เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Unbreakable Chain (Omegaverse)piyarak_s
Chapter 13: Guarded
  • อาเธอร์ คาวานาห์เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของเขาทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เป็นอัลฟ่าชายตามแบบแผนโดยแท้ในด้านกายภาพ แต่ในด้านความคิดอ่านแล้ว เขาแสดงตัวอย่างชัดเจนว่า ให้โอกาสทุกคน โดยเฉพาะเบต้าและโอเมก้าที่มีความสามารถเพียงพอ ข้อเสียที่เขามีคือ รับงานมากจนล้นมือ และบางทีก็ไม่มีเวลามากมายถึงขนาดนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ใครก็ยากจะตำหนิได้ เพราะโครงการวิจัยหลายโครงการที่เขารับเป็นหัวหน้าหรือที่ปรึกษาโครงการในโครงการที่นักศึกษาเป็นผู้ขอทุนเป็นโครงการที่เป็นเงินเป็นทอง ได้ทั้งชื่อเสียง ผลงานที่สูงเกินมาตรฐาน และงบประมาณการวิจัย 


    ด้วยเหตุนั้น เขาจึงต้องการผู้ช่วยวิจัยกึ่งเลขานุการและผู้ช่วยสอนที่สามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ช่วงที่เขาไม่อยู่หรือติดงานบางอย่างได้ จัสตินและเดนนิสเข้ารับงานในจังหวะที่พอเหมาะพอดี ส่วนคิมเบอร์ลีขอลาออกจากการเป็นผู้ช่วยวิจัยเพื่อเตรียมสอบและเตรียมบทความสำหรับตีพิมพ์ในวารสาร


    ในบรรดาผู้ช่วยวิจัย จัสตินเป็นคนไม่ค่อยสังคมกับใครและอายุน้อยที่สุด แต่ก็เป็นคนที่อาจารย์เชื่อมือมากที่สุด เพราะเห็นฝีมือกันมาแล้ว แม้ว่าหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาจะเป็นหัวข้อที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง หรืออย่างน้อยที่สุด อาจกลายเป็นข่าวฮือฮาในเชิงลบมากกว่าบวก แต่อาจารย์ก็รับเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ให้ โดยมีโยฮันนา โควัลสกี ซุปเปอร์ไวเซอร์รองอีกคน เธอเป็นอาจารย์ที่เพิ่งย้ายมาจากมหาวิทยาลัยอื่น เป็นเบต้าหญิงหัวก้าวหน้าที่กระตือรือร้นจะช่วยเขาให้ทำงานของตัวเองให้สำเร็จ หัวข้อของเขามีคนช่วยป้องกันเพิ่มอีกสองคน โดยเฉพาะซุปเปอร์ไวเซอร์หลัก


    ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา อาเธอร์ คาวานาห์เป็นคนที่มีความสำคัญกับหน้าที่การงานของจัสติน เคลย์มอร์อยู่ไม่ใช่น้อย และความจริงแล้ว อาจารย์ของเขาเสนอให้เขาลองสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่จัสตินปฏิเสธ เขาเกลียดการสอนหน้าห้องและไม่คิดว่าตัวเองจะสอนหนังสือใครรู้เรื่อง โดยเฉพาะเมื่อความคิดของเขาวิ่งไวกว่าปากพูด เขามีความสุขกับการจดจ่ออยู่กับการทดลองในห้องปฏิบัติการและการปฏิสัมพันธ์เท่าที่จำเป็นกับอาสาสมัครมากกว่า ซึ่งมากเกินพอแล้วสำหรับการวิสาสะกับมนุษย์ที่ไม่มีวี่แววว่าจะเข้าใจสิ่งที่เขาทำและสนใจสักเท่าใดนัก


    จัสตินเดินตามอาเธอร์ คาวานาห์ไปที่ห้องทำงาน แผลที่สีข้างทำให้เขาเดินช้าลงนิดหน่อย โดยเฉพาะเวลาขึ้นบันได อาจารย์ของเขาเหลือบดูเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งถึงห้องทำงาน


