Movie Review
“La La Land
นครดารา”
La La Land ไม่ได้อยู่ในลิสต์หนังของเราด้วยซ้ำตั้งแต่เห็นว่าเป็น Musical film เนื่องจากเราไม่อินหนังเพลงเลย เทรเลอร์ก็ไม่ได้ดู จำได้ว่าค่อนข้างผิดหวังกับ Begin Again และ Sing Street (ถึงสองเรื่องนี้จะไม่ใช่ Musical แต่โทนเรื่องใกล้ๆกัน อย่างน้อยก็สำหรับเรา) แต่ก็ตัดสินใจไปดูจนได้ เพราะพี่ที่เรารู้จักแม้จะมีสไตล์การดูหนังที่ติสท์หลุดโลกก็ยังชื่นชมเรื่องนี้ เกิดความอยากรู้ว่าดีจริงเหรอ ไปด้วยความคาดหวังสูงลิ่วเลย เอาตรงๆ
เรื่องย่อ
Mia (Emma Stone) สาวสวยผู้ใฝ่ฝันจะเป็นนักแสดง บังเอิญเจอกับ Sebastian (Ryan Gosling) นักเปียโนผู้หลงใหลใน Jazz หลายครั้งหลายครา ทั้งคู่ต่างไล่ตามความฝันท่ามกลางความพลาดพลั้งล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็น Mia ผู้ไม่เคยผ่านการออดิชั่น หรือ Sebastian ที่อยากรื้อฟื้นความนิยมของดนตรี Jazz นำมาสู่เรื่องราวความรักและอุปสรรคที่จะทำให้ทั้งสองเติบโตอย่างช้าๆ
ตัวละคร
คาแรกเตอร์ของทั้งสองชัดเจนมาก เราคิดว่าการวางบท วางนิสัย ปมขัดแย้งต่างๆ เดาได้ทั้งหมด ไม่ได้แปลกใหม่ไปจากภาพยนตร์เรื่องอื่น แต่จะมีความเท่ ความเซ็กซี่ ความดึงดูดบางอย่างแฝงอยู่ในตัวเอก ไม่ว่าจะการร้องเพลง การเต้นรำ ทุกอย่างสวยงามลงตัวดี จนพูดได้เลยว่าทั้ง Emma และ Ryan ทำการบ้านมายอดเยี่ยม บางครั้งก็รู้สึกว่าไม่ใช่แค่ตัวละครที่มีความฝัน แต่นักแสดงทั้งสองก็มีความฝันราวกับเล่นเป็นตัวเอง ข้อดีอีกอย่างคือตัวละครไม่ได้ดันทุรังจนน่าตลก ยังมีจังหวะที่ท้อแท้ จังหวะที่อยากยอมแพ้ ซึ่งเราว่ามันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการไขว่คว้าความฝัน ไม่น่าจะมีใครได้สิ่งที่ต้องการมาโดยง่าย ปราศจากความคิด ‘พอสักที ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว’ เราถึงอินกับความท้อแท้มากกว่าความสำเร็จ เพราะใช่ว่าเราทุกคนจะสำเร็จ แต่เราทุกคนล้วนเคยท้อ
มีสปอยล์
Mia ทำให้เราน้ำตาซึมได้ในฉากที่บอก Sebastian ว่า พอแล้ว ถ้ากลับไปออดิชั่นจะรับความผิดหวังไม่ไหวแล้ว มันเจ็บปวดมากเกินไป เรารู้สึกว่ามัน Related กับคนที่มีความฝันเกือบทุกคนเนอะ แล้วยิ่งฉากร้องเพลงออดิชั่น น้ำตาไหลอย่างห้ามไม่ได้ เรารู้สึกว่าความฝันนี่แหละคือแรงผลักดันของชีวิต คือความหมายสูงสุดของการมีชีวิต และตัวละครนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้งดงามชะมัด ผ่านเพลง ‘The fools who dream’ ที่อัดแน่นด้วย Passion และ Emotions รุนแรงจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
