เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Beginning to the age of heroesWorawisuth Chalacheebh
The Vagabond
  • หลังจากพายุหิมะหนักเข้ามาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหมู่บ้านของเราก็เละเทะไปหมด หลังจากท้องฟ้าสว่างแล้ว ก็ได้เวลาที่พวกเราจะต้องสร้างและซ่อมแซมของที่พังไป และขุดซากขึ้นมาจากหิมะ แต่ต่อให้สร้างขึ้นมาแล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกยักษ์แดงมันจะบุกขึ้นมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ พวกเราได้ข่าวจากทหารที่ไปช่วยผู้อพยบขึ้นมาจากทางใต้
    หมู่บ้านของเราเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ทางเหนือ แถวนี้เป็นส่วนที่สงบสุข ทหารจากเมืองหลวง ตรวจตราแถวนี้บ่อยจึงไม่มีโจรมากนัก แต่พักหลังนี่พวกเขาต้องไปช่วยเหลือผู้คนย้ายถิ่นที่อยู่ เพราะฉนั้นปัญหาที่มีคือพวกช้างป่าที่บุกรุกเข้ามา พวกมันก็อาจจะหนีสงครามขึ้นมาก็ได้แต่ว่าพวกผู้ใหญ่ก็กลัวมันโจมตี โดยเฉพาะตอนนี้ได้เวลาเพาะปลุกแล้ว
    “มีคนมา” พวกผู้ใหญ่ตะโกนเรียกกัน พวกพี่ๆผู้ชายหยิบดาบขึ้นมา พวกเรามาซ่อนข้างหลัง พักหลังมานี่พวกเราต้องระวังตัวกันเป็นพิเศษ
    “สวัสดีค่ะ” คนที่พึ่งมาถึงโบกมือทักทาย
    “แนะนำตัวมา” พวกผู้ใหญ่ยังไม่ลดดความระมัดระวังลง
    “ข้าเป็นนักพเนจรที่ผ่านมาค่ะ” เธอตอบ
    ถึงเสียงและคำพูดของเธอเป็นผู้หญิงแต่ร่างกายของเธอใหญ่มาก ใหญ่กว่าพวกผู้ใหญ่ผู้ชายของหมู่บ้านเราซะอีก ด้วยความที่ทุกคนบังเราอยู่ จึงเห็นแต่ยอดของหัวเธอที่ยื่นออกมา เธอมีผมยาวข้างบนที่ถูกมัดเป็นเปียไว้ ถึงแม้จะเห็นไม่ชัดแต่เหมือนผิวของเธอเป็นสีเขียวอ่อนๆ ด้วยความอยากรู้จึงแทรกเข้าไป เธอเป็นยักษ์เขียว ร่างกายใหญ่อยู่ในชุดเบาและเธอพกขวานขนาดใหญ่
    “ตอนนี้ชั้นอาหารและน้ำหมด ถ้าเกิดว่าชั้นช่วยทำงานที่นี่ชั้นขอที่พักและอาหารกับน้ำได้ไหมคะ” เธอกำลังเจรจากับผู้ใหญ่บ้าน
    “ตอนนี้เรามีอาหารเหลือไม่เยอะนักพอจะแบ่งให้ได้ แล้วถ้าเกิดเธอต้องการที่พักก็ช่วยพวกชั้นซ่อมบ้านก่อนสิ่” แถวนี้ไม่ค่อยมีนักพเนจรผ่านมามากนัก แต่เราก็ไม่ได้ต้องมีอะไรต้องกลัว ยังไงทหารหลวงก็ผ่านแถวนี้บ่อยอยู่แล้ว
