Movie Review
“Split
จิตหลุดโลก”
เป็นหนึ่งในเรื่องที่ดูเพราะกระแส (อีกแล้ว) เราไม่ผิดนะที่ชอบดูหนังที่มีคนรีวิว ลดเปอร์เซ็นต์ที่จะผิดหวัง T w T ตัวพล็อตก็น่าสนใจ น้องสาวบ่นอยากดู อีกอย่างชอบหน้านางเอก (Anya Taylor-Joy) และในเรื่องนางก็สวยทุกช็อตจริงๆด้วยยยยย ที่คนบอกงงๆ เราว่าก็ไม่งงเท่าไหร่นะ เรื่องสามารถประคับประคองเราไปได้ยันตอนจบ เริ่ม!
เรื่องย่อ
Casey, Claire, และ Marcia สามสาวไฮสคูลถูกลักพาตัวไปโดยชายปริศนาที่ชื่อ Kevin ระหว่างที่พวกเธอถูกขังใต้ดิน ทุกๆวัน Kevin ก็จะเข้ามาหาด้วยบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป บางวันเขาก็เป็น Dennis ผู้ชายเนี้ยบเจ้าระเบียบ ชอบดูหญิงสาวแก้ผ้าเต้นระบำ บางวันก็เป็น Patricia หญิงสาวที่ชื่นชอบเพลงเอเชีย และบางวันก็เป็น Hedwig เด็กไร้เดียงสาอายุเก้าขวบ แท้จริงแล้ว Kevin เป็นโรคหลายบุคลิก (dissociative identity disorder - DID) ที่เข้ารับการรักษาจาก Dr.Fletcher แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือเขากำลังสร้างบุคลิกที่ 24 ขึ้นมา และนั่นเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่เขาจับตัวพวกเธอทั้งสาม
ตัวละคร
Kevin – ต้องบอกว่า James McAvoy ไม่ทำให้ผิดหวัง เรารู้สึกว่าเขารับบทบาทได้ดีไม่ว่าจะเป็นสายตา ท่าทาง ลักษณะการพูดจา ลำพังแค่การเล่นเป็นตัวละครหนึ่งๆก็ยากอยู่แล้ว นี่เล่นรับบทหลักๆทั้งหมด 6 บท (Dennis, Patricia,Barry, Hedwig, Kevin, The beast) แต่ก็ยังทำให้เราเชื่อได้หมดใจว่าเขาไม่ใช่คนๆเดิม สายตาของ James สื่อความเจ็บปวด ความกดดัน ความรู้สึกแปลกแยกออกมาได้เป็นอย่างดี ลักษณะตัวละครที่สมจริงสมจัง (ส่วนตัวไม่คิดว่ามันเวอร์ไปหรืออะไร เพราะเราเองไม่เคยได้ยินโรคนี้มาก่อน จะไปตัดสินได้ยังไงว่าเป็นไปไม่ได้) ไม่ใช่เพียงทำให้การดำเนินเรื่องหนักแน่น สมเหตุสมผล แต่ยังทำให้เรามองเห็นและเข้าใจผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกได้มากขึ้น ช่วงจังหวะหลังๆเราหลุดเข้าไปในหนังและไม่ออกมาอีกเลยจนจบ บทมันต้องทรงพลังขนาดไหนอะ อ้อ แล้วตอนเป็น Hedwig น่ารักจนอยากเข้าไปอุ้มโอ๋เอ๋ แงๆๆๆๆๆๆๆ
Casey – เพิ่งเคยได้เห็นฝีมือการแสดงของ Anya แล้วบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา บรรยากาศเรื่องนี้จะเน้นความแปลก ความน่าระแวง ความลึกลับ ความเงียบงันตลอดเวลา และ Casey ก็ represent ทุกอย่างที่พูดไปได้หมดเลยในตัวคนเดียว สิ่งที่ตีโจทย์แตกมากๆคือ Casey ทำให้เรารู้สึกว่าเธอไม่เหมือนใคร เธอไม่ใช่พวกเดียวกับสาวสวยอีก 2 คนที่โดนจับมา ทั้งๆที่ทุกคนมีจุดประสงค์ต้องการจะหนีออกไปจากที่นี่เหมือนกัน
