Movie Review
“I Will Date With Yesterday's You
พรุ่งนี้ผมจะเดตกับเธอคนเมื่อวาน”
เป็นคนไม่ดูหนังญี่ปุ่น แต่ช่วงหลังๆมานี้ญี่ปุ่นผลิตหนังพล็อตน่าสนใจสำหรับเราเยอะมาก ทั้ง If cat disappeared, Your name, แล้วก็มา Tomorrow I will date with yesterday's you ที่สะดุดตาเราตั้งแต่ชื่อเรื่อง ก่อนจะสอบมิดเทอมทั้งทีก็เลยเอาซะหน่อย เป็นหนังรักญี่ปุ่นเรื่องแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ พอตัดสินใจจะดูแล้วก็ทำการบ้านด้วยการอ่านรีวิวเรื่องเส้นเวลาของเรื่องนี้มาก่อน พอไปดูก็ follow เรื่องได้ง่ายขึ้น อันนี้แนะนำ ได้อรรถรสตอนดูจริงๆนะ ไม่ต้องมานั่งงงหรือปวดหัวกับทามไลน์เวลา
เรื่องย่อ
ทาคาโตชิ นักศึกษาวิทยาลัยศิลปะตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งตั้งแต่แรกพบบนรถไฟ เขาจู่โจมบอกชอบเธอทันที และได้รู้ว่าเธอชื่อเอมิ ความสัมพันธ์ของทั้งสองดำเนินไปด้วยดี จนเอมิตกลงคบกับทาคาโตชิ แต่แล้วเขาก็ได้เจอไดอารี่เล่มหนึ่งที่บันทึกเหตุการณ์ในอนาคตเอาไว้ เอมิจึงยอมเฉลยว่าแท้ที่จริงเธอมาจากโลกคู่ขนานที่เวลาในโลกนั้นเดินสวนทางกับเวลาของทาคาโตชิ พวกเขาจะได้เจอกันทุกๆ 5 ปี มีเวลาอยู่ด้วยกัน 30 วัน แต่หลังจากนั้นทางจะพาพวกเขาไปคนละทิศตลอดกาล
ตัวละคร
สำหรับเราตัวละครแบน ราบเรียบ ไม่ใช่เพราะนักแสดงอย่างเดียว แต่เพราะบทวางมาแบบนี้ ตัวละครแสดงแบบให้ความรู้สึก ‘ฉากต่อฉาก’ มากๆ เข้าใจว่าผู้กำกับคงบรีฟให้แสดงแบบ ‘คนไม่รู้จักกัน’ หรือ ‘คนจำกันไม่ได้’ เพราะเรื่องเส้นเวลา แต่มันทำให้นิสัยของตัวละครดูแปร่งๆเหมือนถูกตีกรอบ มีความไม่เป็นธรรมชาติผสมอยู่ ส่วนตัวชอบเอมิมากๆ ยิ้มน่ารักโลกละลายแบบนั้นไม่ชอบได้ยังไง T w T แต่บางครั้งก็รู้สึกขัดใจกับการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางที่ขาดๆเกินๆอย่างพูดไม่ถูก เราไม่ใช้คำว่ากลมกล่อมกับตัวละครเรื่องนี้ เพราะรู้สึกว่ามันยังไปได้อีก มันยังถ่ายทอดออกมาได้มากกว่านี้ อันนี้เหมือนผู้กำกับวาดแผนผังเอาไว้ แล้วใช้ตัวละครเป็นหมากเดิน ไปทีละจุด ทีละจุด พอถึงฉากนี้ต้องเศร้าแล้วนะ ฉากนี้ต้องยิ้ม เราแทบจะเห็นบทสคริปต์พวกนั้นโดดเด้งออกมาเลย
(มีสปอยล์)
ไม่ใช่ว่านักแสดงไม่เก่ง แต่บทมีความล้ำลึกมากมันต้องใส่ 1.การไม่มีความทรงจำของเอมิในแต่ละวัน 2.ความฝืนเล็กๆเมื่อต้องเดินตามไดอารี่ 3.ความรักที่ให้ฟีลลิ่งอุ่นๆกุ๊กกิ๊กๆแต่ก็เศร้าด้วย 4.ความรักในปริมาณที่ไม่เท่ากันแปรผันตามห้วงเวลา และอีกมากมายซึ่งนักแสดงยังให้เรามาไม่หมด
