ในห้องที่พวกเขายืนอยู่ด้วยกันเงียบสนิท เงียบจนจัสตินรู้สึกว่า เขาได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาแขวนผนังกระดิกดังพอ ๆ กับเสียงหายใจและเสียงของหัวใจ
แคลเรนซ์เงียบจนเขาเริ่มใจหาย และรู้สึกว่าตัวเองอาจคิดผิดเมื่อตัดสินใจเอ่ยถามอีกฝ่ายเรื่องอีไล สเติร์นที่รู้มาจากอาเธอร์ คาวานาห์ อาจารย์ที่ปรึกษาของตนเอง ถึงอีกฝ่ายจะยอมเปิดเผยโดยดี แต่เมื่อเล่าจบแล้วก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน คล้ายจมอยู่ในห้วงความทรงจำเลวร้ายของตัวเองที่ถูกปลุกให้กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง
อีไลเป็นรักแรกของแคลเรนซ์ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า โอเมก้าหนุ่มหวังใจไว้ว่าอัลฟ่าผู้ล่วงลับจะเป็นรักสุดท้าย แต่เมื่อทุกอย่างกำลังจะดำเนินไปด้วยดีหลังจากมรสุมที่ทำให้คนทั้งคู่ต้องแยกกันโดยไม่เต็มใจผ่านพ้นไป อีไลกลับจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยอุบัติเหตุที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอุบัติเหตุ
อัลฟ่าวัยห้าสิบที่แข็งแรง มีทักษะด้านกีฬาที่ยอดเยี่ยม ชื่นชอบการเดินป่าและปีนเขาอย่างอดีตคนรักของวิสัญญีแพทย์ถูกพบเป็นศพอยู่ริมแม่น้ำเจเนซีที่ไหลผ่านหุบเขาทางเหนือของรัฐนิวยอร์ก ในเสื้อผ้าลำลอง เสื้อเชิ้ต กางเกงยีน และรองเท้าผ้าใบสำหรับใส่เดินแบบธรรมดา ไม่มีสัมภาระอะไรติดตัว รวมถึงนาฬิกาข้อมือเรือนโปรดที่แคลเรนซ์ซื้อให้เป็นของขวัญวันครบรอบปีที่สิบสองที่คบกัน
สาเหตุการตาย คือ ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือน เลือดออกในสมอง เจ้าหน้าที่ทางการสันนิษฐานว่า เป็นอุบัติเหตุ และปิดคดีแต่เพียงเท่านั้น ส่วนทรัพย์สินที่สูญหาย คาดว่าจะถูกกระแสน้ำเชี่ยวของแม่น้ำพัดพาไปที่ใดสักแห่งหนึ่ง ส่วนร่องรอยอื่น ๆ ควานหาได้ลำบาก เพราะศพนอนแช่น้ำอยู่ริมตลิ่ง
ทางญาติของอีไล สเติร์นแจ้งว่าไม่ติดใจอะไร ส่วนคู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการอย่างแคลเรนซ์ ชเวทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากเก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจ มีอะไรหลายอย่างที่แปลกประหลาดเกินไป และเจ้าหน้าที่ของรัฐทำหน้าที่ได้ ‘หมดจด’ เกินไป เอฟบีไอเข้ามาทำคดีอย่างง่าย ๆ และสรุปคดีอย่างง่าย ๆ โดยทางเชอริฟฟ์ของท้องถิ่นและตำรวจที่ตามปกติแล้วไม่ชอบใจการเข้ามาแทรกแซงของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐเท่าใดนักก็ยอมให้ความร่วมมืออย่างดี
พิธีศพของอีไลจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่มีคนสำคัญระดับประเทศเข้าร่วม เพราะเขาเป็นนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์คนสำคัญและเป็นคนในกระแส ในงานนั้น แคลเรนซ์เพียงแต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ร่วมในหมู่เพื่อนฝูงและญาติสนิท ไม่ได้ขึ้นกล่าวคำไว้อาลัยใด ๆ ทุกอย่างจบลงเมื่อร่างของอีไลถูกส่งเข้าเตาเผาและมีการนำเอาเถ้ากระดูกของเขาไปฝังไว้ในสุสานโบสถ์ทรินิตี้ในนครนิวยอร์ก
ไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่นักเศรษฐศาสตร์ผู้ล่วงลับยกอพาร์ตเม้นท์ใกล้มหาวิทยาลัยและบ้านพักที่ซีราคิวส์ให้แคลเรนซ์ ซึ่งเป็นโอเมก้าคู่รักวัยคราวลูก เพราะการคบหากันของทั้งสองอยู่ในสายตาของคนรอบข้างมาตลอด โดยเฉพาะหลังจากแคลเรนซ์ชนะคดีที่กล่าวหาอัลฟ่าซึ่งเป็นโซลเมทในข้อหาทำร้ายร่างกายและกลับมาอยู่กับอีไลที่เป็นคู่รักกันมาตั้งแต่ต้น คดีนั้นเป็นคดีดังและทำให้เกิดกระแสเรียกร้องสิทธิของโอเมก้าขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง และเป็นช่วงเวลาที่พอดีกันกับที่จัสตินได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ทว่าในเวลานั้น เบต้าหนุ่มไม่ได้ให้ความสนใจความเป็นไปของมนุษย์มากไปกว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่รู้จักใครที่เกี่ยวข้องมากไปกว่าได้ยินได้เห็นชื่อผ่านหูผ่านตาไปเท่านั้น
จัสติน เคลย์มอร์ไม่เคยรู้ว่าทุนการศึกษาแบบให้เปล่าตลอดหลักสูตรของเขาที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริจาคนิรนามเป็นเงินของอีไล สเติร์นและเงินที่ได้รับจากการอนุมัติของคนที่อยู่ตรงหน้าของเขาในฐานะผู้ได้รับความไว้วางใจให้เป็นหนึ่งในกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาของเบต้าและโอเมก้าที่มีความสามารถพิเศษที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว
แคลเรนซ์ ชเวไม่ใช่แค่ผู้ได้รับมอบหมายให้มาช่วยชีวิตเขาไว้จากเงื้อมมือของอัลฟ่าหัวรุนแรงที่ยังไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้บงการ แต่เป็นหนึ่งในผู้นำของโร้ค ที่สานต่อปณิธานร่วมกันของคนรักและผู้นำทางความคิดที่เชื่อในความเสมอภาคและการปฏิบัติต่อเพศรองทุกเพศอย่างเท่าเทียม แคลเรนซ์มีส่วนร่วมอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีในชีวิตมาตลอดเวลาโดยที่เขาไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย
แคลเรนซ์เคยบอกว่าเขาเป็นคนสำคัญ แต่แท้จริงแล้ว แคลเรนซ์ต่างหากที่เป็นคนสำคัญสำหรับเขา
“ถ้าอีไลยังอยู่ เขาคงดีใจมากที่ได้เห็นความสำเร็จของคุณ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาจะสนับสนุนงานของคุณและคอยให้เราปกป้องคุณเอาไว้จนสุดความสามารถอย่างแน่นอน” โอเมก้าหนุ่มเอ่ยออกมา
ความเงียบระหว่างเขาทั้งคู่ถูกทำลายลงในที่สุด
“เสียดายที่ผมดูแลคุณได้ไม่ดีเท่าที่ควร” แคลเรนซ์กล่าว ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแต่แววตาบ่งบอกถึงความเสียใจและรู้สึกผิดอย่างไม่ปิดบัง “คุณไม่ควรได้รับอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้นด้วยซ้ำไป”
“คนเราผิดพลาดกันได้ แม้แต่การทดลองที่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างดีก็มีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอกหรือภายใน”
จัสตินหมายความตามที่พูด ไม่มีเจตนาจะปลอบใจหรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นโดยไม่ได้หมายความตามนั้นจริง ๆ แต่ถ้าคำพูดนั้นทำให้แคลเรนซ์หยุดโทษตัวเองได้ เขาก็จะดีใจอยู่เหมือนกัน
“ผมหมายความว่า ผมยังมีชีวิตอยู่อย่างที่ควรจะเป็น และผมจะพยายามไม่ทำให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในเงื่อนไขที่ทำให้คุณต้องเป็นห่วง”
เบต้าหนุ่มยอมรับว่า รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นกว่าปกติ
“คุณยังรักอีไลอยู่ใช่ไหม”
คำถามนั้นของเขาทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง และนี่เป็นการตั้งคำถามที่ผิดพลาดที่ทำให้จัสตินแทบจะกัดลิ้นของตัวเอง แต่ทำไปก็ไร้ประโยชน์เพราะเขาพูดออกมาแล้ว
“คำตอบนั้นสำคัญกับคุณมากหรือเปล่า” แคลเรนซ์ย้อนถาม แต่คราวนี้รอยยิ้มที่เคยมีจางลงไปมากแล้ว และน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้เหมือนพูดแบบทีเล่นทีจริงเจือร่องรอยของความหวั่นไหวที่ไม่อาจกลบเกลื่อนได้
“... ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” จัสตินตอบตามตรง “ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากรู้”
“ผมเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน” แคลเรนซ์เอ่ยเหมือนกระซิบ “ผมไม่เคยคิดถึงคำตอบของคำถามนี้มาก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นคุณไม่ต้องตอบ”
เบต้าหนุ่มวางปลายนิ้วลงเหนือริมฝีปากของโอเมก้าตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น เขารู้เพียงแต่ว่า เขาอยากสัมผัสคนเบื้องหน้าอย่างที่อีกฝ่ายเคยสัมผัสเขาและทำให้เขารู้สึกว่า ช่องว่างที่มีบางอย่างขาดหายไปได้รับการเติมเต็ม
“คุณรักอีไลต่อไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องรักผมก็ได้”
ดวงตาสีน้ำตาลของแคลเรนซ์จ้องมองตอบกลับมายังดวงตาสีฟ้าของเขา ก่อนดวงตาคู่นั้นจะหลุบต่ำลงกระทั่งปิดสนิท เมื่อเขาเลื่อนนิ้วออกไปและแทนที่ด้วยริมฝีปากของตนเอง ริมฝีปากบางที่ปิดสนิทในทีแรกของโอเมก้าหนุ่มค่อย ๆ คลี่ออกและสนองรับสัมผัสจากริมฝีปากของเขา
To be continued.... Chapter 15: Weak
----------------------------------------------
หมายเหตุ: เรื่องนี้ขอยืมไอเดียกับ prompt มาจากทวิตของคุณเกด
อันนี้ค่ะ เป็นพล็อตโอเมก้าเวิร์สที่โฟกัสกับบทบาทของเบต้า เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยลองเอามาเขียนดู แล้วไหนๆ ก็จะเข้าช่วง #Fictober กันแล้วก็เลยใช้คำโจทย์ของ Inktober ปี 2018 มาเขียนด้วย ก็หวังว่าจะรอดจนจบ 30 ตอนนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in