Movie Review
“Spider-Man: Homecoming
สไปเดอร์แมน โฮมคัมมิ่ง”
รอดูหนังเรื่องนี้มานานแค่ไหนก็ไม่แน่ใจ...เอาเป็นว่าตั้งแต่ได้ข่าวว่าใครเล่นเป็นสไปเดอร์แมนแล้วกัน orz เราเป็นทาสทอมฮอลแลนด์อย่างสุดๆ ต้องเตือนไว้ก่อนจะเริ่มอวย ๕๕๕๕๕๕ แต่เวลารีวิวหนังก็ยังเน้นตามเนื้อผ้า ตามความจริงเป็นหลัก ซึ่งเรื่องนี้มีให้ชมและสับเยอะทีเดียว บอกล่วงหน้าว่าเราไม่ใช่ทั้งแฟนคอมมิค สไปดี้โทบี้ก็ไม่เคยดู การรีวิวจึง based on การดูหนังในฐานะคนธรรมดาๆ เป็นแฟนมาร์เวลที่ตามแค่ภาพยนตร์มาแต่ไหนแต่ไร เอาล่ะ พร้อมแล้วก็ลุยกันเลย!
ปล.สปอยล์แหลก สปอยล์หมด จงระวัง!
เรื่องย่อ
เป็นเรื่องราวชีวิตไฮสคูลทั่วไปของ Peter Parker (15 ปี) หลังเข้าร่วม Civil War และได้รู้จักกับ Tony Stark ขณะเดียวกัน ก็ไปรับรู้การผลิตอาวุธอย่างผิดกฎหมายของ The Vulture เข้า Peter ใช้โอกาสนี้ในการพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่งในทีม Avengers
ตัวละคร
รู้สึกว่ารวมๆไม่มีอะไรให้พูดมากนัก เพราะ 1.มาร์เวลเจ๋งเรื่องแคสติ้ง ไม่เคยมีผิดหวังสักบท และ 2.หนังฮีโร่ไม่ได้โฟกัสพัฒนาการตัวละครมาก แค่เล่นได้สมบทบาทก็ถือว่าผ่านแล้ว และโฮมคัมมิ่งเองก็บรรลุจุดประสงค์ทั้งสอง ทีมนักแสดงมีเสน่ห์ เคมีดี เล่นด้วยกันแล้วก็ฮาๆ กวนๆ สร้างบรรยากาศเด็กไฮสคูลใสๆให้หนัง บทที่ชอบเป็นพิเศษยกให้ Ned เพื่อนที่มาสร้างสีสันให้ชีวิต Peter จนทำให้ดูสมเด็ก ไม่ได้ดูรันทดหดหู่เหมือนหลายๆภาคที่ผ่านมา และ Zendaya ที่แม้จะไม่ได้มีบทบาทมาก แต่กลับแย่งซีน Liz ได้ง่ายๆ ต้องยอมรับว่าเธอมีเสน่ห์ มีความเท่บางอย่าง พอเปิดตัวว่าเป็นเอมเจแล้วถึงขั้นอ้าปากค้าง อ้าว! ไสว่าสิบ่ใช่เอมเจ... แต่ไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด ชอบและอยากเห็นนางในฐานะนางเอกเต็มตัว
พูดถึงตัวร้ายเล็กน้อย คิดว่าสมบทบาทดีอะ ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องเล่นใหญ่ ปมมีน้ำหนักและการกระทำก็สมเหตุสมผล ไม่ใช่เอะอะถล่มๆ ข้อดีคือสมจริง ข้อเสียคือความมันส์ของหนังลดลง
มาถึงไฮไลท์ของหนัง Tom Holland ทำหน้าที่ตัวเองได้ดีมาก สามารถแบกหนังทั้งเรื่องไปจนจบได้โดยไม่หลุดคาแรกเตอร์สักซีน เคยอ่านคอมมิคแค่ไม่กี่ตอน แต่ก็พอรู้ว่าความกวนสไปดี้ต้องหนักเบอร์ไหน ซึ่งน้องทอมก็ทำได้ไม่มีที่ติ จะมีล้นเกินหน่อยก็คือความน่ารัก น่าเอ็นดู ที่ถ้าเป็นสไปดี้วัยประมาณ The Amazing Spiderman เราคงมองว่า มากไป แต่เพราะเป็นวัย 15 กำลังเอ๊าะๆ แตกเนื้อหนุ่ม (?) ความหน้าเด็ก ความบ้องแบ๊ว ความกระตือรือร้นของน้องเลยกลายเป็นตัวช่วย ทำให้เป็นสไปดี้คนโปรดของใครหลายๆคนได้อย่างง่ายดาย