ดังนั้น ตัวละครถือว่ามีความซับซ้อนมากทีเดียว แม้จะบอกว่าช่วงเวลาอายุ 20 ปีนี้ทั้งคู่ได้มาบรรจบกัน แต่มันเหมือนทั้งคู่เดินสวนกันตลอดเวลา เพราะเราจะเห็นจุดยืนที่ต่างกันของทั้งคู่ชัดเจน เราชอบที่การกระทำของตัวละครสมเหตุสมผลกับ Area ของตัวเอง เช่น ทาคาโตชิก็สมควรที่จะโกรธที่ต้องทำตามไดอารี่ตลอดเวลา เอมิสมควรยิ้มได้เศร้าขนาดนั้นในวันแรกที่พบกันเพราะลึกๆเธอรู้ว่านั่นคือครั้งสุดท้าย
จุดที่เราไม่ชอบเลยคือรักที่แสนจะอุดมคติ ทุกอย่างมาเป็น Pattern เป๊ะๆ เรียบจนน่าแปลกใจว่าความรักทุกคู่มันออกมาสไตล์นี้หมดเลยเหรอ มีสามสิบวัน เที่ยวครบสามสิบวันเลย แต่มองอีกมุมหนังก็สะท้อนวัฒนธรรมคู่รักญี่ปุ่นได้ชัดเจนล่ะมั้ง เรารู้สึกว่าหลายๆฉากยังขาดความสมจริงบนความสมจริง (เอ๊ะ) เช่น ใส่เพื่อนมา เพื่อที่จะให้คำปรึกษาทั้งคู่แบบซื่อๆตรงๆไปเลย ใช้ตัวละครได้ตามหน้าที่สุดดดด หรือฉากพระเอกเจอไดอารี่ นางเอกก็เล่ารวดเดียวจบ ไม่ทันตื่นเต้น อ้าว เฉลยจบแล้ว สำหรับเราเรื่องนี้ทุกอย่างเดินเป็นเส้นตรงเกินไป ขาดลีลาที่ไหลลื่น
พล็อต
เรามาดูเรื่องนี้เพราะพล็อตล้วนๆ รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี ส่วนตัวไม่เคยดูหนังที่เล่นกับเส้นเวลา แล้วได้ยินว่าเป็นเรื่องแรกๆที่ใช้เส้นเวลาขนานกันแบบ literally ขนานกันมาเป็นเสายึด คิดว่าตัวหนังอธิบายได้โอเค แต่ไม่ถึงกับเห็นภาพ เรายังงงๆอยู่ตอนนางเอกเล่า แต่จะเข้าใจมากขึ้นเมื่อถึงฉากที่ย้อนไปเป็นมุมนางเอกเล่าเรื่องบ้าง
ต้องยอมใจว่าพล็อตเค้าดี เราชอบจริงๆนะ เดินออกจากโรงก็หยุดคิดเรื่องเส้นเวลาไม่ได้เลย อันนี้เป็นสรุปเส้นเวลาแบบที่เราเข้าใจบวกหาข้อมูลเพิ่มเติมมานิดหน่อย
ผู้เขียนผูกเรื่องดี พยายามทิ้งร่องรอยระหว่างทาง ให้สามารถนำมาประกอบเป็นภาพรวมภาพเดียวได้ สรุปคือเวลาของทั้งสองเดินเท่ากัน จะบอกว่าเวลาของเอมิถอยหลังไม่ได้ เพราะเธอก็เกิดและโตไปตามปกติ แค่ว่าเส้นเวลาคนละทิศกับทาคาโตชิ และสำหรับเธอแล้วเวลาของทาคาโตชิก็เดินถอยหลังเหมือนกันถ้าจะใช้คำนี้น่ะนะ
ดังนั้นเท่ากับทั้งสองมีแค่ 30 วันที่สามารถสร้างความทรงจำให้อดีตและอนาคตของกันและกันได้ เพราะว่าอย่างที่เราเห็นว่ายิ่งเวลาผ่านไปเอมิยิ่งไม่รู้สึกถึงความรักระหว่างทั้งสอง เพราะสำหรับเธอมันยังไม่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกัน วันแรกที่เจอกับทาคาโตชิ เอมิร้องไห้มากมายขนาดนั้นเพราะรักทาคาโตชิมาก และเป็นวันสุดท้ายก่อนจะแยกจาก