    “ผมได้กลิ่นโอเมก้าจากตัวเธอ” อาเธอร์บอก ตามปกติแล้ว อาจารย์นิยมให้นักศึกษาเรียกตัวเองด้วยชื่อตัวมากกว่าตำแหน่งทางวิชาการหรือโปรเฟสเซอร์ และเรียกนักศึกษาที่เรียนด้วยกันด้วยชื่อตัวเช่นเดียวกัน “เป็นกลิ่นโอเมก้าที่คุ้นมาก” 


    คำทักของอาเธอร์ทำให้จัสตินได้แต่ยืนอึ้ง มีแต่อัลฟ่ากับโอเมก้าเท่านั้นที่จะได้กลิ่นประจำตัวของอีกฝ่ายและพวกเดียวกันเอง เนื่องจากการจับคู่ที่เรียกว่าเป็น ‘คู่แท้’ จะใช้กลไกเกี่ยวกับกลิ่นเป็นตัวช่วย แต่ถ้าอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาอีกหน่อย การเป็นคู่แท้ก็คือคู่อัลฟ่าและโอเมก้ามีลักษณะทางชีวภาพที่เหมาะสมกับการอยู่ร่วมกันและมีโอกาสผลิตทายาทที่มีคุณภาพด้วยกันมากที่สุด ซึ่งกลิ่นประจำตัวจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้จับคู่กันได้ถูกตัว ส่วนเบต้าไม่ว่าชายหรือหญิงจะไม่มีกลไกนี้ ไม่มีกลิ่นประจำตัว ไม่สามารถสัมผัสกลิ่นประจำตัวของอัลฟ่าหรือโอเมก้าได้ 


    ตลอดสามสี่วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อคืนนี้ จัสตินไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า เขาคลุกคลีอยู่กับแคลเรนซ์ ชเว โอเมก้าชายซึ่งเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา ให้ที่พักพิงทั้งทางกายและทางใจ เป็นคนที่ทำให้เราเริ่มทำความรู้จักกับความรู้สึกแบบมนุษย์ธรรมดาทั่วไปหลังจากที่ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้มากนัก ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาไม่ได้กลิ่นประจำตัวของโอเมก้าหนุ่ม และไม่ทันเอะใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย 


    เรื่องที่ได้กลิ่นโอเมก้าจากตัวเขานั้นพักไว้ก่อน เพราะมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นจากปากของอาเธอร์


    กลิ่นโอเมก้าที่คุ้นเคยอย่างนั้นหรือ... ชายหนุ่มขมวดคิ้ว


    “กลิ่นของคนรู้จักเหรอครับ” 


    นักวิทยาศาสตร์วัยปลายสี่สิบเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำถามนั้น “เขาเป็นโอเมก้าอาสาสมัครในโครงการทดสอบการปรับระดับฮอร์โมนในโอเมก้าที่บอนด์กลับอัลฟ่าให้กลับมาเป็นปกติของเธอไงล่ะ...”


    อาจารย์จับทางของกลิ่นได้แม่นยำพอตัวเลยทีเดียว และเขาพูดถูกในเรื่องที่แคลเรนซ์เคยเป็นอาสาสมัครเพื่อการวิจัยในมนุษย์จริง ๆ 


    ในวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของเขา จัสตินหาข้อพิสูจน์ทฤษฏีที่ว่าการกัดหลังคอของโอเมก้าระหว่างการเมทกันเพื่อสร้างบอนด์ผูกโอเมก้าคนนั้นติดกับอัลฟ่าของตนเอง ไม่สามารถมีคู่เป็นอัลฟ่าอื่นได้เกิดขึ้นเพราะการกัดนั้นกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่สร้างพันธะและความรู้สึกเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของในโอเมก้า 


    เมื่อสมมุติฐานดังกล่าวของเขาได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง จึงนำมาสู่การวิจัยต่อยอดในระดับปริญญาเอกเพื่อแสวงหาแนวทางในการลดระดับฮอร์โมนที่เกิดขึ้นระหว่างการบอนด์นั้นให้ลดลงมาในระดับปกติหรือในระดับที่ไม่ส่งผลต่อความผูกพันด้านจิตใจของโอเมก้าที่มีต่ออัลฟ่าได้อีก และสมมุติฐานของเขาได้รับการพิสูจน์ว่า ถูกต้องอีกตามเคย และความถูกต้องนั้นยิ่งถูกตอกย้ำเข้าไปอีก เมื่อเขาสามารถตอบข้อซักถามที่มีต่องานวิจัยของเขาได้ทุกข้อ และมีผลการวิจัยทั้งเชิงสถิติและรายงานผลอื่น ๆ ครบถ้วนทุกประการ


