(1)
ข้าพเจ้าถูกเพื่อนทิ้งไว้หน้าโรงละคร
ทั้งที่เป็นคนชวนและคะยั้นคะยอให้ข้าพเจ้ามาเป็นเพื่อนชมการแสดงอุปรากรเรื่องทริสทันและอิโซลด์จากงานประพันธ์ของริชาร์ดวากเนอร์ นักประพันธ์เพลงชาวเยอรมันกับเขาเองแท้ ๆ แต่เบนเน็ตต์ ดาลบี้เพื่อนร่วมบ้านเช่าของข้าพเจ้าก็ทิ้งข้าพเจ้าเอาไว้ตามลำพังหลังละครจบ
เบนเน็ตต์บอกให้ข้าพเจ้ารอเขาอยู่สักครู่หนึ่ง เพราะเขาอยากแวะไปแสดงความยินดีกับนักแสดงสาวที่เขาเคยจ้างหล่อนเป็นแบบวาดภาพเพื่อขอบคุณที่หล่อนอุตส่าห์หาบัตรชมอุปรากรเรื่องดังมาให้ แต่สักครู่ของเขาช่างยาวนาน ข้าพเจ้าจึงได้แต่เกร่ไปมาอยู่บริเวณโถงหน้าโรงละคร เฝ้ามองผู้ชมมหรสพคนแล้วคนเล่าเรียกรถม้ากลับบ้านผ่านหน้าต่าง ยังดีที่วันนี้อยู่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งยังอยู่ในช่วงฤดูร้อน อากาศไม่หนาวเย็นชวนทรมานอย่างฤดูหนาว เบนเน็ตต์จึงรอดพ้นจากการแช่งชักอยู่ในใจของข้าพเจ้าไปได้
ระหว่างที่ข้าพเจ้าเริ่มหมดความอดทนกับการชะเง้อหาพ่อเพื่อนยากของข้าพเจ้าเต็มทีและกำลังจะเลี่ยงผู้คนออกมาหาที่สูบบุหรี่ฆ่าเวลา ข้าพเจ้าก็ต้องแปลกใจที่ได้เห็นใครบางคนที่ดูเบื่อหน่ายมากพอกันและอยู่ในอาการชะเง้อหาใครสักคนอย่างเดียวกับข้าพเจ้าและต่างฝ่ายก็ต่างชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อหันมาสบตา เห็นหน้ากันพอดี
บุคคลที่ข้าพเจ้าพบทั้งที่ไม่คาดว่าจะได้พบเขาในสถานที่แห่งนี้ เป็นชายหนุ่มอายุรุ่นสามสิบ แต่ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงหลายเท่า เขาสูงไล่เลี่ยกับข้าพเจ้า แต่มีรูปร่างโปร่งและประเปรียวกว่าข้าพเจ้าซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่และหนา ใบหน้าที่ทั้งหล่อเหลาสมกับเป็นบุรุษและงามละมุนละไมละม้ายสตรีของเขาเป็นใบหน้าที่ใครได้เห็นสักหนแล้วก็คงยากจะลืมได้
นายแพทย์โทเบียส ฟอล์กเนอร์ เป็นศัลยแพทย์ตำรวจประจำดิวิชั่นเอช เขตไวท์ชาเพล เราสองคนพบกันเมื่อปลายเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 1888 ในคดีแรกที่ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบหลังจากย้ายจากอิสลิงตันมาเป็นสารวัตรสังกัดแผนกสืบสวนอาชญากรรม กองบัญชาตำรวจนครบาลกรุงลอนดอน