จุดที่ชอบเป็นพิเศษ คงเป็นการถ่ายทอดทัศนคติ นิสัย ความคิดจิตใจของ Peter ออกมาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากท้ายๆ ที่ถูกซากหินทับแล้วพยายามจะตะเกียกตะกายออกมา เสียงร้อง สีหน้า แววตา น้องทำได้ดีมากในฐานะนักแสดงที่ประสบการณ์ยังน้อยอยู่ ทำให้เรารู้สึกถึงสิ่งที่น้องรู้สึก สิ่งที่สไปเดอร์แมนรู้สึก พอพูดคำว่า 'Come on, Spiderman' น้ำตาเราแทบไหล ความใจสู้นี้ ;___; ฉากจบเองก็โคตรดีจ้า ปฏิเสธ Tony แบบเท่ๆ ไม่ลืมหน้าที่และเป้าหมายแรกของตัวเอง ล้องห้ายยย
และฉากที่ไม่พูดไม่ได้ ก็คือฉากพยายามจะช่วยตัวร้าย เป็นอะไรที่โคตร Peter Parker โคตร Spiderman มันโดนอะ มันกระแทกใจเราว่า เห้ย แม่งต้องแบบนี้ นี่แหละสไปเดอร์แมน จะสวมคอสตูมหรือไม่ ฮีโร่ก็ยังเป็นฮีโร่ เห็นค่าชีวิตคนยังไง ก็เห็นค่าชีวิตคนแบบนั้น เท่มากเลย
ถ้าต้องติ เราคิดว่าน้องไม่ค่อยอินฉากที่ต้องใช้สายตาซีเรียส อย่างฉากรู้ว่า The Vulture เป็นพ่อ Liz นี่ อารมณ์ยังไม่ถึง ทำให้จุดพีคของเรื่องแผ่วลงมาเบอร์นึงเหมือนกัน อยากให้ไปฝึกทำหน้าซีเรียส หยุดทำหน้าน่ารักทุกฉากทุกตอนได้แล้ว ใจแม่สั่นไหว T v T หรือฉากที่ต้องใช้กำลัง ใช้แรงหน่อย อย่างฉากปีนตึก ฉากหยุดเรือ เราคิดว่าน้องยังแกร่งได้กว่านี้ ไปได้สุดมากกว่านี้ แต่เห็นแหละว่าเป็นภาคที่สไปดี้ยังเด็กอยู่เลย ๕๕๕๕๕๕ ต้องรอภาคต่อๆไปสินะ
สรุปแล้ว นักแสดงทุกคนเก่ง และ Tom Holland ก็สมควรจะได้รับเสียงชื่นชมเยอะๆให้กับผลงานที่ดีงามนี้ ฮือออออ ยังไงยูก็เป็นเดอะเบสสไปเดอร์แมนสำหรับเรา สไปดี้ที่กวนตีน พูดมาก แต่ก็เนิร์ดไปพร้อมๆกัน เล่นเป็นตัวเองชัดๆ T w T รักโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย ดูไปเหมือนเป็นไบโพล่าร์ไป แป๊บๆหวีดความผัว แป๊บๆเอ็นดูความน่ารัก แป๊บๆหมั่นไส้อยากจะงับแก้ม ฮือ
พล็อต
ต้องบอกว่าพล็อตแทบไม่มีอะไรเลย ดังนั้นถ้าหวังงานบทอลังการงานสร้าง ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่แนวมาร์เวลอะเนอะ มาร์เวลเน้นดูสนุก ความหมายดี ไม่ใช่หนังดีพ หนังหักมุม หนังดาร์กหม่นฯลฯ ดังนั้น แฟนมาร์เวลน่าจะเดาๆได้ว่าหนังจะออกมาสนุกคึกคักแค่ไหน เราว่าเนื้อเรื่องน่ารักดี แทรกมุกตลกเป็นระยะๆ (ปังบ้างแป้กบ้าง จังหวะเหมือนยังไม่โปร แต่ก็ยังดีที่พยายามเล่น ๕๕๕๕๕) แล้วก็มีทั้งซีนอารมณ์และซีนบู๊ ไม่น่าเบื่อ เพลิดเพลินใจ ถ้ามีลูกให้พาลูกมาดู