และที่สำคัญที่สุด คือการซ่อน Conflict เอาไว้ในใจของเธอ เรารู้สึกว่า Casey มีอะไรปิดบังตลอดเวลา ยิ่งเรื่องฉายสลับกับเหตุการณ์ในวัยเด็กของ Casey เรายิ่งเห็นกระบวนการคลายหรือเฉลย Conflict นั้นทีละนิด ทีละนิด เรียกได้ว่าการตัดฉากสลับฉากก็มีส่วนช่วยให้นิสัยตัวละครชัด รัดกุม ไม่มีหลุดคาแรกเตอร์
รวมๆแล้วคือนักแสดงทุกคนฝีมือคุณภาพ ถ้าจะขัดใจก็อาจเป็นตัว Casey เองนี่แหละที่บางครั้งก็น่ารำคาญ ถ้าเป็นเพื่อนนางคงปล่อยเกาะหรือฆ่ากันเองไปแล้ว(?) แต่เพราะเป็นตัวละครที่น่าสงสารโกรธไม่ลง ดูจนจบก็รู้สึกแต่ ‘โถ แม่หนู’ T v T
(มีสปอยล์)
ถ้าเป็นเรื่องของการแสดงแล้ว มีฉากนึงที่อยากนำเสนอว่าชอบมากๆ คือฉากที่ The beast หรือ บุคลิกที่ 24 ของ Kevin นั้นพยายามจะทำร้าย Casey แล้วใช้มือง้างกรง…โอ้โหหหหหห สายตาและใบหน้าของ James ทำให้เราขนลุกติดตา แทบจะร้องหูวออกมาดังๆ พลังการแสดงที่เขาส่งออกมามันล้นทะลัก จนเรารู้สึกได้ประหนึ่งกำลังนั่งดูจอ 4D ไม่ใช่แค่นั้น! พอเห็น Casey มีบาดแผลเป็น แล้ว The beast บอกว่า ‘เธอแตกต่างจากพวกนั้น’ ‘หัวใจเธอบริสุทธิ์’ ‘คนที่ถูกทำร้ายต่างหากที่เหนือกว่า’เรารู้สึกหน่วง อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก คือเราเข้าใจความรู้สึกพวกเขาดีทั้งที่ไม่เคยถูกทำร้าย
เหมือนนักแสดงคุมโทนซีเรียสมาจนถึงขีดสุด ตู้ม! ระเบิด อะไรแบบนั้น
พล็อต
แม่จ๋าๆๆๆๆ พล็อตมันดีมาก!!! ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆสักคำให้ลึกซึ้ง คือมันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างหนังทริลเลอร์ที่ไม่พีคหรือแอคชั่นหนักมาก บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจไม่หลุดโทน ตัวละครที่มีความน่าสนใจในตัวเอง และบทที่ชัด ไม่หลุดนอกกรอบ มีเหตุมีผล และที่สำคัญที่สุด กระตุ้นให้คิด
ถ้าดูแล้วจะรู้สึกได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้บอกอะไรตรงไปตรงมาทั้งหมด หลายๆฉากจะใช้ Symbol ที่ไม่ถึงกับ Symbol มาช่วยเดินเรื่อง แต่ไม่ใช่หนังเข้าใจยาก อย่างเช่นฉากที่สะเทือนใจอย่างฉากอาเรียกให้ Casey ถอดเสื้อ เพื่อมา ‘เล่นเป็นสัตว์ป่า’ กัน ใครๆก็น่าจะเดาได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าหนังกำลังสร้างประเด็น ‘Sexual harassment’ ‘Child abuse’ และยิ่งมาเฉลยในตอนสุดท้าย ก็คือใช่เลยนางเอกโดนทำร้ายมาตลอดจริงๆ หัวใจบอบช้ำ อ่อนไหว T_T
สำหรับเราแล้ว แม้แต่การบรรยายผ่านสไกป์ของ Dr.Fletcher ก็เป็นการเล่าเรื่องที่ไม่ตรงไปตรงมา เราคิดว่าการที่ Kevin สามารถปลดล็อกบุคลิกสุดท้ายได้ ไม่ใช่แค่เพราะ Hedwig ขโมย ‘แสง’ ให้ Dennis กับ Patricia ออกมาเพ่นพ่าน แต่เป็นเพราะการรักษาของ Dr.Fletcher ด้วยส่วนหนึ่ง เพราะ Dr.Fletcher จะพูดให้ Kevin รู้สึกพิเศษ รู้สึกสูงส่ง เหมือนปลูกฝังชุดความคิดใหม่ให้เขากลายๆ แล้ว Kevin ก็ดันสามารถวิวัฒนาการกลายเป็น The beast ที่ Much more than human ได้จริงๆ ถ้า ‘We are what we believe’ แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่ทำให้ Kevin เชื่อเช่นนั้นก็คือตัวหมอของเขาเอง