    “แต่งานตรงนี้เยอะนะ เธอจะไหวหรือเปล่า” ถึงแม้เธอจะเป็นคนตัวใหญ่ แต่สำหรับพวกผู้ใหญ่แล้ว ผู้หญิงไงยังก็ไม่น่าแข็งแรงมาก “จะพยายามนะคะ” เธอยิ้ม เราไม่เคยเห็นยักษ์มาก่อน เคยได้ยินแต่เรื่องเล่า เราไม่เคยคิดเลยว่ารอยยิ้มของพวกเขาจะสวยงามขนาดนี้ เธอวางของลงและเริ่มทำงาน เธอแบกของไปมา ตั้งแต่ของเบาๆ จนถึงเสาเข็มของบ้านที่ทำมาจากต้นไม้เกือบทั้งต้น เธอยกมันขึ้นบ่าและทุบมันลงไปในพื้นด้วยตัวคนเดียว คนในหมู่บ้านถึงกับตาเหลือกเลยทีเดียว เคยได้ยินถึงความแข็งแรงของยักษ์แต่นี่มันเกินคาดมาก คนในหมู่บ้านเปลี่ยนจากกลัวเธอแรงไม่พอเป็นเธอแรงเยอะไปแล้วจะทำของพังหมด
    งานซ่อมแซมของหมู่บ้านเป็นไปได้เร็วกว่าที่เราคิด ตอนเย็นเราจึงมากินข้าวกัน หมู่บ้านมีของที่หมักดองไว้ตั้งแต่ก่อนฤดูหนาว เรากลัวว่ายักษ์จะกินเยอะกว่าพวกเราเพราะเธอออกแรงเยอะมาก และร่างกายก็ใหญ่ แต่เธอก็ไม่ได้ทานเยอะกว่าคนทั่วไปเท่าไหร่
    “ยักษ์ขึ้นมาทำอะไรถึงที่นี่หรอ” ผู้ใหญ่บ้านถาม
    “รัฐบาลของพวกข้ามีความเห็นว่าควรจะขยายความรู้ทางด้านสังคม และ เพื่อให้คนชินตากับยักษ์มากขึ้นค่ะ พวกเขาเลยเลือกยักษ์จำนวนนึง เพื่อออกมาเที่ยวทั่วทวีป ข้าเลือกที่จะมาทางเหนือ เพราะว่าข้าอยากเห็นหิมะ” เธอตอบ
    “นั้นสิ่นะ ทางใต้ไม่มีหิมะหนิ” คนในหมู่บ้านตอบ
    “ใช่ค่ะ ข้าอยากเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่รสชาติมันไม่หวานอย่างที่ข้าคิด” คนในหมู่บ้านหัวเราะกับคำตอบของเธอ
    มันมีความอคติของมนุษย์แถวนี้คือพวกยักษ์เป็นพวกโง่ที่บ้ากำลัง มันเป้นความคิดที่ฝังอยู่ในความนึกคิดของพวกเรา น่าจะมีทางเรื่องเล่าและตำนานต่างๆที่ส่งต่อกันมา ตอนที่เธอใช้แรงเยอะๆช่วยทำงานชั้นก็เริ่มคิดว่าเรื่องพวกนั้นมันจริงเหมือนกัน แต่ว่าได้เห็นอย่างงี้แล้ว มันไม่ได้ดูเหมือนความโง่แต่เป็นความบริสุทธิ์มากกว่า เธอเหมือนเด็กๆที่ไม่ได้มีประสบการณ์เยอะแต่ว่าพร้อมที่จะเรียนรู้
    เธอเล่าเรื่องต่างๆที่เธอเจอในการเดินทางนี้ให้พวกเราฟัง เธอพูดถึงเงือกที่เธอเจอที่หาดเงือก เธอบอกว่าพวกเขาสวยงามมาก และระหว่างเดินทางผ่านใกล้ๆกับ เอเวนวู้ด เธอได้เจอกับ ขบวนเอลฟ์ที่เหมือนจะเดินทางไปเวสแลนด์ เธอพูดถึงขบวนอันยิ่งใหญ่นำโดยเอลฟ์บนหลังกวาง เธอเล่าเรื่องพวกนั้นด้วยดวงตากลมโตและรอยยิ้ม พอพวกเด็กๆมานั่งฟังเธอก็เริ่มเล่าถึงถ้ำที่เต็มไปด้วยค้างคาวและหุบเหวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น พวกเด็กๆก็ตกใจกลัวและเธอกับพวกผู้ใหญ่ก็หัวเราะกัน เมื่อพระจันทร์ขึ้นมาอยู่เหนือหัว ทุกคนก็เริ่มหลับกัน เรานอนหลับตานึกถึงเรื่องเล่าต่างๆที่เธอเล่า
