เมื่อการผ่าตัดสิ้นสุดลง และทุกอย่างเป็นไปด้วยดี หลังจากอยู่ในโลกแห่งแสงสว่าง ‘เพอร์เซโฟนี’ ของเราก็พร้อมสำหรับการกลับสู่ขุมนรก และดูเหมือนว่าเขาปรารถนาที่จะหวนคืนสู่โลกแห่งความตายมากกว่าอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่มองเขาด้วยความชื่นชม
แอนน์ ฮิกกิ้นส์ขอตัวออกไปพบลูกสาวของหญิงคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดตาข้างนอก ข้าพเจ้ายังคงยืนรอโทเบียส ฟอล์กเนอร์ตามลำพังบนอัฒจันทร์ด้านบน สายตาของเขาแทบไม่ได้สบตอบผู้คนซึ่งรายล้อมและเข้าหาเขาเพื่อพูดคุย เพราะหากไม่ก้มมองมือตัวเองก็คอยเหลือบแลมายังข้าพเจ้าที่เป็นสิ่งแปลกปลอมของห้องแสดงการผ่าตัดแห่งนี้อยู่เป็นระยะ และดูโล่งใจอย่างยิ่ง เมื่อผู้เข้าชมการผ่าตัดคนสุดท้ายยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ
ข้าพเจ้าเดินลงไปหาเขาที่เวทีด้านล่าง ทำหน้าที่เทน้ำให้ศัลยแพทย์หนุ่มล้างมือแทนที่นางพยาบาลที่เขาบอกให้หล่อนตามไปดูแลคนไข้
“ผู้หญิงที่ได้รับการผ่าตัดคือมิสซิสซัลลิแวน แม่ของจิมมี่ ซัลลิแวนที่คุณกำลังตามหาตัว” เขากล่าวกับข้าพเจ้าเบา ๆ “แอนน์เป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ แลกกับการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อหน้าผู้คน... คนที่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อดูความตื่นเต้นของการผ่าตัดมากกว่าจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนามัน ทำนองเดียวกับการซื้อมัมมี่จากอียิปต์มาแกะเป็นงานอดิเรก”
คำพูดของเขาทำให้ข้าพเจ้าอดยิ้มขันไม่ได้ ทว่าการออกชื่อตัวของแอนน์ ฮิกกิ้นส์ของเขาทำให้ข้าพเจ้าอดเลิกคิ้วน้อย ๆ ไม่ได้เช่นกัน เพราะเท่าที่รู้จักกันมา โทเบียส ฟอล์กเนอร์ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจหญิงสาวคนไหน หรือกล่าวให้ชัดเจนกว่านั้นคือ เขาไม่ได้แสดงความสนใจในมนุษย์ที่มีชีวิตคนไหนอย่างกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
“มิสฮิกกิ้นส์ที่เป็นนักแสดงละครเชคสเปียร์น่ะหรือ” ข้าพเจ้าว่า “ไม่คิดว่าพวกคุณจะรู้จักและสนิทสนมกัน”
“อา... เรื่องมันยาวเกินกว่าที่ผมจะอธิบายอย่างรวบรัดได้” ใบหูของนายแพทย์หนุ่มกลายเป็นสีแดงเรื่อขึ้นมา ท่าทางเคอะเขินของเขายามเอ่ยถึงหล่อนทำให้ข้าพเจ้าต้องกลั้นยิ้ม โดยเฉพาะเมื่อเขารีบชี้แจงเป็นพัลวันเมื่อข้าพเจ้าทำเสียงอืมรับ “ผมไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้จากสารวัตรนะครับ”
“เอาตามที่คุณหมอสะดวกใจเถอะ ผมไม่ว่าอย่างไรหรอก” ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา รอเขาเช็ดมือให้แห้ง สั่งความกับพยาบาลกับเจ้าหน้าที่ในโรงแสดงการผ่าตัดนั้น แล้วออกไปข้างนอกห้องด้วยกัน
ที่ทางเดินนอกอาคารซึ่งเป็นทางที่จะเดินผ่านไปยังแผนกรักษาและชันสูตรศพ แอนน์ ฮิกกิ้นส์ยืนรอเราอยู่พร้อมด้วยเด็กหญิงร่างเล็กในเสื้อผ้าเก่าคร่ำแต่ก็น่าจะเป็นชุดที่ดีที่สุดที่มีอยู่ มีทารกน้อยอายุไม่เกินห้าหรือหกเดือนอยู่ในในอ้อมแขนของเธอด้วยอีกคนหนึ่ง
“สารวัตรเฟย์ นี่คือลิซซี่ ซัลลิแวน น้องสาวของจิมมี่ค่ะ” นักแสดงสาวบอกข้าพเจ้า “ส่วนเด็กที่แกอุ้มอยู่คือ ทอมมี่ น้องคนสุดท้องของแกกับจิมมี่”