เราชอบประเด็นที่หนังกำลังนำเสนอด้วย มีเยอะแยะไปหมดแต่หนังไม่สับสนว่าตัวเองกำลังเล่าอะไรอยู่ ชื่นชมตรงนี้
1) ได้เห็นต้นตอของอาการหลายบุคลิก ได้เห็นว่าพวกเขาสร้างบุคลิกต่างๆขึ้นมาเพราะอะไร เพราะปมด้อยการถูกทำร้ายในวัยเยาว์ หรือแม้แต่เพื่อป้องกันตนเอง
2) ได้เห็นว่าผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกตอบสนองต่อความเข้าใจผิดๆของสังคมต่อพวกเขาอย่างไร และมันก่อให้เกิดผลเสียอย่างไรต่อทุกฝ่าย อย่าง Kevin กลไกร่างกายสร้างบุคลิกใหม่ให้เขาโดยไม่รู้ตัว
3) การทำร้ายร่างกายและการล่วงละเมิดทางเพศ แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกแย่หรือกลัวความรุนแรง แต่เน้นไปที่ผลลัพธ์และการต่อสู้เพื่อที่จะ Overcome มันมากกว่า อย่างนางเอกจะเห็นได้เลยว่าเธอมีนิสัยแปลกแยกจากเด็กคนอื่นๆ และยังพยายามทำให้ตนเองโดนกักบริเวณ เราคิดว่ามันเป็นกลไกการป้องกันตัวจากการกลับบ้านไปเจออา และเป็นตัวสะท้อนว่าเธอเผชิญความรู้สึกแตกต่างจากผู้ที่ร่างกายบริสุทธิ์(ไม่ถูกทำร้าย) และนี่เป็นจุดร่วมระหว่างเธอและ Kevin แต่สุดท้ายเราจะได้เห็นเธอถือปืน กล้ายิงกล้าเอาตัวรอด เหมือนอย่างที่พ่อสอนเธอตอนเด็กๆ ให้เธอกล้าลุกขึ้นสู้เสียที หรือแม้แต่ฉากเธอนั่งรถกลับไป แล้วไม่ยอมลุกขึ้นหาอา หนังจบแบบปลายเปิด แต่เราเข้าใจว่า Casey กล้าที่จะต่อต้านสิ่งที่ทำร้ายเธอมาตลอดแล้ว
4) ใช่แค่ผู้ป่วย DID หรือเปล่าที่มีหลายบุคลิก? เราคิดว่าประเด็นสำคัญที่สุดที่หนังโยนมาให้คิดคือ แม้แต่มนุษย์ทั่วไปก็มีความคิดที่สลับซับซ้อนอยู่ตลอดเวลา การหักหลัง เอาตัวรอด ยอมแพ้ ทำร้าย ช่วยเหลือ คนที่เข้าใจ คนที่ไม่เข้าใจการพูดความจริง การโกหก หนังมี Paradox เยอะมากๆถ้าสังเกตดีๆ ความน่ากลัวที่สุดจึงอยู่ที่คนปกติหรือเปล่า ที่หลงคิดว่าเราเองนั้นปกติ ปกติในที่นี้คืออะไร? ก็แค่เราเหมือนคนส่วนใหญ่ในสังคมใช่ไหมที่ทำให้เราปกติ สุดท้ายแล้วหลายบุคลิกที่ว่าแต่ละคนต่างก็สะท้อนมันออกมาทั้งนั้น ไม่ใช่เพียง Kevin
(หมดสปอยล์)
มาพูดเรื่องการดำเนินเรื่องบ้าง คิดว่าไม่มีช่วงไหนเบื่อหรือเอื่อย ตามสไตล์หนังทริลเลอร์ที่จะพยายามทำให้เราตื่นเต้นบ้าง ลุ้นบ้าง กลัวบ้างเรื่อยๆนั่นแหละ แต่หนังยังพยายามไม่ให้โหดเหี้ยมเกินไป ส่วนตัวเราคิดว่าดีแล้ว การคีพทางสายกลางทำให้ตัวพล็อตและสารเด่นกว่าบรรยากาศ เข้าถึงเราง่ายกว่า แต่ถ้าใครโฟกัสความน่าตื่นเต้นตกใจสยดสยอง หนังเรื่องนี้ไม่น่าจะตอบสนองความต้องการได้เพราะขนาดเราไม่เน้นหนังโหด (จะชอบหนังผีหนังหลอนๆมากกว่า) ยังคิดว่าไม่น่ากลัวเลยสักนิด