สิ่งที่ชอบที่สุดนอกเหนือไปจากความสนุกสนานตามสไตล์หนังฮีโร่ คงเป็น Message ที่หนังสื่อผ่าน Homecoming เรารู้สึกถึงความเด็ก ความสดใหม่ การเริ่มต้น สีสัน ความติดดิน ฯลฯ เป็นเพื่อนบ้านที่แสนดี ซึ่งแค่นี้ก็มากพอจะทำให้นี่เป็นหนังสไปเดอร์แมนที่ดีได้แล้ว รู้จักเก็บรายละเอียด เก็บบรรยากาศ (อย่างไรก็ตาม พี่ที่รู้จักบอกว่าโดยเนื้อหาต้นฉบับอยากให้ Peter เลือกระหว่างความรักกับการเป็นฮีโร่ ซึ่งเรายังไม่ค่อยเห็นจุดนี้ในหนัง ถ้าสามารถขยี้ปมนี้ได้อีกนิดจะจัดว่าเพอร์เฟ็ค)
ในด้านความตื่นตาตื่นใจ ยกให้พวกเทคโนโลยีล้ำๆ สมแล้วที่ดึงเอาไอรอนแมนมาเอี่ยวด้วย (ส่วนตัวชอบที่ Tony มาน้อยๆนะ ยังไงก็หนังเดี่ยวสไปดี้ ไม่ได้อยากให้มามีบทบาทเยอะเกินไป อ้อ แต่เคมีเข้ากันดีเหลือเกิน แม่สอนลูก ลูกงอนแม่ มากๆ ช่วยล่วยยยย)
ส่วนสิ่งที่ไม่ชอบ คือการไม่มีโฟกัส เรารู้สึกว่าหนังไม่ให้ความสำคัญกับฉากที่ควรจะให้ความสำคัญ เราไม่ได้พูดถึงฉากเรือ (น่าเสียดายนะ มี Tony มาแย่งซีน) ที่เรามองว่าหนังอยากให้เป็น conflict ของสไปดี้กับไอรอนแมนเฉยๆ แต่พูดถึงฉากท้ายๆ ที่โดนเล่นงานจนอ่วมแต่ยังอยากฮึดสู้ หรือฉากช่วยตัวร้าย หนังเดินฉับๆ รวบรัดตัดความมาก พอให้เวลาดื่มด่ำกับแต่ละฉากน้อยไป ก็กลายเป็นว่าฉากเหล่านั้นถูกลืมอย่างรวดเร็ว ไม่ค่อยตราตรึง ทั้งๆที่ปูมาทั้งเรื่องเพื่อฉากพวกนี้ไม่ใช่เหรอ
ในด้านฉากแอคชั่น เราชอบมุมกล้องเกือบทั้งหมด รู้สึกว่าเลือกได้เหมาะสม อย่างตอนปีนตึก โคตรเสียว ฉากนั้นก็สวยและลุ้นอยู่นะ แต่ด้านอารมณ์ ซีนแอคชั่นเหมือนยังขาดๆเกินๆ กลายเป็นว่าบู๊ไม่สะใจในความคิดเรา เชื่อไหมว่าคิดถึงฉากยิงใยใน Civil War มากกว่า ฮืออออออออออ เหมือนในหนังได้ดูการปีนป่าย การยิงใยไม่เต็มอิ่มเลย มองๆแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาของพล็อตหรอก แต่เป็นปัญหาของการดีไซน์ฉาก ซาวน์เอฟเฟ็กต์ กำกับ ต่างๆนานามากกว่า
ดีแล้วที่หลังๆสไปดี้ไม่ได้ใส่ชุดที่ Tony Stark สั่งทำมา เราประทับใจ Peter ที่แข็งแกร่งและเจ๋งได้โดยไม่ต้องใส่คอสตูมมากกว่า พอมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย จนหนังเริ่มน่าตื่นตาตื่นใจ ในทางกลับกันมันก็ลดความเท่ของสไปเดอร์แมนลงไปเหมือนกัน