ข้าพเจ้าทักทายเด็กหญิงตรงหน้า แม่หนูทักตอบแผ่วเบามองข้าพเจ้าไม่วางตา สิ่งที่อยู่ในดวงตาของแกก้ำกึ่งระหว่างความหวาดระแวงกับความไม่คุ้นเคย
สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าสะดุดใจในตัวของลิซซี่มากที่สุดไม่ใช่สายตาที่แสดงความห่างเหิน แต่เป็นแววตาของความเป็นผู้ใหญ่เกินตัวและแบกรับหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้เกินวัย
สายตาของลิซซี่ทำให้ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หันไปสบตากับ ดร. ฟอล์กเนอร์ที่ยืนอยู่ด้วยกัน เขาสบตาตอบข้าพเจ้า ดวงตาสีเขียวคู่นั้นเต็มไปด้วยความเข้าใจ และยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาของเราต่างสะท้อนความสะเทือนใจของกันและกันออกมา
การยืนยันตัวตนของผู้ตายที่อยู่ในห้องเก็บศพเป็นหน้าที่อันใหญ่หลวงและหนักหนาสาหัสอย่างยิ่งสำหรับเด็กในวัยของแก แต่ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นอีกแล้ว เพราะนอกจากแกที่เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่อยู่ในสภาพที่จะยืนยันตัวตนของผู้ตายได้ ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว
“ไปกันเถอะ” โทเบียส ฟอล์กเนอร์เอ่ย ก่อนจะก้าวเท้าเดินนำทุกคนไปยังห้องทำงานของตนเอง
ที่หน้าอาคารเก็บศพและห้องทำงานของศัลยแพทย์ตำรวจ จ่ามัสเกรฟกับแอนโทนี เกรเซียนต่างยืนรอเราอยู่ ทันทีที่เกรเซียนเห็นมิสฮิกกินส์ และเด็ก ๆ ของครอบครัวซัลลิแวน เขาก็รีบก้าวเข้ามาหาพวกหล่อนทันที เป็นตอนนั้นเองที่ลิซซี่ค่อยดูคลายความกังวลลงบ้าง แต่ความกระวนกระวายของนักแสดงหนุ่มก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมามากนัก
“พวกคุณรออยู่ข้างนอกก่อน ขอให้พวกเราเตรียมการให้เรียบร้อย แล้วจะเรียกให้เข้าไป” ดร. ฟอล์กเนอร์กล่าวเรียบ ๆ และเชิญข้าพเจ้ากับจ่ามัสเกรฟให้เดินตามเข้าไปในอาคาร
ในห้องสำหรับชันสูตรศพ นายแพทย์เบนจามิน เวสต์ ศัลยแพทย์ตำรวจ พอล วิลคินสัน เจ้าหน้าที่ประจำห้องเก็บศพ และจ่ามัสเกรฟยืนรายล้อมร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มในเครื่องแบบสีน้ำเงินขลิบแดงของพนักงานส่งโทรเลขซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงสำหรับชันสูตรศพ
ไม่มีปาฏิหาริย์แม้เพียงน้อยนิดสำหรับผู้คาดหวังและเฝ้าภาวนา
แม้ไม่มีคำยืนยันตัวตนจากพวกญาติสนิทและเพื่อนร่วมงาน ทั้งจ่ามัสเกรฟและข้าพเจ้าก็สามารถระบุตัวตนของบุคคลที่อยู่บนเตียงผ่าศพได้ เพราะเราต่างเคยพบเขามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเขามารายงานตัวที่สก็อตแลนด์ยาร์ด ก่อนที่จะหายตัวไป
ผู้ตายคือเจมส์ หรือจิมมี่ ซัลลิแวนอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อครั้งยังมีชีวิต ความสดชื่น งดงาม ความใสซื่อ ไร้เดียงสา ล้วนเป็นสมบัติและเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีผู้นี้ เค้าโครงและเครื่องหน้าของเขาหล่อเหลาและละม้ายคล้ายคลึงกับแอนโธนี เกรเซียน เพื่อนของเขาอย่างยิ่ง ผิดกันก็แต่ซัลลิแวนมีดวงตาที่มองทุกสิ่งทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมาเหมือนลูกกวางหรือกระต่ายที่อาจตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าดุร้ายชนิดอื่นหรือกับดักของนายพรานได้โดยง่าย และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องหลงเข้ามาในวังวนของคดีที่ถนนคลีฟแลนด์ แต่ไม่มีใครเลยที่คาดคิดว่า เขาจะมาพบจุดจบในลักษณะเช่นนี้