มีอย่างนึงที่สงสัยคือ สุดท้ายหนังไม่ได้จะ้สนับสนุนให้มองคนที่เป็นโรคหลายบุคลิกในแง่ดีใช่ไหม เพราะว่าการดำเนินเรื่องและฉากใกล้จบนี่…ให้ตายเถอะ พวกเธอช่างน่ากลัว orz รู้แหละว่าเป็นแค่หนัง แต่หนังไม่ได้สะท้อนความน่าทะนุถนอมเลย แค่เหมือนอยากให้เราทำความรู้จักมากกว่า เอาเถอะ นั่นเป็นเรื่องของผู้สร้าง รู้แค่ว่าดูจบแล้วเรามีความรู้สึก ‘แล้วไงอะ’ ไม่ใช่ ‘น่าสงสารจัง’ ซึ่งความรู้สึกนี้จริงๆหนังอาจจะไม่ได้ต้องการคอนโทรลเราแต่แรกเลย โอเค๊ ปล่อยๆมันไป
สุดท้ายนี้ ที่อยากติจริงๆคือฉากจบจบได้แบบวอทเดอะฟัคมาก เราต้องตามหาเลยว่าทำไมจบแบบนั้น ก่อนจะพบคำตอบที่ห่วยแตก (ในความคิดเรา) ว่าต้องการจะหักมุม แต่กลับหักมุมแบบเฉพาะกลุ่ม จะรู้สึกพีคกรี๊ดกร๊าดแค่เฉพาะคนที่ดูหนังผู้กำกับคนนี้มาก่อนเท่านั้น เฮ้ย ไม่ไหวมั้ย มันทำลายอรรถรสหนังไปเลยสำหรับคนไม่เคยดู Unbreakable อะ ไอ้ที่สร้างมาดี๊ดีดันพังเอาตอนจบ แต่เนื่องด้วยคนบางกลุ่มอาจจะรู้สึกว่าโคตรคูลที่หักมุมแบบนี้ จะไม่หักคะแนนใดๆ เนื่องด้วย โอเค เรามันคนไม่ได้ดูเอง /กัดฟัน
ฉาก
สิ่งที่ดีงามอีกอย่างคือมุมกล้องทำได้ดีมากๆ เรารู้สึกว่ามุมกล้องโคตรแพง (ฮา) ดีงามตามที่หนังฮอลลีวูดควรจะเป็น เพลงก็สร้างบรรยากาศทุกอย่างเหมาะสมดีแล้ว ที่อยากชมเพิ่มคือฉากที่ Symbolic /ไม่รู้ว่าเขาจงใจหรือฉันคิดมากแต่ฉันคิดว่ามันสื่ออะไรได้นี่นา/ อย่างฉากบันไดวนๆถ่ายให้เห็นหลายครั้งเนี่ย ทำให้เรารู้สึกถึงความซับซ้อน ระแวดระวัง และนึกไปถึงจิตใจมนุษย์อย่างที่กล่าวไปแล้ว และสังเกตจะพบว่าหนังเรื่องนี้เน้นฉากที่มีลักษณะ ‘Split’ คือผ่าออกเป็นสอง แล้วตรงกลางโล่งๆทำให้เห็นเส้นแบ่งแยกหรือแม้แต่ใช้สีสัน เอาความมืด-สว่างเข้าช่วย ถึงบอกไงว่าหนังชัด หนังตรงประเด็น ไม่เวิ่นเว้อ เราชอบ
จะด่าก็แต่ฉากหักมุมนั่นแหละ ยังโกรธไม่หาย หลายๆฉากที่เราไม่เก็ทว่าใส่มาทำไมก็คือหักมุมใช่ไหม โกรธธธธธ/พ่นไฟ
ภาพรวม
สรุปก็คือชอบนั่นแหละ เข้าไปเพราะคิดว่าคงได้ดูทริลเลอร์น่าตื่นเต้น ผิดคาด ไม่ได้พีค แต่บทปังมาก รู้สึกคุ้มค่า/กำตั๋วแน่น นักแสดงคุณภาพ แค่ได้เห็นไม่กี่บุคลิกนี่ก็รู้สึกคุ้มแล้ว ระหว่างนั้นก็ได้ใช้สมองด้วย ไม่ใช่ดูผ่านๆให้จบๆเหมือนเรื่องอื่นๆช่วงนี้ ฮืออออ ใครที่ยังลังเลก็ลองไปดู อาจจะชอบก็ได้ คงไม่ขึ้นแท่นหนังโปรด แต่แน่นอนว่ามีสตอรี่ มีความสนุก และให้อะไรเราเกินหนังทริลเลอร์ทั่วไป ประเด็นโรคหลายบุคลิกยังสดใหม่สำหรับเราและหลายๆคน มันก็เลยน่าค้นหา แถมหนังยังปูมาถูกทางแล้ว แนะนำเลย
8.5/10 คะแนน
- ilysm.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in