อ้อ ไรอันหล่อมากกกกกกกกกก หล่อฮอตเหลือเกินนนนนนนนนนนนน ฮือออออออออออไม่ไหวแล้วววววววววววววววววววว ส่วนในบทของ Sebastian ที่คิดว่า All-kill ทุกฉากในเรื่อง คือรอยยิ้มบางๆในตอนจบ นาทีนั้นเราน้ำตาแตก (อีกรอบ) เหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ไม่ได้ทำด้วยกัน ความรักที่ไม่ได้สานต่อ และความฝันที่ไม่ได้แชร์กันอีก มันสื่อสารด้วยตัวมันเองผ่านเสียงเปียโน ผ่านสายตา ผ่านรอยยิ้ม เหมือนเดิมในความไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
พล็อต
สำหรับเรา นี่น่าจะเป็นส่วนที่เฉยที่สุด อิมแพ็คเราน้อยที่สุด เพราะพล็อต Cliché เลยแหละ มาเป็นสูตร รู้ตั้งแต่ต้นเรื่องว่าจะจบยังไง ถึงขนาดที่ถ้าไม่มีเพลง ดนตรี ฉาก มุมกล้องอัน Masterpiece และฉากย้อนเวลาตอนจบ ก็คงเป็นแค่หนังเนื้อดีเรื่องหนึ่ง ถ้าใครบอกว่าบทล้ำมาก เราจะค้านหัวชนฝาแต่ถ้าบอกว่าบทลงตัวมาก กลมกล่อม ครบรส เราจะเห็นด้วยอย่างสุดๆ
เราคิดว่าเรื่องนี้สร้างสมดุลที่ดีระหว่างตัวละคร พล็อต ฉาก องค์ประกอบภาพ เสียง และแนวคิด ข้อดีคือเรื่องเรียบง่าย ดูเข้าใจ ดูสนุก และอินง่ายสุดอะไรสุด สิ่งที่เราชอบคือหนังไม่พยายามฝืน หนัง flow ไปเรื่อยๆตามที่มันควรจะเป็นในโลกความจริง ทั้งความฝันที่ถูกตำหนิวิจารณ์ กระแสสังคม และความรักที่ไม่จีรังยั่งยืน ซึ่งเราชอบประเด็นสุดท้ายมากเป็นพิเศษ
มีสปอยล์
หนังทำให้รู้ว่าไม่ว่าเราจะรักใครคนหนึ่งมากขนาดไหน แต่เมื่อทางเดินแยกจากกันและวันเวลาหมุนเปลี่ยนไป ความรักที่มีก็ค่อยๆจางหายไป จนถึงจุดที่จำหน้าอีกฝ่ายได้แค่รางๆด้วยซ้ำ เราเป็นอีกคนที่ไม่เชื่อในรักระยะไกล ชอบที่หนังปล่อยให้ชีวิตดำเนินต่อไป พบเจอคนใหม่ๆ มีรัก มีพลัดพราก แต่เมื่อเจอกันอีกครั้ง ความสุขที่เคยมีร่วมกันก็ไม่ได้หายไปไหน มันยังอยู่ที่เดิม แค่ย่อขนาดลง เปลี่ยนรูปลักษณ์ จนท้ายที่สุดก็ไม่ใช่คำว่ารักอีกต่อไป
ดังนั้นฉากย้อนเวลากลับไปจึงทั้งอิ่มเอมและเรียกน้ำตาไปพร้อมๆกัน มันสวยงามมากจนเราคิดว่าเป็นฉากที่ทำให้หนังเรื่องนี้สมควรคว้ารางวัล มันเล่นกับความ What if จนหน่วงไปหมด ถ้าได้จับมือกันล่ะ ถ้าตอนนั้นได้ทำตามความฝันไปด้วยกันล่ะ ถ้าตอนนั้นได้แต่งงานกันล่ะ...ฉากพวกนั้นหนังใช้ศิลปะสีสันสดใสบ้าง เป็นแสงและเงาบ้าง และเทคนิคการนำเสนอที่ไม่สมจริง เป็นนามธรรม ถึงขั้น Expressionism และเราคิดว่าจุดประสงค์ของมันก็เพื่อบอกเราว่า ความรักทั้งสองเป็นได้เพียงกลุ่มก้อน What if ทั้งสองคงไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้ในความเป็นจริง