ข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้ตายที่ได้ทำให้เราต้องปรึกษากันเกี่ยวกับการให้ญาติและเพื่อนสนิทของเขาเข้ามายืนยันตัวบุคคล เราตัดสินใจว่าให้แอนโทนี เกรเซียนเข้ามาก่อน แล้วจึงค่อยให้ลิซซี่เข้ามายืนยันเป็นคนสุดท้าย
ทันทีที่แอนโธนี เกรเซียนเห็นศพ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด ริมฝีปากสั่น มือสั่น จ้องมองร่างไร้วิญญาณบนเตียงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะพยายามพาตัวเองเข้าไปหาอีกฝ่าย ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งไม่อาจรับรู้อะไรได้อีกต่อไปแล้ว กล่าวพึมพำเรียกชื่อ ‘จิมมี่’ ไม่ขาดปาก ราวกับเห็นว่า เพื่อนรักนอนหลับอยู่มิได้ตายจากไปไหน จนกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าต้องจับแขนของเขา ค่อย ๆ ดึงออกมาให้ห่างจากศพ ซึ่งเขายอมทำตามอย่างว่าง่าย แม้ดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาจะไม่ยอมละไปจากคนบนเตียงเลยก็ตาม
จากนั้นก็ถึงคราวที่ลิซซี่ ซัลลิแวน น้องสาววัยสิบสามปีของจิมมี่ ซึ่งรออยู่ภายนอกห้องเก็บศพจะต้องเข้ามายืนยันตัวตนของพี่ชาย
นี่อาจเป็นเรื่องโหดร้ายที่จะต้องให้เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปในสถานที่ที่ไม่มีใครปรารถนาจะไปเยือน และต้องทำในสิ่งที่เด็กในวัยนี้ยังไม่ควรจะทำ แต่เธอเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวของจิมมี่ ซัลลิแวนที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ ในเมื่อมารดาของเธอยังไม่ฟื้นคืนสติและป่วยหนัก และไม่สามารถตามหาตัวบิดาของเธอ ซึ่งเป็นกรรมกรขนของที่ท่าเรือมายืนยันตัวเขาได้
“ฉันจะดูแลทอมมี่ให้เองจ้ะ” แอนน์ ฮิกกิ้นส์กล่าวเมื่อข้าพเจ้าออกมาเรียกให้ลิซซี่เข้าไปข้างใน หล่อนยื่นมือออกมารับตัวพ่อหนูน้อยไปจากลิซซี่ อุ้มแกเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวลและชำนาญ ก่อนที่จะเอ่ยกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลิซซี่ ตามสารวัตรเฟย์เข้าไปหาคุณหมอฟอล์กเนอร์ข้างในนะจ๊ะ”
เมื่อเห็นว่าน้องชายอยู่ในความดูแลของคนที่ตนคุ้นเคย ลิซซี่ค่อยดูคลายใจลงบ้าง ถึงกระนั้น เธอก็อดมองข้าพเจ้าด้วยความลังเลมิได้
“นอกจากคุณหมอฟอล์กเนอร์แล้ว แอนโธนีก็รอหนูอยู่ที่นั่นด้วยนะ ลิซซี่” ข้าพเจ้าเอ่ย “หนูจำเพื่อนของพี่ชายหนูที่ชื่อ แอนโธนี เกรเซียนได้ใช่ไหม เขามาขอให้ฉันช่วยตามหาพี่ชายของหนู”
“กลัวหรือ สาวน้อย” ข้าพเจ้าถาม เมื่อเห็นเด็กสาวยังคงยืนอยู่กับที่ ก่อนที่จะยื่นมือไปหาเธอ “เราเข้าไปด้วยกัน”
สิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติ ทำให้เธอมองข้าพเจ้าอย่างไม่แน่ใจ แล้วหันไปมองยังแอนน์ ฮิกกิ้นส์อีกครั้ง กระทั่งอีกฝ่ายหนึ่งพยักหน้าและยิ้มให้แทนคำยืนยันว่า เธอสามารถไว้ใจข้าพเจ้าได้ เธอจึงค่อย ๆ เอื้อมมือมาจับมือกับข้าพเจ้า
สัมผัสจากมือของลิซซี่ทำให้ข้าพเจ้าใจหาย