สรุปคือ หนังเรื่องนี้ครบรส ดูเพลิน สมคำร่ำลือว่ามีทุกอย่างที่หนังสไปเดอร์แมนควรจะมี แต่ก็น่าจะยังต่อยอดสิ่งที่มีได้มากกว่านี้ เริ่มต้นจากการวางไคลแมกซ์ใหม่ วางการไต่อารมณ์ใหม่ ยังไม่เจอฉากพีคในภาคนี้ ก็ยังคงรอดูอยู่ในภาคหน้าๆนะ T v T b
ฉาก
สารภาพว่าไม่ค่อยได้สนใจ Soundtrack เลย แต่ฉากไล่ล่า ฉากยิงต่างๆ เสียงประกอบน่าจะเฉียบกว่านี้
ฉากรวมๆก็สวยงาม มุมกล้องดี โดยเฉพาะฉากปีนตึก รักเลย ด้าน Visual effects ต่างๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เปลี่ยนฉากกับ movement เร็วมากเหลือเกิน หรือเรามองไม่ทันเอง._. รู้สึกว่าถ้าสมาธิหลุด จะตามภาพไม่ทันตลอดไป โฮววววววววววววว จำเป็นต้องไปดูเก็บรายละเอียดอีกสักรอบสองรอบ ไม่งั้นจะค้างคาใจหลายฉากมาก หนังก็ยาวสองชั่วโมงนะ ทำไมรู้สึกยังไม่พอ ยังต้องการมากขึ้นอีก T_T
เออออ แต่ชอบ Credit ตอนจบมากนะ เป็นเหมือนการ์ตูนสไปดี้งี้ น่ารักโคตรรรรรรรรรร สดใสโคตรรรรรรรรรรร และฉากที่เปิดมาด้วยการถ่ายหน้าตัวเองของน้องทอมก็โคตรจะแบบ่ดา่หสกห่ฟวห่ฟศ เด็กเด๋อที่แท้ พอใส่ดีเทลเล็กๆน้อยๆพวกนี้เข้ามาแล้วเหมาะกับสไตล์หนังมากจริงจัง
ภาพรวม
เป็นหนังที่ดูสนุก บันเทิง ไม่ได้ละสายตาไปจากจอเลย (เพราะมันไวมาก ตามไม่ทัน) ต้องยกความดีความชอบให้น้องทอมอยู่หลายเรื่องว่าทำให้โฮมคัมมิ่งเป็นโฮมคัมมิ่งจริงๆ ในขณะที่ทีมกำกับ ทีมฉาก เรายังคิดว่าไปได้สุดกว่านี้ น่าเสียดายที่เป็นสองชั่วโมงกว่าๆที่เราไม่ได้มีภาพประทับใจส่วนไหนเป็นพิเศษ คิดว่าดีตามมาตรฐานมาร์เวล รอให้ดีกว่ามาตรฐานมาร์เวลเหมือนอย่าง Civil War นะ อันนั้นที่สุดจริงๆ สุดยอดทุกด้าน
ส่วนโฮมคัมมิ่ง ถ้ามองเป็นหนังเปิดตัวเราก็ชื่นชม ในฐานะแฟนทอม /ผิด แฟนมาร์เวลแล้วรู้สึกอิ่มใจ แต่ถ้ามองเป็นหนังเฉยๆให้ 8.5/10 แอบลดคะแนนลงจากตอนแรก (8.7/10) อีก คิดไปคิดมาเราก็ไม่ได้หวีดเว่อร์วังเท่าที่คาด ถ้าเปรียบเทียบแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ความสุขในรูปแบบพีค ตราตรึง เกินคาด ฯลฯ แต่เป็นความสุขในรูปแบบได้ fulfill อะไรบางอย่างในใจมากกว่า เหมือนสิ่งที่เฝ้ารอมานานเป็นรูปเป็นร่างและออกมาเจ๋งมาก สำหรับเราก็ยังถือเป็นหนังที่ต้องดูซ้ำ เพราะเป็นสองชั่วโมงที่เอนจอยและหลงรักสไปเดอร์แมนซ้ำๆ
และถึงภาคนี้จะสดใหม่ขนาดไหน สไปเดอร์แมนก็ยังมีหัวใจที่โคตรจะฮีโร่เหมือนเดิม
- ilysm.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in