ประโยคที่ดีเกือบที่สุดของเรื่องนี้คือ “ครั้งแรกสำหรับผมคือครั้งสุดท้ายสำหรับเธอ”
ชอบที่หนังเล่น ‘ครั้งแรก’ กับ ‘ครั้งสุดท้าย’ มา Paradox กัน เพราะจุดพีคของเวลาก็คือ The first กับ The last ดังนั้นฉากที่พระเอกเข้าใจทุกอย่างแล้วฉายย้อนไปว่า เพิ่งระลึกได้ถึงการจูบ การจับมือ การเรียกชื่อที่เป็นทางการขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างประเดประดังขึ้นมาจนเราบ่อน้ำตาแตก ขยี้ได้ถูกจุดแล้ว
แต่ประโยคที่ดีที่สุดและเป็นเมนไอเดียของหนังเรื่องนี้สำหรับเราคือ “ความสุขก็ยังคงเป็นความสุข”
เราชอบที่หนังสื่อว่าการใช้เวลาให้คุ้มค่านั้นสำคัญแค่ไหน แล้วยังตั้งประเด็นว่า ถ้าเรารู้ทุกอย่างในอนาคตหมดแล้ว เราจะยังทำเหมือนเดิมหรือเปล่า ซึ่งคำตอบของทั้งคู่คือ เหมือนเดิม เพราะ ‘ความสุขก็ยังคงเป็นความสุข’ ใช่ว่าเวลาผ่านไปแล้วความสุขในอดีตจะกลายเป็นความทุกข์ ไม่ เรายังจดจำความรู้สึกตอนนั้นในฐานะ ‘ความสุข’ ตลอดไป เรามั่นใจว่าหนังยกให้ความสุขอยู่เหนือกาลเวลายิ่งกว่าความรักเสียอีก เพราะทุกๆอย่างเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความสุขนั้นจีรังอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของกาลเวลาเสมอ
การเดินเรื่องแม้ช่วงแรกจะเอื่อยๆ แต่ว่ามาตีโจทย์แตกเอาตอนฉากวันที่ 30 ของพระเอก ฉากที่นางเอกได้เจอพระเอกครั้งแรกแล้วยังประหม่าเคอะเขิน แต่พระเอกร้องไห้เพราะรู้ว่าจะได้เจอนางเอกเป็นครั้งสุดท้าย ฉากนั้นพระเอกหล่อมาก (อ้าว) คือเห็นพัฒนาการตัวละครชัดที่สุดแล้ว จากนั้นหนังก็กระชากความรู้สึกเราสุดๆด้วยการเล่าเรื่องในมุมของนางเอกบ้าง ตั้งแต่พระเอกที่สุขุมลุ่มลึกไปจนถึงพระเอกที่ประหม่าทำอะไรไม่ถูก ถึงตรงนี้น้ำตาไหลเรื่อยๆเลยทีเดียว มันแบบ ฮื้ออออออออออออ เราอินประหนึ่งเป็นเอมิเสียเอง /สูดน้ำมูก
ดังนั้น จังหวะดำเนินเรื่องที่กำลังดีทำให้หนังเรื่องนี้จบได้สวย ขอบคุณที่วนลูปกลับไปวันแรกสุด แล้วได้เห็นการพูดว่า แล้วเจอกัน ของทั้งคู่ คือถ้าไม่มีคำนี้เราจะโกรธ แงงงงง หนังเล่นกับเส้นเวลามาทั้งเรื่อง มันต้องมีคำนี้! รู้สึกกราบคนเขียนบท
ฉาก
มาถึงหนึ่งในจุดที่ทั้งชอบที่สุดและขัดใจที่สุดของเรื่อง ก่อนอื่นเลย มุมกล้องสวย ภาพสวย แสงสีสวย ให้อารมณ์แบบฟิลเตอร์ญี่ปุ่นนั่นแหละ มีลักษณะของสัญลักษณ์ปรากฏมากมายกว่าที่คิด เช่น รางรถไฟ (เส้นขนาน การกลับไป) ขบวนรถไฟ (อยู่คนละโลก โลกคู่ขนาน) เวลาเที่ยงคืน (จุดจบวันเก่า เริ่มต้นวันใหม่) เครื่องเล่นที่เป็นวงกลม (ความไม่สิ้นสุดของกาลเวลา การวนลูป) รวมๆแล้วคือช่างคิดและละเอียดงดงาม
