เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
To all the movies I've watched beforeilysm
Movie Review “Brokeback Mountain"
  • Movie Review

    “Brokeback Mountain

    หุบเขาเร้นรัก”







                    รู้จักหนังเรื่องนี้ครั้งแรกเพราะพี่สาวคนนึงแนะนำ บอกว่าเป็นหนังที่ดี บ่อน้ำตาแตก เราเองก็สนใจมากๆ เพราะเป็นหนัง Homosexual ที่คลาสสิกและโด่งดัง คนพูดถึงเต็มไปหมด เพิ่งจะมีโอกาสได้ดูจริงๆตอนเพื่อนๆชวน Movie night ตอนห้าทุ่ม…ค้นพบว่าไม่ควรดูตอนก่อนนอนเลยจริงๆT_T ต่อไปจะเป็นรีวิวกึ่งระบายความรู้สึกกึ่งวิเคราะห์ อัดอั้นอะ ไม่เขียนไม่ได้ orz

     



    เรื่องย่อ

                    Jack และ Ennis คาวบอยหนุ่มทั้งสองได้มาทำงานร่วมกัน โดยรับหน้าที่ต้อนแกะ เฝ้าฝูงแกะให้กับเจ้าของไร่บน Brokeback mountain ช่วงเวลาที่อยู่บนนั้นทำให้ทั้งสองใกล้ชิดและตกหลุมรักกัน แต่บรรทัดฐานสังคม ฐานะ ภาระหน้าที่ในชีวิต ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ทว่า Jack และ Ennis ก็ยังคงนัดเจอกันนานๆทีหนตลอด20 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าต่างฝ่ายจะแต่งงานมีลูกมีครอบครัวไปแล้วก็ตาม

     





    ตัวละคร

                    นิสัยของตัวละครเป็นอะไรที่เข้าใจได้และสมจริงมาก ไม่มีตัวละครที่ดีเกินไป หรือเลวเกินไป ตัวละครล้วนเห็นแก่ตัว มีทั้งแง่มุมที่แข็งแกร่งและเปราะบาง หนังเรื่องนี้เล่นกับจิตใจคนดูได้ดี (อย่างน้อยก็สำหรับเรา) เพราะสุดท้ายเราเข้าใจทุกๆฝ่าย ไม่ได้เห็นใจแต่เพียงตัวเอก หนำซ้ำ มองจากหลายๆมุม ตัวเอกก็ทำผิดกับคนอื่นไว้มาก แต่เรากลับผูกพันและหวังลึกๆให้ทั้งสองได้รักกัน แม้ว่ามันจะเป็นทางเลือกที่เห็นแก่ตัวแค่ไหนก็ตาม


    มีสปอยล์


                    Jack เป็นคนโรแมนติกช่างคิด ช่างฝัน และวางแผนให้ตัวเองและ Ennis ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน แต่ Ennis ไม่ใช่ เขาอยู่กับความเป็นจริง ถูกปลูกฝังว่ารักเพศเดียวกันนั้นผิดและต้องเจอจุดจบที่เลวร้าย เขาถึงหลบซ่อนอย่างขี้ขลาด แต่มองอีกมุมหนึ่งเขาก็ทุ่มเทให้กับครอบครัวมากกว่า Jack ที่โชคดีได้แต่งงานกับหญิงสาวตระกูลร่ำรวย ไม่ใช่แค่ทรยศกับภรรยา แต่ Jack ยังทรยศกับ Ennis ด้วย (ทั้งซื้อบริการ ทั้งชายหนุ่มที่เทกซัส ทั้งผู้หญิงอื่น ฯลฯ) Jack ไม่มีความอดทน และแทบไม่เห็นแง่มุมรักครอบครัวของ Jack ต่างจาก Ennis ที่ถึงแม้จะไม่ซื่อสัตย์กับภรรยา แต่ทุกอย่างบีบบังคับให้เขาทำงานบากบั่น และหลายครั้งก็ต้องปฏิเสธกระทั่งการได้ใช้เวลากับ Jack เพื่อหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว

                   ด้วยปมนิสัยของตัวละครที่สมจริง มีหลายมิติ จนบางครั้งอยากจะสบถว่าไม่เข้าใจ บางครั้งสงสาร บางครั้งรู้สึกสมน้ำหน้า หลายๆอย่างปนกัน เราชอบที่ตัวละครเรื่องนี้โคตรจะเป็นสีเทา ให้ภาพผู้ชายสองคนรักกันจริงๆ ผู้ชายแมนๆ เล่นกันแรงๆ ทะเลาะทีต่อยกัน ดูเป็นอะไรที่จับต้องได้ เหมือนหยิบเรื่องจริงมาเล่า และถ้า Jack กับ Ennis ไม่ได้นิสัยแบบนี้ เรื่องราวก็คงไม่ได้ดำเนินไปแบบนี้ การวางคาแรกเตอร์ต่างๆจึงซัพพอร์ตแก่นเรื่องได้ดี  ยิ่งพัฒนาการตัวละครช่วงหลังๆบีบหัวใจเราเหลือเกิน;_; ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาด ทั้ง Jack และ Ennis เก็บกดอะไรหลายๆอย่างมาตลอด20 ปี จนสุดท้ายก็ระเบิดตู้ม ทั้งที่หนังมีบทพูดไม่เยอะ แต่ก็ทำให้เราร้องไห้ จังหวะไต่อารมณ์ จังหวะไคลแมกซ์ ทุกอย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติ พอมารวมเข้ากับการแสดงที่สมบูรณ์แบบ ก็ทำให้น้ำตาซึมได้โดยไม่ต้องพึ่งคำพูดใดๆ




                    พาร์ทที่เราเทใจให้เต็มร้อยคือนักแสดง เราไม่คิดเลยว่าทั้ง Heath Ledger และ Jake Gyllenhaal จะเข้าถึงบทบาทและถ่ายทอดความรู้สึกตัวละครออกมาได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ประทับใจตั้งแต่เคมีที่เข้ากันอย่างประหลาด  พอฉากน่ารักเราก็เขินอมยิ้ม ทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่ได้หวานไม่ได้กุ๊กกิ๊ก บทสนทนาก็ไม่ได้โรแมนติก แต่เรากลับรู้สึกว่ามันจริงใจและสวยงามในแบบของมัน ฉากทะเลาะ ก็สะท้อนความเป็นผู้ชาย สะท้อนอารมณ์ที่ซับซ้อน ลังเล สับสนของตัวละคร ฉากที่อยู่กับครอบครัว ก็ไม่ได้ดูเสแสร้งจนอึดอัด แต่ดูเป็นชีวิตในแบบของพวกเขา

                    สำหรับเรา Jack เป็นตัวละครที่แสดงออกทางสายตาชัดเจนมาก สายตาเวลาที่ Jack จะต้องบอกลา Ennis เหมือนบดขยี้หัวใจเราไปด้วย เวลาที่แววตาคลอเบ้า มันดูจริงขนาดที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย จริงได้ขนาดนี้เลยหรอ ในขณะที่ Ennis มีไม้ตายที่เสียงร้องไห้ เรารู้สึกได้ถึงความอ่อนล้า ความกลัว ความเจ็บปวด ที่ตัวละครที่ดูเข้มแข็งที่สุดในเรื่องแบกรับไว้ Jack น่าจะเป็นคนๆเดียวที่ Ennis ยอมให้เห็นน้ำตาและความอ่อนแอ

                    สรุปคือนักแสดงทั้งสองอุ้มหนังทั้งเรื่องไว้ได้ดีมาก ไม่แปลกว่าทำไมถึงได้เข้าชิงออสการ์ เพราะพวกเขาไม่ได้แสดง พวกเขา ‘เป็น’ ตัวละครนั้นเลย เราเชื่อว่าทุกประโยคที่นักแสดงพูด นักแสดงหมายความเช่นนั้นจริงๆ 

     




    พล็อต

                    เราไม่มองว่าพล็อตเป็นจุดอ่อนของเรื่อง แต่มองว่าเป็นส่วนที่ไม่ได้ตราตรึงใจมากกว่า ถ้าพล็อตมีลูกเล่นมากกว่านี้ บีบคั้นมากกว่านี้ เราคงตายคาหนัง ;_; แต่ก็คงจะชอบมากๆเหมือนกันเพราะชอบพล็อตที่ไปสุดทาง แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่แนวที่เราชอบแบบเป๊ะๆ แต่ระหว่างที่ดูก็หลุดเข้าไปในเรื่องเลย