    “เธอพบแคลเรนซ์ ชเว เฟลโลว์ของโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยเราแล้วสินะ... นี่เป็นกลิ่นของเขา ผมจำได้”


    เมื่อดูจากสีหน้าและน้ำเสียงเวลาพูดถึง แสดงว่าอาจารย์รู้จักแคลเรนซ์ดีพอสมควร อาจในฐานะบุคลากรของมหาวิทยาลัยเหมือนกัน อาสาสมัครกับที่ปรึกษาของนักวิจัย หรืออาจารย์อาจเป็นคนของโร้คเหมือนกับแคลเรนซ์ หรือสถานะไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนสนิท ถึงจะคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่เขากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก โดยหาเหตุผลมาอธิบายความรู้สึกนี้ของตัวเองไม่ได้ 


    “ผมรู้จักอีไล สเติร์น ว่าที่สามีของเขาดีทีเดียว” 


    อาเธอร์บอก พลางทำมือให้จัสตินนั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อคุยงานและจัดการตารางการสัมมนาต่าง ๆ ของสัปดาห์ที่จะถึง รวมถึงข้อเสนอโครงการวิจัยที่ให้ชายหนุ่มนำไปปรับแก้ให้ดีขึ้นเพื่อเตรียมขอทุนในการดำเนินการ 


    “อีไลแก่แทบจะเป็นพ่อของแคลเรนซ์ได้ แต่พวกเขาก็รักกัน ที่สำคัญ อีไลเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ที่เก่งอย่างหาตัวจับยาก เขาสนับสนุนการปรับโครงสร้างของสังคมเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ สะเทือนวงการเมืองอย่างหนัก แต่หนังสือเล่มนั้นของเขาก็เป็นเบสท์เซลเลอร์” 


    “อาเธอร์ พอจะบอกชื่อหนังสือได้หรือเปล่าครับ ผมจะได้ขอจดชื่อไปอ่านเพิ่มเติม”


    “เดี๋ยวผมจะจดให้” อาเธอร์ คาวานาห์บอกอย่างกระตือรือร้น ลืมคำถามว่า จัสตินได้พบกับแคลเรนซ์แล้วหรือไปเสียสนิท หยิบปากกาหมึกซึมคู่มือออกมาจากกระเป๋า เขียนชื่อหนังสือของอีไล สเติร์นลงในกระดาษโน้ต แล้วส่งให้จัสติน


    “ถึงจะอายุมาก แต่อีไลก็แข็งแรง ทั้งอีไลและแคลเรนซ์เป็นนักไตรกีฬาทั้งคู่ แต่น่าเสียดาย ที่อีไลประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต หลังจากที่พวกเขาได้กลับมาอยู่ด้วยกัน”


    เรื่องนั้น แคลเรนซ์ ชเวเล่าให้เขาฟังแล้ว แต่ยังไม่เคยบอกสาเหตุของการเสียชีวิตของคู่หมั้น


    “อุบัติเหตุหรือครับ”


    “ไปเดินป่าและปีนเขา แล้วตกลงไปในเหวน่ะ... ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว”




    To be continued.... Chapter 14: Clock



    ---------------------------------------------- 

    หมายเหตุ: เรื่องนี้ขอยืมไอเดียกับ prompt มาจากทวิตของคุณเกดอันนี้ค่ะ เป็นพล็อตโอเมก้าเวิร์สที่โฟกัสกับบทบาทของเบต้า เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยลองเอามาเขียนดู แล้วไหนๆ ก็จะเข้าช่วง #Fictober กันแล้วก็เลยใช้คำโจทย์ของ Inktober ปี 2018 มาเขียนด้วย ก็หวังว่าจะรอดจนจบ 30 ตอนนะคะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in