องค์ประกอบฉากยอดเยี่ยมที่สุดในเรื่องขอยกให้ฉากวันสุดท้าย พระเอกนั่งข้างนางเอกแล้วรถไฟก็แล่นมา จากนั้นนางเอกหายไป เหลือแต่พระเอก ที่ชอบเพราะเป็นฉากเดียวที่ไปถึงจุดหมาย It finally meets my expectation /นั่งทาบอกแรง ฉากอื่นๆปูมากำลังจะพีคแล้ว ไม่พีคเสียที เราคาดหวังให้วางองค์ประกอบภาพยังไง ดั๊นนนนนตัดความหวังเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าพูดถึงเรื่องขยี้อารมณ์ด้วยฉากเรื่องนี้ยังไม่ค่อยถึงไหน เรานึกถึง Train to Busan (เพราะดูหนังเอเชียไม่กี่เรื่อง) เรื่องนั้นใช้องค์ประกอบได้คุ้มค่ามาก ภาพสะเทือนใจมาก ถ้าเรื่องนี้ฉากไม่รักษาความนุ่มนวลราบเรียบ อาจจะทำเราร้องหนักเท่าเรื่อง Train to Busan เลยก็ได้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังชมภาพ แสงสี และความคุมโทนอยู่นะ อย่างกับหลุดมาจากอนิเมชัน ถ่ายออกมาได้สวยเบอร์นั้นเลย
(หมดสปอยล์)
ภาพรวม
ไม่ได้ดีเว่อร์วังอย่างที่คนเค้าอวยกัน แต่ถือว่าพล็อตชนะใจเรา แม้จะรู้สึกว่าพล็อตมีช่องโหว่แน่ๆ มันต้องไม่เป๊ะเบอร์นี้ดิ แต่ยังจับผิดไม่ออก รอไปก่อน /กัดฟัน การดำเนินเรื่องช่วงแรกง่วง และอุดมคติม้ากมาก แต่ว่าหลังๆอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ เราไม่คิดว่านักแสดงฝีมือยอดเยี่ยมอย่างที่แต่ละเพจอ้างนะ บทยังมีความล้ำลึกที่น่าจะดึงออกมาถ่ายทอดได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เหมาะสมกับบทบาท
ฉาก แสงสี ทุกสิ่งโคตรญี่ปุ่น ใครที่เป็นแฟนคลับหนังญี่ปุ่นคงจะยกขึ้นหิ้งเลย เพลงประกอบก็เพราะ หนังเหมือนกล้าๆกลัวๆที่จะเล่นกับความรู้สึกคนดูเลยยังไปไม่สุด แต่เราเชื่อว่าแค่นี้หลายๆคนร้องไห้หนักพอแล้ว เราได้เสียน้ำตาไปนิดหน่อย (ปกติเป็นคนเซ้นซิทีฟนะ) ก็ถือว่าคุ้มค่าตั๋ว
ถ้าให้สรุปก็เป็นหนังที่พูดยากอะ เสียงวิจารณ์แตกกระจาย รู้สึกไม่ชอบก็มี (คนที่เดินออกจากโรงมาพร้อมเราบ่นว่า ‘ไม่เห็นมีอะไรเลย) ชอบมากก็มี (ตามพันทิปถึงกับยกเป็นหนังที่ดีกว่า Your name) และรู้สึกเฉยๆค่อนไปทางบวกก็มี (คอหนังรักแบบเรา) ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี แต่เราเจอที่ท็อปฟอร์มกว่านี้มาเยอะแล้วเลยไม่ได้ร้องไห้เท่าที่ตั้งใจไว้ แต่เราก็ยังแนะนำว่าไปดูก็ดี ได้คิดตามพล็อต และได้เรียนรู้คุณค่าของเวลากับการตัดสินใจในชีวิตด้วย
7.9/10 คะแนน
- ilysm.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in