                    เรื่องนี้ดำเนินอย่างเนิบนาบ ไม่มีฉากที่ลุ้นระทึก โทนหนังนิ่งๆ เงียบๆ พาให้คนดูจมดิ่งมากกว่าที่จะรู้สึกสนุกหรือเอนจอย บางคนอาจรู้สึกว่าเบื่อ ง่วง ชวนหลับ ยอมรับว่ามีบ้างบางฉาก๕๕๕ ความเอื่อยเกินไปก็อาจจะเป็นข้อเสียของเรื่องนี้นี่แหละ แต่ความที่หนังเน้นลุ่มลึก ไม่ยัดเยียดฉากหรืออารมณ์จนเกินพอดี เลยเป็นหนังที่ดูได้เรื่อยๆ

                    สำหรับเรา พล็อตจัดว่าเดาไม่ยาก แต่คนก็คงไม่อยากเดา อยากดื่มด่ำบรรยากาศของเรื่องไปเพลินๆมากกว่า เหมือนดูผู้ชายสองคนเติบโตไปพร้อมๆกัน ระยะเวลาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ทั้งสองดูลึกซึ้ง ไม่งั้นเราคงนึกว่ามันเป็นแค่ความใคร่ ความลุ่มหลงบางอย่างมากกว่า จนตอนนี้ก็ยังคิดว่า ถ้าสุดท้ายทั้งสองได้อยู่ด้วยกันจริงๆ มันจะยังใช่ความรัก ความสุข ความหวานชื่นเหมือนเดิมรึเปล่า หรือที่รู้สึกว่ารักอย่างมากมาย ต้องการกันและกันตลอด เพราะว่าไม่ได้อยู่ด้วยกัน เป็นความสัมพันธ์ที่หลบซ่อน ต่างคนต่างถึงได้โหยหากัน เจอกันแต่ละทีก็มีความสุขมาก

                    Brokeback mountain ตีแผ่ประเด็นหลักๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้โจ่งแจ้ง แต่ทิ้งให้คิดเช่น การต่อต้านรักร่วมเพศที่รุนแรงมากในสมัยนั้น (แสดงผ่านคำพูดของ Ennis ที่ว่าเกย์เฒ่าสองคนถูกฆ่า คนหนึ่งถูกตัดไอ้นั่นขาด) ค่านิยมและความคาดหวังของสังคมที่มีต่อคาวบอย (Ennis มองว่าคาวบอยที่ต้อนแกะไม่ควรนับเป็นคาวบอย) บทบาทครอบครัว (การแต่งงานไว-การทำงานเลี้ยงดูลูก-เห็นได้ว่าภรรยาของทั้งสองรู้ว่าจริงๆสามีเป็นเกย์) ชอบที่หนัง portray ชีวิตของ LGBT ได้ดิบมาก (ไม่ใช่ในแง่ดิบเถื่อนนะ ในแง่ไม่ปรุงแต่ง) ความรู้สึกที่เหมือนเพื่อน เซ็กส์ การหลบซ่อน ความหวาดกลัว (เหมือนที่ Ennis กลัวอยู่ตลอดว่าทุกคนรู้ ทุกคนสงสัยว่าเขาเป็นเกย์) กระทั่งการนอกใจ ซื้อบริการ เป็นต้น

                   สองฉากโปรดที่เราไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเติมเต็มให้เรื่องสมบูรณ์ขึ้น คือ





     1)     ฉากที่ Ennis ถามลูกสาวที่กำลังจะแต่งงานว่า “แล้วเคิร์ทรักลูกไหม”

    เป็นฉากเรียกน้ำตาเราเลย Ennis ฝังใจจากการที่เขาไม่ได้รักภรรยา แค่แต่งงานเพื่อสร้างครอบครัวเฉยๆ จนไม่อยากให้ลูกสาวเจอผู้ชายแบบตนเอง เหมือนในที่สุดเขาก็ realize แล้วจริงๆว่า การแต่งงานควรมาจากความรัก เป็นการอยู่ด้วยกันเพราะความรัก (หลังๆมีการปฏิเสธการเคร่งศาสนา การเข้าโบสถ์ด้วยนะ หนังโคตรเก็บรายละเอียด เชื่อได้เลยว่าศาสนาสมัยนั้นให้ผู้ชายคู่กับผู้หญิง) เหมือนฉากที่สรุปว่า 20 ปี ที่ผ่านมา Ennis ต้องอยู่กับความขี้ขลาด ความรู้สึกผิด และความรักที่มีต่อ Jack


    2)     1 ในฉากจบที่ดีที่สุดที่เราเคยได้ดู T v T Ennis ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่มีความหมายต่อเขา และพูดประโยคที่แสนคลุมเครือว่า ‘Jack, I swear’