เขาเป็นอดีตแพทย์ทหารที่เคยประจำการทั้งในอียิปต์และซูดาน เคยได้รับบาดเจ็บระหว่างการสู้รบในสมรภูมิกลางทะเลทรายมาแล้ว อาการบาดเจ็บเรื้อรังซึ่งยังคงติดตัวเขามาถึงทุกวันนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาต้องลาออกจากราชการ หลังจากพักฟื้นที่เซอร์รีย์จนสุขภาพกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง พรรคพวกแพทย์ก็เรียกร้องให้เขาหวนคืนสู่ลอนดอน และกลายเป็นหนึ่งในบรรดาศัลยแพทย์ตำรวจที่เชี่ยวชาญการชันสูตรศพอย่างหาตัวจับยากภายในเวลาไม่นานนัก
แม้จะเพียบพร้อมด้วยรูปลักษณ์ ฐานะทางสังคม การศึกษา และความชำนาญในทางวิชาชีพ แต่ ดร. ฟอล์กเนอร์กลับมีกิตติศัพท์เป็นที่ร่ำลือกัน โดยเฉพาะในหมู่ตำรวจ ในเรื่องความไม่สังคมโลก เย็นชาต่อคนรอบข้าง ความละเอียดลออในการชันสูตรจนเหมือนหมกมุ่นอยู่แต่กับศพ และกิจกรรมล่าสุดที่เขาทำคือการเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาชิ้นส่วนศพเพื่อการศึกษาของพิพิธภัณฑ์การแพทย์ ยิ่งทำให้เขาดูแปลกและน่ากลัวสำหรับคนทั่วไปอยู่สักหน่อย
แม้นิสัยบางข้อของเขาจะเป็นเครื่องผลักไสคนส่วนมากให้ออกห่าง แต่ข้าพเจ้ากลับถูกชะตากับเขาตั้งแต่นาทีแรกที่ได้พบ
เมื่อได้ร่วมงานกับเขามากขึ้น ข้าพเจ้าได้พบว่า เขามิได้เย่อหยิ่งหรือถือตัวเช่นคำที่คนอื่นว่า แท้จริงแล้ว เขาเป็นคนรักสันโดษ และมีความกระตือรือร้นในเรื่องที่คนอื่นไม่ใคร่สนใจหรือไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องเสียมากกว่า
เพราะมีความคิดและนิสัยใจคอที่ใกล้เคียงกัน ทั้งยังผ่านเรื่องอันตรายและสถานการณ์คับขันมาด้วยกันหลายหน เราจึงกลายเป็นสหายที่รู้ใจกันในเวลาอันสั้น บ้านของเขาที่ไม่ใคร่เปิดประตูต้อนรับใครโดยง่ายเปิดรับข้าพเจ้าด้วยความอบอุ่นและเต็มใจอย่างยิ่ง แม้รู้จักกันมาเพียงแค่หกเดือน สำหรับเราสองคนแล้ว กลับเหมือนรู้จักคบหากันมานานปี
การได้พบกับ ดร.ฟอล์กเนอร์ถือเป็นโชคดีของข้าพเจ้าอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแต่เป็นมิตรที่แสนวิเศษแต่ยังเป็นผู้นำความมีชีวิตชีวากลับคืนสู่ชีวิตของข้าพเจ้าอย่างที่ไม่มีใครทำได้เว้นแต่แมรี่ ภรรยาที่จากไปแล้วของข้าพเจ้าอีกด้วย
“ดร. ฟอล์กเนอร์” ข้าพเจ้าเรียก
“สารวัตรเฟย์ดีจริงที่ได้เจอ” คนที่ข้าพเจ้าออกชื่อก้าวตรงเข้ามาหา พร้อมรอยยิ้มเขาแตะปีกหมวกทรงสูงที่เข้ากับชุดราตรีหูกระต่ายของเขาเป็นการทักทาย ก่อนกุมมือข้างหนึ่งของข้าพเจ้าเอาไว้อย่างยินดี สีหน้าอึดอัดและกังวลในคราวแรกค่อยคลี่คลาย เห็นได้ชัดว่าเขาโล่งใจอย่างยิ่งที่ได้พบหน้าคนที่คุ้นเคย