    ตอนนั้นเองเราก็ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่าชนิดนึง พ่อลืมตาขึ้นมาบอกว่า ไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ช่วงนี้เราพบกับสัตว์ป่ามากกว่าปกติ พวกมันอาจจะหนีความวุ่นวายทางใต้และหนีขึ้นมา ถึงคุณพ่อบอกว่ามันจะผ่านไปแต่เสียงคำรามของพวกมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไฟข้างนอกเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับพวกผู้ใหญ่ออกไปจุดไฟเพื่อไล่สัตว์พวกนั้น แต่เสียงพวกมันก็ยังใกล้เข้ามา พ่อเริ่มทำหน้าตากังวลพร้อมกับไปหยิบดาบมา แต่พอมองออกไปเราเห็นเงาของผู้หญิงร่างใหญ่คนนั้นถือขวานยืนอยู่ เป็นภาพเงาที่ตัดกับแสงที่สาดเข้ามา หลังจากนั้นก็มีเงาของสัตว์ป่าหลายตัวค่อยๆคลานเข้ามา พ่อที่ชะโงกหัวออกไปมองหลุดปากออกมาว่า “เสือหิมะ” เสือหิมะเป็นสัตว์ป่าพื้นบ้านของแถวนี้ ปกติพวกมันจะอยู่อาศัยในถ้ำและหากินในป่า เราเลยไม่เคยเห็นพวกมันตัวเป็นๆเลย เราเลยตามมามองลอดช่องเต็นท์ออกไป พวกมันมีขนสีขาวตัดด้วยดำ เขี้ยวบนยื่นออกมานอกปาก ขาสี่ขาของมันที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกำลังย่อพร้อมกระโจน ยักษ์ตนนั้นกำลังมองไปรอบๆ เหมือนตรงนั้นทั้งหมดกำลังดูท่าทีกันอยู่
    พวกมันมองไปที่เต็นท์ที่เก็บอาหารราวกับจะมาแย่งอาหารของเรา “กึก” มีเสียงดังออกมาจากเต็นท์ข้างๆ คงมีใครทำอะไรหล่นในนั้น พวกเสือหิมะก็กระโจนไปทางนั้น
    “อย่าออกมานะคะ” ยักษ์ตนนั้นตะโกนออกมา พร้อมกับจามขวานลงไปที่เสือตัวที่อยู่หน้าที่สุด มันกระเด็นออกไป เสือที่เหลือทั้งหมดเริ่มเข้าจู่โจมทันที เธอยกขวานกัน หนึ่งในพวกนั้นมตัวใหญ่ที่สุดอยู่ มันกัดไปที่ขวานของเธอ เขี้ยวของมันจมลงไปที่ปลายขวานเก่าๆ มันกระชากและทำลายขวานจนแตก เธอมองไปที่ปลายขวานที่พังแล้วโยนมันทิ้ง พวกเราในเต็นท์เริ่มกังวลแล้ว คุณพ่อจับดาบแน่น เหมือนเขาจะออกไปช่วย แต่พอมองออกไปกับต้องตะลึง เธอใช้มือเปล่าสู้กับเสือพวกนั้น ทั้งชก ทั้งตบ จับทุ่ม เสือที่โจมที่เข้าข้างหลังของเธอก็กัดลงไปที่ไหล่ เธอจิกขนมันขึ้น จับเขี้ยวของมันและหักทิ้งเหมือนหักกิ่งไม้ เลือดสีแดงของพวกมัน ตัดกับผิวสีเขี้ยวของเธอ นัยตาของเธอมันช่างกับตอนกลางวัน ราวกับสัตว์ประหลาดได้ตื่นขึ้นมา
    เจอซัดพวกมันจนนอนกองลงไป
    “โฮก” เธอคำรามออกมา และค่อยเดินเข้าไปหาพวกมัน เสือตัวใหญ่ที่สุด ลุกขึ้นมามอง แล้วก็หันและเดินหนีมัน พวกมันที่เหลือเดินตามเข้าไปในป่า
    เธอนั่งลงเหมือนหมดแรง เราหยิบของในเต็นท์ออกไปเพื่อทำแผลให้ “กลัวข้าหรือเปล่า” สายตาของเธอได้กลับมาเป็นเหมือตอนกลางวันแล้ว น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้เราสบายใจขึ้น ถึงแม้รอยเลือดของสัตว์พวกนั้นยังอยู่บนผิวของเธอ “ไม่เลยค่ะ” เราตอบกลับไป รอยยิ้มของเธอที่แสดงออกมามันช่างสวยเหลือเกิน “ถ้าไม่มีเธอนี่เราแย่เลยนะ” พวกผู้ใหญ่ชมเธอและช่วยทำแผลให้