     

    หลายคนเห็นตรงกันว่าเสน่ห์ของ Brokeback mountain คือความคลุมเครือ (เหมือนความสัมพันธ์ทั้งคู่) หนังไม่ได้ให้คำตอบชัดเจนว่าต้องตีความไปทางใด เช่นประเด็นการตายของ Jack จนตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่า Jack โดนยางระเบิดตายจริงๆ (กรณี Ennis จินตนาการ Worst case ขึ้นมา) หรือ Jack  โดนฆ่าเพราะเป็นเกย์ ซึ่งถ้าถามเรา แอบคิดว่าประเด็นหลังเมคเซนส์กว่า เพราะตอนภรรยาพูดเรื่องการตายของสามี พูดแบบขอไปที ส่วนการที่เธอน้ำตาคลอเบ้า ทำให้เรามั่นใจว่าเธอรู้เรื่อง Jack กับ Ennis 

     

    กลับมาที่ฉากจบ (อ้อมโลกไปไกล ฮา) คำว่า ฉันสาบาน ของ Ennis ทำให้เรานึกถึงคำสาบานวันแต่งงาน หนึ่ง เพราะ Ennis เคยต้องสาบานว่าจะรักอัลมา ตอนนั้นเขาไม่ได้ดูมีความรู้สึกร่วม ต่างจากครั้งนี้ เขามองเสื้อเชิ้ต Jack แล้วพูดว่า ฉันสาบาน ด้วยความรักใคร่และปวดร้าว สอง เพราะลูกสาวเพิ่งมาคุยว่าเธอจะแต่งงาน แล้วเขายอมยกเลิกงานเพื่อไปร่วมงานของลูกสาว ซึ่งนี่อาจจะแสดงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างว่า Ennis คิดจะทำอะไรเพื่อคนที่รักบ้างแล้ว ดังนั้น การสาบานกับ Jack ต่อหน้าเสื้อของอีกฝ่าย และรูป Brokeback mountain จึงแสดงถึงการยอมรับความรักระหว่างทั้งสอง ต่างจากการหลบหนี หลบซ่อนมาตลอดของ Ennis

     

    แต่ก็มีความเห็นบางส่วนค้านว่า Ennis แค่อยากจะบอกว่า ‘ฉันสาบานเลยว่านายแม่งทำฉันพังจริงๆว่ะ แจ็ค’ ซึ่งเราว่าก็เป็นไปได้ ถ้ามองจากนิสัยของ Ennis เขาเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก สุดท้ายเขาอาจจะแค่อยากบอก Jack ว่าชีวิตเขา fucked up เพราะความรักที่มีต่อ Jack แล้วตอนนี้ Jack ก็ตายไปแล้ว (และนอกใจเขาด้วย) เหลือแต่เขาคนเดียวต้องเผชิญหน้ากับชีวิตต่อไป โอ๊ย เศร้า T_____T ถ้าเราเป็น Ennis คงฆ่าตัวตายตามไปแล้ว ไม่อยากอยู่เลยอะ เจ็บปวดเกินไป แค่คิดว่าคนที่เข้าใจเราที่สุด คนเดียวที่เรากล้าเปิดเผยทุกอย่าง ได้ตายจากไปแล้วจริงๆ  โดยที่เราไม่ได้บอกลาเค้า ไม่ได้เอาเถ้าถ่านเค้าไปไว้บน Brokeback mountain โคตรดิ่งงงงงงงงงงงงงงงง ;_;

     




     

    ฉาก

                    ขอชม Soundtrack ก่อนเลย เพราะแบบไม่มีคำบรรยาย แค่เพลงขึ้นน้ำตาเราก็พร้อมไหล ชอบเสียงกีตาร์ดีด ไม่มีเนื้อร้อง มีแค่ทำนองเบาๆ แต่เราเห็นภาพภูเขา ก้อนเมฆ และความสุขของทั้งสองเลยอะ ;_; ทำไมช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันถึงแสนสั้นจังเนอะ

                    ฉากสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ชอบรองลงมาจากการแสดง เราไม่ใช่คนชอบดูหนังย้อนยุค ยิ่งคาวบอยยิ่งแหยงๆเลย แต่มาดูจริงปรากฏว่าหลงใหลความสวยแบบเก่าๆ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย วิถีชีวิตในยุค 19xx ช่างสวยละมุนตาไปหมด