“คุณหมอมาดูโอเปร่ากับใครหรือ” ข้าพเจ้าถาม กิริยาของเขาก่อนหน้านี้ประกอบกับนิสัยส่วนตัวของเขาทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าเขาน่าจะมาเป็นเพื่อนใครสักคนหนึ่งมากกว่าจะมาด้วยตนเอง
“ผมมากับอัลเฟรด คอร์ตนีย์” คนที่เขาพูดถึงเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาแต่ครั้งเรียนโรงเรียนกินนอนและมาขอเช่าห้องหนึ่งในบ้านของเขาอยู่เพราะใกล้กับสำนักพิมพ์ซึ่งตนทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการที่ตั้งอยู่ถัดไปอีกไม่กี่ถนน “เขาเห็นคนรู้จักก็เลยขอตัวไปทักทาย แต่จนป่านนี้แล้ว ผมยังไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะกลับมา”
“เหมือนผม เบนเน็ตต์ขอตัวไปพบคนที่ให้บัตรชมโอเปร่ามาครู่ใหญ่แล้ว ยังไม่กลับมาเสียที ผมไม่รู้ว่าควรจะรอต่อหรือกลับก่อน” ข้าพเจ้าบอก แต่ไม่ทันขาดคำดี เพื่อนของข้าพเจ้าก็ปรากฏตัว และมาพร้อมกับเพื่อนของ ดร.ฟอล์กเนอร์เสียด้วย
ถามไถ่กันครู่หนึ่งก็ได้ความว่า หลังจากต่างคนต่างขอตัวจาก ดร. ฟอล์กเนอร์และข้าพเจ้าไปคุยธุระของตัวเสร็จแล้ว ทั้งมิสเตอร์คอร์ตนีย์และเบนเน็ตต์ซึ่งทำงานในแวดวงนิตยสารและหนังสือด้วยกันทั้งคู่ก็พบกันโดยบังเอิญ ระหว่างที่เดินกลับมา พวกเขามีโอกาสพูดคุยเรื่องงานภาพประกอบนิตยสารอย่างจริงจังและมีเรื่องที่ต้องพูดกันให้จบเสียตั้งแต่ยังนึกได้ ("ถ้าไม่รีบจดให้เป็นรูปเป็นร่าง ประเดี๋ยวความคิดจะบินหนีไปก่อน" เบนเน็ตต์พูดกับข้าพเจ้าเช่นนี้) พวกเขาจึงมาบอกพวกข้าพเจ้าให้กลับบ้านกันไปก่อน ส่วนพวกเขาจะพากันไปเจรจากันที่สโมสรสุภาพบุรุษแห่งหนึ่งต่อ
เมื่อร่ำลาและแยกย้ายกันแล้ว ดร. ฟอล์กเนอร์ก็ชวนข้าพเจ้าไปนั่งดื่มและสนทนากันต่อที่บ้านของเขา และข้าพเจ้าก็ไม่เห็นเหตุผลใดที่จะปฏิเสธ
“สารวัตรเห็นว่าโอเปร่าคืนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ดร. ฟอล์กเนอร์ถาม คล้องแขนของเขาเข้ากับแขนของข้าพเจ้าอย่างสนิทสนมระหว่างเดินลงบันไดโรงละคร
“ไม่เลวเลย ทั้งฉาก ทั้งดนตรี และนักแสดง แต่งานของวากเนอร์ออกจะดังกระหึ่มเกินไปสำหรับผม แม้กระทั่งกับเพลงที่คู่รักที่ลักลอบพบกันร้องด้วยกัน”
ข้อสังเกตนั้นทำให้นายแพทย์หนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่สงวนท่าที
“ขออภัย ผมอดนึกตามไปด้วยไม่ได้ว่า ที่กษัตริย์มาร์คตามมาพบสองคนนี้ได้ คงเพราะได้ยินเสียงโซปราโนกับเทเนอร์ของคู่รักคู่นี้เข้า... แล้วเนื้อเรื่องเล่า สารวัตรคิดเห็นเป็นอย่างไร”