ไม่ใช่เพราะความเย็นและอาการสั่นน้อย ๆ ด้วยความหวาดหวั่นที่ส่งผ่านมาถึงมือของข้าพเจ้า แต่เพราะมือเล็ก ๆ ข้างนั้นหยาบและด้านอย่างคนทำงานหนักติดต่อกันมานานหลายปี แต่ลิซซี่ไม่ใช่เด็กคนเดียวในอีสต์เอนด์ที่ต้องทำงานตั้งแต่เพิ่งรู้ความ สักวันหนึ่งที่ทอมมี่น้อยเติบโตขึ้น เริ่มพูดและเดินได้ แกอาจต้องเริ่มช่วยเหลือคนในครอบครัวทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อนจนกระทั่งโตพอที่จะออกไปทำงานได้ก่อนที่อายุจะพ้นสิบขวบด้วยซ้ำไป
ข้าพเจ้าพาเธอผ่านทางเดินระหว่างห้องทำงานไปยังส่วนของห้องเก็บศพ ภายในอาคารหลังนี้เงียบงันเสียจนเสียงฝีเท้าของข้าพเจ้าที่แม้จะแผ่วเบาที่สุดแล้ว ก็กลับกลายเป็นเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศของความตายที่ชวนอึดอัดและกลิ่นบางอย่างที่แม้จะไม่ใช่กลิ่นคาวเลือดหรือกลิ่นเน่าเหม็นของซากศพที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ในโรงเก็บด้านหลังของห้องชันสูตรทำให้หายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย แม้ว่าจะเข้ามาที่นี่บ่อยครั้งแล้วก็ตาม
“ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร” ข้าพเจ้ากระซิบบอกลิซซี่ที่กุมมือของข้าพเจ้าแน่น และบีบมือของเด็กสาวที่ตอบเพื่อให้กำลังใจ หากยามนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ชัดว่าที่ทำไปนั้นเป็นการปลอบใจเธอหรือปลอบใจตัวเองกันแน่
“สารวัตรเฟย์ ลิซซี่… มาแล้วหรือครับ”
คำทักทายนั้นมาจากบุคคลที่ก้าวออกมาตรงหน้าประตูทางเข้าห้องชันสูตร เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวนอกออกแล้ว สวมเสื้อกั๊กและเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นเหนือข้อศอกและใช้เชือกรัดไว้ไม่ให้เลื่อนหลุดลงมา หากสวมผ้ากันเปื้อนตัวยาวทับลงไปอีกเพียงชิ้นเดียว เขาก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ของศัลยแพทย์ตำรวจในการผ่าชันสูตรศพ แต่เขายังรั้งรอเอาไว้ เพื่อไม่ให้เด็กสาวตกใจกลัว
ข้าพเจ้าสบตากับเขา แววเศร้าของดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังกระจกแว่นสายตาคู่นั้นที่มองตอบกลับมา และเหลือบลงแลยังลิซซี่ ซัลลิแวน นี่คือสิ่งที่ยากลำบากและทรมานใจที่สุดประการหนึ่ง ซึ่งเราต่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด
“ลิซซี่ ฟังนะ” ดร. ฟอล์กเนอร์กล่าวกับเธอ “เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้เข้มแข็งเอาไว้ หนูจำได้ไหมว่าเพราะอะไร”
เด็กสาวพยักหน้ารับ “เพราะแม่บอกว่า หนูเป็นพี่สาวคนโต ต้องดูแลน้อง ๆ ตอนที่แม่ไม่สบายอยู่ที่โรงพยาบาล และระหว่างที่จิมมี่ไม่อยู่”
“ดีมาก” เขาชม และลูบศีรษะของเธอเบา ๆ “สิ่งที่หมออยากให้หนูทำต่อไปนี้ คือ เข้าไปในห้องข้างหลังนี้ มองหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงให้ดี ๆ แล้วตอบหมอว่า หนูรู้จักเขาหรือไม่ หนูเข้าใจที่บอกใช่ไหม”
เธอรับคำแผ่วเบา และนิ่งเงียบอย่างตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยถามในสิ่งที่ข้าพเจ้าเองก็คาดไม่ถึง
“คนที่อยู่ในห้องนั้น ตายแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่ มีแต่คนตายเท่านั้นที่จะถูกพามาอยู่ที่นี่” แพทย์นิติเวชพยักหน้า “หนูรู้ใช่ไหมว่า คนที่ตายแล้วเป็นอย่างไร”
คำตอบและคำถามของเขาตรงไปตรงมา และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนมองว่า เขาช่างเย็นชาสิ้นดี แต่ข้าพเจ้ารู้ดีว่า เขาไม่ใช่คนอย่างนั้น
“ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ อย่างแทบไม่ต้องคิด
ลิซซี่ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ในโรงสงเคราะห์คนยากไร้เซ้าท์โกรฟกับมารดาของเธอและน้อง ๆ ที่นั่น แม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ก็ยังต้องทำงานแลกอาหาร เงิน และที่อยู่อาศัยเพื่อการเลี้ยงชีพ และที่นั่นก็ยังเป็นที่ซึ่งเด็กทารกแรกเกิด เด็ก คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ทั้งชายหญิง ไม่ว่าจะมีสติดีหรือบกพร่องทางสมอง คนพิการ และผู้สูงอายุที่ไร้ญาติขาดมิตร ช่วยเหลือตนเองแทบไม่ไหวอยู่รวมกันในที่แห่งเดียว ความเจ็บป่วยและความตายจึงเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ทุกวัน
“สิ่งที่หนูต้องทำคือ หนูต้องเข้าไปดูคนที่ตายแล้วคนนั้น แล้วบอกว่า หนูรู้จักเขาหรือเปล่า… ใช่ไหมคะ”
แม้น้ำเสียงของเธอจะแผ่วเบาคล้ายไม่แน่ใจว่า สิ่งที่เธอถาม คือ สิ่งที่เขาต้องการให้เธอทำใช่หรือไม่ แต่คำถามนั้นบอกให้รู้ว่า เธอเป็นเด็กฉลาด โตกว่าอายุ และเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
“ถูกแล้ว” ดร. ฟอล์กเนอร์รับ “พร้อมหรือยัง ลิซซี่”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะพยักหน้าแทนคำตอบให้เขาอย่างกล้าหาญ ค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากมือของข้าพเจ้า และก้าวตามเขาเข้าไปในห้องเก็บศพ
จากนั้น เพียงไม่กี่นาที ภาพที่ปรากฏแก่ตาของข้าพเจ้าเป็นภาพชวนสะเทือนใจที่สุดภาพหนึ่งในชีวิตตำรวจของข้าพเจ้า
“จิมมี่…”
คำอุทานที่ออกมาจากปากของลิซซี่ ซัลลิแวนทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของผู้ตายซึ่งนอนอยู่บนเตียงนั้นเป็น และเป็นคำยืนยันที่ชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องถามคำถามใดเพิ่มเติมอีก
ถ้าหากเธอมีอาการโศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้ฟูมฟายให้กับความสูญเสียครั้งสำคัญ หรือผวาเข้าไปกอดร่างไร้วิญญาณนั้น เขย่าปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาพูดกับเธอ ข้าพเจ้าก็ยังไม่สะเทือนใจเท่ากับการที่ได้เห็นเธอมองพี่ชายของตนเองคล้ายชินชากับสิ่งที่เรียกว่า ความตาย
ร่างเล็ก ผอมบางของเด็กสาวยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน ใบหน้าของเธอซีดขาวเหมือนกระดาษ สิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่า เธอยังมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างมนุษย์หลงเหลืออยู่บ้าง คือ หยาดน้ำตาที่เอ่อล้นจนหยดร่วงลงมาบนแก้มทั้งสองโดยที่แม้แต่เจ้าตัวเองยังไม่รู้ตัว
ข้าพเจ้าเดินเข้าไปหาเธอ แตะมือลงบนบ่าบอบบางข้างหนึ่งเพื่อปลอบใจ เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองข้าพเจ้า ซึ่งในนาทีที่สบตากับเธอและเห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ข้าพเจ้าเกือบจะดึงตัวของแม่หนูมากอดเอาไว้ เพราะลึกลงไปในดวงตาว่างเปล่าคู่นั้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัว สิ้นหวัง เคว้งคว้าง หากด้วยสัญญาที่เธอเคยรับปากกับมารดาเอาไว้ว่าจะเข้มแข็ง ทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความอ่อนแอหรือเอื้อมมือออกไปหาใครสักคนเพื่อเรียกร้องหาความช่วยเหลือ