                    ไหนจะความสวยงามของหุบเขา ทุ่งหญ้าเขียวๆ น้องแกะ ท้องฟ้าสีสดใส ตรงนี้มีคนเขียนบล็อกวิเคราะห์เอาไว้น่าสนใจ (คลิก) และตรงกับที่เราคิด เค้าวิเคราะห์ว่าหนังพยายามเน้นฉากโปร่งๆ โล่งๆ สวยงาม เพื่อให้เห็นความสุขที่แท้จริงและเต็มเปี่ยมของJack กับ Ennis เมื่อเปรียบเทียบกับตอนลงไปอยู่ในบ้านแคบๆ ในเมือง ในสถานที่ที่ปิดกั้นด้วยกรอบของสังคม  อีกทั้งเสื้อเชิ้ตสองตัวทาบกันที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า ยังตีความได้ถึงความรักที่หลบซ่อน (Riverdale, 2549 : จากบล็อกที่อ้างอิงด้านบน)

                    สำหรับเรา ตีความเพิ่มไปว่า เวลาทั้งคู่อยู่ด้วยกัน หนังโฟกัสไปที่ธรรมชาติ สื่อถึง ‘love is a force of nature’ คำโปรยหนัง นั่นคือความรักระหว่างทั้งคู่มันเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ถูกมาตรฐานสังคมมากำหนดว่าถูกหรือผิด เกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์ (ปราศจากการชี้นำของสังคมที่สร้างข้อจำกัดด้านเพศขึ้นมา) และเราก็มองว่าถ้ารักนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันย่อมห้ามไม่ได้ เข้าทำนอง Nature takes control of everything

                    ยิ่งขบคิดยิ่งเห็นความรอบคอบพิถีพิถันของหนัง และอิสระทางความคิด ที่หนังเปิดโอกาสให้เราตีความ เป็นอะไรที่เราโปรดปรานที่สุดเลย นี่เรายังมองว่าธรรมชาติเองก็ห่างไกลจากสังคม = การหลบซ่อนเหมือนกัน (ตรงกับชื่อภาษาไทยว่า หุบเขาเร้นรัก) ที่ๆเดียวที่ทั้งคู่ได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง





    ภาพรวม

                    ดูจบแล้วช็อกไปเลยอะ คือนั่งนิ่ง พยายามคิดว่าเมื่อกี้ดูอะไรไป หนังจะสื่ออะไร… เราชอบหนังที่ต้องใช้การตีความเข้าช่วยจึงจะได้ภาพที่สมบูรณ์แบบ เรื่องนี้จึงตอบโจทย์มากๆ ทุกองค์ประกอบรวมกันจึงได้หนังที่เงียบแต่มีพลังอย่างเหลือเชื่อ ดูจบเราเก็บเอาไปฝัน วันนี้ตื่นมาก็หม่นไปทั้งวัน เขียนรีวิวแบบน้ำตารื้น ระหว่างดูไม่ได้ร้องไห้เยอะหรอก แต่หลังดูอารมณ์กลับติดค้าง T_T หน่วงเว่อ ถ้าให้อธิบายหนังด้วยคำๆเดียว จะขอใช้คำว่า เรียล ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เหมือนหนัง เหมือนเรื่องจริง เหมือนเราไปนั่งดูชีวิตของคนสองคนจริงๆเลย แล้วก็อาจจะมีจริงด้วยในยุคนั้น เพราะแบบนี้ถึงได้เจ็บปวด

                     สรุปแล้วถูกจริตอย่างประหลาด ให้ 8.7/10 แนะนำนะคะ <3 เผื่อใครดูจบ อารมณ์ค้าง ก็แวะมาดิสคัสกันต่อได้ 


    - ilysm.



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
iii_few (@iii_few)
ดูแล้วกดจิตสุดๆพูดไม่ถูก อัดอั้น เคว้งคว้าง หมองมน เศร้า หน่วงๆใจ อยากระบาย
เจ็บปวดไปหมด ค้างๆไปหลายวันเลย ไม่น่าพลาดเข้ามาดูเลย?
เรื่องนี้เป็นหนังเพศที่3 ดูจบมันทำให้มองข้ามเรื่องของเพศที่3ออกไปเลย เพราะมันเป็นเรื่องความรักของคนสองคนจริงๆ โอ้ยยยเอามันออกจากหัวกุที? ปวดใจสุดๆๆ อึดอัด แปปๆก็วนเข้ามาในหัวอีกแล้ว งืออ??