“ถ้าพูดถึงเนื้อเรื่อง ผมคงแก่เกินกว่าจะซาบซึ้งกับโศกนาฏกรรมความรักของหนุ่มสาวเสียแล้วก็เป็นได้เพราะเมื่อเทียบกับความรักของทริสทันและอิโซลด์ ผมออกจะเห็นใจกษัตริย์มาร์ก และประทับใจในความซื่อสัตย์ของคูร์เวนาลคนรับใช้ของทริสทันที่คอยเตือนนาย และเข้าสู้กับตัวร้ายจนตัวตายมากกว่า”
“คนส่วนมากดูละครเพื่อหลีกหนีความจริง แต่ดูเหมือนว่าสารวัตรจะมองหาความจริงในละคร” เขาหันมามองหน้าข้าพเจ้ายิ้ม ๆ แสงสว่างจากโคมแก๊สริมถนนที่เรายืนรอรถม้ารับจ้างฉายจับใบหน้าของสหายหนุ่มของข้าพเจ้า แววตาและรอยยิ้มบนใบหน้าบอกชัดว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์อยากพูดคุยและกำลังอารมณ์ดี คงเพราะคนเริ่มบางเบาลงจนเขาหายอึดอัดและ
ข้าพเจ้าหัวเราะไปกับคำสัพยอกของเขา “หรือไม่ก็คงแสวงหาสิ่งที่เป็นอุดมคติยิ่งกว่าความรักของหนุ่มสาวจากละคร เช่น การยอมเสียสละความรักเพื่อคนที่รัก หรือการยอมตายเพื่อมิตรภาพ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่หายากเอาการอยู่”
“ถูกของสารวัตร แต่ผมก็ยังหวังว่าจะได้พบสิ่งเหล่านี้ในชีวิตจริงนอกหน้าหนังสือหรือเวทีละครบ้าง” ดร. ฟอล์กเนอร์ว่า “ที่สารวัตรพูดถึงคนรับใช้ของทริสทัน ตรงใจผมทีเดียว ผมชอบใจบทบาทการแสดงและเสียงบาริโทนของคูร์เวนาลมาก นักแสดงคนนี้เก่งจริง เขาทำให้ผมรู้สึกว่าการต้องใส่ชุดราตรีผูกหูกระต่ายขาวที่ผมชังนักมาดูละครรอบการกุศลเป็นเรื่องพอทนได้”
“เป็นอีกเรื่องที่เราเห็นตรงกัน” ข้าพเจ้ายิ้มตอบเขา “ผมเพิ่งรู้ว่านี่เป็นการแสดงรอบการกุศล มิน่า ถึงได้เห็นผู้มีชื่อเสียงแทบทุกวงการพร้อมใจกันมารวมตัวที่นี่ ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางชอบกล”
“สารวัตรจากแผนกสืบสวนอาชญากรรมแห่งสก็อตแลนด์ยาร์ดและศัลยแพทย์ตำรวจมือฉกาจแห่งไวท์ชาเพลไม่จัดเป็นผู้มีชื่อเสียงบนหน้าหนังสือพิมพ์ช่วงนี้หรอกหรือ”
เสียงที่แทรกเข้ามาระหว่างบทสนทนาของเราทำให้มือของดร. ฟอล์กเนอร์กำแขนของข้าพเจ้าแน่นโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ข้าพเจ้าใช้แขนกันให้เขายืนอยู่ด้านหลังเมื่อเราหันกลับไปเผชิญหน้ากับบุคคลที่เราต่างรู้ดีว่าเป็นใคร และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่บุคคลที่เราปรารถนาจะพบหน้าเลยแม้แต่น้อย
To be continued...
แต่เซอร์เอ็ดเวิร์ดก็เป็นคนไม่น่าไว้ใจจริงๆ