของเขาบอกผมว่า เขาพยายามจะบอกผมว่า
    ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ไม่ว่าผมจะเป็นใคร มาจากไหน หรือเป็นอย่างไร เขาก็ยังจะรักผมอย่างนี้ต่อไป
    เขาเป็นนักวิชาการ เขาบรรยายสิ่งที่เขารู้และชำนาญได้ แต่เขาไม่ใช่คนที่เก่งในเรื่องอธิบายความรู้สึก
    เขาดูเหมือนเข้มแข็ง แต่ความจริงแล้ว เขาอ่อนไหว เขาแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้างกว่าที่ใครคาดคิด


    “ลืมเครตช์เมอร์ไปเถอะ ผมไม่สนใจว่าเขาจะว่ายังไง” ผมเอ่ย “คุณรู้สึกดีกับผม ผมก็พอใจแล้ว”


    บางที ลีโอก็เหมือนจะลืมไปว่าผมจบมาด้านจิตวิทยาอาชญากรรม และตอนนี้ เขาก็มองผมด้วยสายตา
    ตื่นเต้นที่ผมอ่านความคิดของเขาออก และเข้าใจเขาได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ


    ที่จริงแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมเชื่อว่าเรากำลังสงสัยเหมือนกัน... เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องทั้งสอง
    เราสองคนต่างรู้ดีว่า ลักษณะของเฟรเดอริก เครตช์เมอร์มีหลายอย่างที่ตรงกับลักษณะคนร้ายที่ผมหา
    แต่ยังไม่มีใครที่กล้าฟังธงว่า เราควรพุ่งเป้าไปที่เขา เพราะยังมีบางอย่างที่ยังต้องเผื่อใจไว้ว่าอาจไม่ใช่

    “นอนเถอะ พรุ่งนี้ ผมต้องไปไบรตันกับพีทแต่เช้า” ผมตัดสินใจตัดบท และเก็บทุกอย่างเอาไว้ในภายหลัง
    “ฉันคงนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ แต่จะพยายามไม่กวนเวลานายนอน” เขาบอกกับผมตามตรง 


    ท่าทางของเขาทำให้ผมอดยิ้มขันไม่ได้ ผมเอื้อมมือไปวางบนขาของเขา และบีบเบา ๆ 
    “ให้ผมร้องเพลงกล่อมนอน คุณจะนอนไม่หลับเลยมากกว่า เผลอ ๆ เก็บไปฝันร้ายได้อีก” 


    มีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนริมฝีปากของเขา ในขณะที่แขนสองข้างของเขาสอดเข้ามาโอบรอบเอวของผม
    ดึงตัวให้นอนลงบนเตียง สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ ผืนเดียวกัน และเอื้อมมือออกไปปิดสวิตช์โคมไฟ
    “งั้นนอนกอดนายแบบนี้จนกว่าจะหลับแทนก็แล้วกัน” เขากระซิบ และผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธ

      
    ผมเบียดตัวเข้ากับอกของเขา และหลับตาลง ปล่อยให้เขาโอบกอดผมไว้จากด้านหลัง
    มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากบอกเขาเกี่ยวกับเครตช์เมอร์ และผมคิดว่าหากเขาได้ยินแล้ว อาจสบายใจขึ้น
    แต่ผมก็ไม่อยากพูดเรื่องนั้นออกไปจนกว่าจะได้คุยกับพีท กับทีมสืบสวนคดีในความรับผิดชอบเสียก่อน


    ผมอดคิดไม่ได้ว่า คนที่เหยียดเชื้อชาติอย่างเปิดเผย เมื่อมีโอกาสที่จะทำได้อย่างเครตช์เมอร์
    อาจไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่านีลกับคอนสแตนติน่าที่เราต้องการตัว แม้ว่าผมอยากจะให้เขาเป็นเหลือเกินก็ตาม



    To be continued >>> Day 14 - 15: Christmas and Kitchen Knife 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in