ลิซซี่ ซัลลิแวนใช้แขนเสื้อและหลังมือเช็ดน้ำตา แล้วหันไปหา นพ. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ ซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงชันสูตรศพและเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ดร. ฟอล์กเนอร์คะ หมอทำให้จิมมี่ฟื้นขึ้นมาไม่ได้แล้วใช่ไหมคะ”
เป็นคำถามที่เธอเองก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หากกระนั้น เธอก็อดที่จะตั้งความหวังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไม่ได้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่า คำตอบที่ได้รับ คือ สิ่งที่จะดับแสงสว่างริบหรี่นั้นให้มืดมิดลงต่อหน้าต่อตาตนเอง
นพ. ฟอล์กเนอร์ส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบปฏิเสธ “หมอเสียใจด้วย ลิซซี่”
เด็กสาวมองเขาอย่างเข้าใจ พยายามจะฝืนยิ้มให้และเอ่ยขอบคุณ หากริมฝีปากของเธอกลับสั่นระริก จนไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ และทำให้เธอต้องขบริมฝีปากไว้แน่น เพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดรอดออกมาแทนคำพูดที่เธอควรจะพูด
“แล้วคุณหมอจะทำอะไรกับจิมมี่ต่อไปคะ” ลิซซี่ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งออกมาในที่สุด
“เราจำเป็นต้องตรวจเขาให้รู้ว่า เขาตายเพราะอะไร และนั่นหมายความว่า เราต้องผ่าตัดเขาด้วย เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจน” ศัลยแพทย์ตำรวจบอกโดยไม่ปิดบัง “และนั่นก็จะทำให้เขามีแผลยาว ๆ แผลหนึ่งบนลำตัว”
เห็นได้ชัดว่า เขาสนทนากับเธออย่างเปิดเผยเช่นที่ปฏิบัติกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่ใช่เด็กหญิงที่อายุยังไม่พ้นสิบห้า ในด้านหนึ่ง การกระทำอย่างไม่อ้อมค้อมของเขาอาจดูโหดร้ายกับเธออยู่บ้าง แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การบอกทุกอย่างที่เธอควรจะรู้ คือการพยายามช่วยเหลือให้เธอสามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดแจ้ง เพราะการปล่อยให้เธอเรียนรู้ด้วยตนเองในภายหลังโดยที่ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนสามารถอธิบายเหล่านี้ให้เธออย่างถูกต้องได้ เป็นเรื่องที่โหดร้ายกับเธอยิ่งกว่า
“นอกจากแผลที่ว่า คุณหมอจะไม่ทำให้จิมมี่มีแผลอื่นอีกใช่ไหมคะ”
“ไม่แล้ว ลิซซี่” เขารับรองกับเธอ “แค่แผลเดียวเท่านั้น เขาจะไม่ทรมานอย่างแน่นอน”
“สัญญานะคะ”
“หมอสัญญา” นพ. ฟอล์กเนอร์รับปากหนักแน่น “สำหรับตอนนี้ หนูกลับไปกับมิสฮิกกิ้นส์และมิสเตอร์เกรเซียนก่อน พรุ่งนี้ มิสฮิกกิ้นส์จะพาหนูมารับจิมมี่ อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดสำหรับเขามาด้วย”
เขาวางมือลงบนไหล่บอบบางของเด็กหญิง
“หมอเสียใจด้วยจริง ๆ ลิซซี่ ที่ให้หนูอยู่กับจิมมี่นานกว่านี้ไม่ได้ ยังมีเรื่องอีกมากเหลือเกินที่พวกเราต้องทำ”
To be continued...
-----------------------------------------------
ภาพ Cover เป็นภาพถ่ายของเด็กที่อาศัยอยู่ในย่าน Twine Court ชุมชนแออัดในลอนดอน สมัยศตวรรษที่ 19
เข้มแข็งเหลือเกินนะคะสำหรับเด็กอายุสิบสาม
ขอบคุณที่เขียนค่ะ
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ที่มาอ่าน บางทีภาษากายก็ใช้ได้ดีกว่าภาษาพูด โดยเฉพาะกับการปลอบใจใครสักคนเนอะ