แต่ทั้งสองก็คงไม่ได้เสียใจที่มันเป็นเช่นนั้น
แค่รอยยิ้มของคนที่เคยผลักดันความฝันกันและกันในตอนสุดท้ายก็บอกชัดแล้วว่าทั้งสองมีความสุขแค่ไหน
เราว่าความรักไม่จำเป็นต้องจบด้วยการลงเอยกันเสมอไป และถ้าถามว่าทั้งสองรักกันจริงไหม จริงสิ จริงในช่วงเวลาหนึ่งๆ และจะจริงเสมอไปในความทรงจำ ในความ What if ในความเป็นไปไม่ได้
หนังคงความโรแมนติกตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องจริงๆ
ฉาก
นี่คือสิ่งที่ดีงามที่สุดในเรื่อง ด้วยความเป็น Musical ของมัน เพลง ดนตรี เพราะและลงตัว ขนาดเราที่ไม่ชอบหนังเพลงก็มองว่า เฮ้ย เข้าท่าแฮะ ชอบการนำเพลงมาประกอบ ช่วยเล่าเรื่องให้ชัดเจน ถือว่า Bless my ears and my eyes มาก ภาพ เสียง แสงสี ตระการตาสมชื่อเรื่อง อาจเมาความเปล่งประกายได้ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ แค่นี้ก็คุ้มค่าตั๋วแล้ว ได้เห็นงานเนี้ยบๆ ฝีมือผู้กำกับเจ๋งๆแบบนี้ แนะนำว่าอย่าคาดหวังสูงเว่อร์วังแล้วจะดูหนังอย่างมีความสุขมากขึ้น เรามาด้วยความคาดหวังสูงอยู่แล้ว มันเลยแค่ live up to the hype ไม่ได้โซ wow ขนาดที่คนอื่นๆเค้าพูดกัน
ทั้งๆที่เป็นหนังเน้นองค์ประกอบ Visual และ Sound ค่อนข้างมาก แต่เรากลับไม่รู้จะวิจารณ์อะไร คิดว่า Shapes ต่างๆที่ใช้คงมีความหมายในแง่ Symbolic บ้างแหละ แต่ดูไปรอบเดียวเก็บรายละเอียดไม่หมด เชิญทุกคนไปดู ไปซึมซับ ไปขบคิดกันเอาเองข่าาาาาาา
ภาพรวม
สรุปคือเป็นหนังที่มีพลังทางบวกสูง กระตุ้น Passion และความฮึกเหิมในใจคนที่มีความฝันเชิงศิลป์มากหน่อย อย่างเราอยากเป็นนักเขียน อยากให้ผลงานเป็นที่ยอมรับ ก็รู้สึกถูกดูดเข้าไปในเรื่องจนใจหายชอบกลตอนหนังจบ แล้วรู้สึกว่า เอาล่ะ ถึงตาเราที่ต้องต่อสู้เพื่อมันบ้างแล้ว
เนื้อเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อ ผ่อนคลาย ก็อย่างที่ทางโปรดักชั่นเค้าเคลมว่า ‘Romantic musical comedy-drama film’ คือตามนั้นเป๊ะๆ ได้ทุกอารมณ์ เป็นการเริ่มต้นลิสต์หนังปี 2017ที่น่าประทับใจสำหรับเรา แต่โดยรวมคงไม่ยกขึ้นหิ้ง ไม่ใช่แนวจริงๆแหละ ฮืออออออออ ถือว่าดูแล้วฟีลกู้ดและเป็นบุญตามาก/กราบ ได้ออสการ์ขึ้นมาจะได้อวดอ้างอย่างภูมิใจว่า ดูแล้วโว้ยยยยยย
ให้คะแนน 8.7/10แล้วกัน แนะนำให้ดูเผื่อจะได้แรงบันดาลใจกลับไป
- ilysm.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in