    “อยู่ต่อก่อนสิ่” เสียงปลุกเราตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ยักษ์ตนนั้นกำลังจะออกจากหมู่บ้านไป “รบกวนมานานมากพอแล้วค่ะ” เธอตอบกลับ “ยังไงก็อยากรีบขึ้นไปเหนือที่สุดก่อนค่ะ ไว้ยังไงขากลับถ้าผ่านมาจะแวะมาทักทายนะคะ” เธอเก็บอาหารที่คนในหมู่บ้านเตรียมไว้ให้เข้ากระเป๋า “หือ” เหมือนเธอรู้สึกถึงอะไรบ้างอย่าง “เหมือนจะมีคนกลุ่มใหญ่มาทางนี้นะคะ” เมื่อหันไปมองก็เห็นพวกทหารที่อพยพคนกำลังจะเดินทางมา “อ่อ ไม่มีอะไรหรอก นั้นพวกทหารหลวงเขากำลังเช่วยเคลื่อนย้ายคนหนีสงครามน่ะ” ผู้ใหญ่บ้านตอบกับเธอ
    “สงครามหรอคะ” สงสัยด้วยความที่เธอเดินทางมาตลอด เธอจึงไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่
    “ใช่ เห็นว่าพวกยักษ์แดงมันบุกขึ้นมาถึงเซาท์แลนด์แล้วนะ” พอเธอได้ยินอย่างงั้น ตัวเธอเริ่มสั่น
    “เป็นไปไม่ได้หรอก พวกมันออกมาจากทุ่งแดงไม่ได้หรอก ตรงนั้นมีป่าเลือดกันอยู่” ป่าเลือดเป็นเหมือนกับเมืองหลวงของพวกยักษ์เขียว มันถูกทำลายโดนยักษ์แดงเป็นที่แรกเลย
    “นี่เธอไม่รู้หรอกหรอ พวกมันบุกผ่านตรงนั้นมาได้สักสัปดาห์นึงแล้วนะ” ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับไป ถึงแม้มันจะเป็นเหมือนเมืองหลวงของยักษ์เขียวแต่เธอก็อาจจะไม่ได้มาจากที่นั้นก็ได้
    “ไม่จริงหรอก ตรงนั้นมียูริมที่เป็นหัวหน้ากองทหารป้องกันตนเองคุมอยู่นะ” เธอตัวสั่นเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา
    “ขอโทษนะที่ต้องมาบอกอย่างงี้” ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับไป เหมือนตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าเธอน่าจะมาจากที่นั้นนั้นแหละ
    “ขอบคุณนะคะ แต่ที่ว่าจะผ่านกลับมานั้นข้าว่าจะไม่ได้ขึ้นไปที่เหนือแล้วค่ะ เสียงของป่ามันเรียกข้าอยู่” ก่อนที่เธอจะหันหลังเพื่อเดินจากไป ถึงแม้เธอจะยิ้มให้พวกเรา สายตาเธอมันเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เศร้า เป็นห่วง แต่ว่าพอมองเข้าไปลึกๆแล้ว มันเหมือนมีประกาศความหวังอยู่ด้วย เธอลูบหัวเราแล้วเดินจากไป
    “หนูยังไม่รู้ชื่อท่านเลย” เราตะโกนเรียกกลับไป ถ้าเราเป็นนักพเนจรในอนาคตก็อาจจะเจอกับเธออีกก็ได้
    เธอหันกลับมาตอบ
    “ชั้นชื่อ...”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in