“หายดีแล้วเหรอ จัสติน” เดนนิส วิลเลียมส์ เพื่อนนักวิจัยของเขาปลดหูฟังแบบครอบหูลงมาที่คอ และหมุนเก้าอี้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเตรียมสไลด์สอนนักศึกษาปริญญาตรีในฐานะผู้ช่วยสอน แล้วเอ่ยทักจัสตินที่เดินเข้ามาในห้องทำของผู้ช่วยสอนและผู้ช่วยวิจัย
เดนนิสเป็นเบต้าชาย เชื้อสายแอฟริกันอเมริกันที่ชอบฟังเพลงคลาสสิกมากกว่าฮิปฮอป และเป็นเพื่อนที่เขาสนิทด้วยมากที่สุด ไม่รู้ว่าแคลเรนซ์จัดการเรื่องลาป่วยให้เขาอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ เดนนิสเชื่อสนิทใจว่า เขาป่วยจริง และเป็นเพื่อนไม่กี่คนที่ส่งเมสเสจเข้าโทรศัพท์มาถามไถ่อาการ
“ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะแล้ว โทษทีที่ต้องให้พวกนายทำงานแทน”
“ไม่เป็นไร แค่เตรียมอุปกรณ์กับคุมแล็บ เรื่องเล็กน้อย” เบต้าผิวสีบอก “แต่ทำไมไม่บอกกันเลยว่า นายมีแฟนแล้ว”
“คนที่โทรหาฉันไง เสียงไม่คุ้น นึกว่าเป็นแฟนนาย” เดนนิสเลิกคิ้ว “หรือไม่ใช่”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เขาอาจปฏิเสธได้เต็มปากว่า แคลเรนซ์เป็นแค่เพื่อน แต่เมื่อคืนนี้ มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะก้าวถนนข้ามทางม้าลายไปอีกฝั่งแล้ว แต่กลับมีรถฝ่าไฟแดงมาเป็นขบวนจนทำให้ต้องติดอยู่ที่เกาะกลางถนน บางคนมีอะไรกันแล้วก็ลืมกันไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สำหรับจัสติน เขายังจัดสถานะตัวเองไม่ค่อยถูกว่า ควรจะบอกทุกคนว่าพวกเขาเป็นอะไรกันแน่ (ถึงการนอนด้วยกันเมื่อคืนนี้จะไม่ใช่การมีอะไรกันเต็มรูปแบบก็ตามเถอะ แต่ก็ถือว่ามีอะไรกันแล้วอยู่ดี ในความคิดของคนที่ไม่เคยมีใครผ่านเข้ามาในชีวิตยี่สิบกว่าปีแบบเขา)
“ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำความรู้จักกันน่ะ” จัสตินบอก ไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ แต่เดนนิสก็มีทีท่าว่าไม่ได้สงสัยอะไรหรือไม่ทันสังเกต หรือไม่ก็ไม่ใส่ใจจะซักไซ้เรื่องส่วนตัวของเขา ซึ่งเขาคิดว่าเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
การที่แคลเรนซ์โทรศัพท์หาเดนนิสได้และโทรศัพท์ถึงเพื่อนได้ถูกคนพอดีทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า สายของโร้คอาจมีอยู่ในมหาวิทยาลัยและอาจอยู่ใกล้ตัวเขามากกว่าที่คิด หรือไม่อย่างนั้น เดนนิสเองก็อาจเป็นคนของโร้คที่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ได้เหมือนกัน
จัสตินสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อจู่ ๆ เดนนิสที่หันกลับไปหางานของตัวเองเรียกชื่อของเขา “ว่าไง”
เพื่อนเบต้าด้วยกันมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะถามว่า นายเป็นบ้าอะไรของนาย แต่ไม่นานนักก็กลับเข้าเรื่องที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องบอกให้รู้
“อาจารย์คาวานาห์ถามหานายอยู่ ไปรายงานตัวกับอาจารย์ด้วยล่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
อาเธอร์ คาวานาห์เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และเป็นผู้อนุมัติหัวข้อวิจัย รวมถึงหาทุนสนับสนุนการวิจัยของเขามาตลอดระยะเวลาที่ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทและเอก ที่งานชิ้นสำคัญที่นำไปสู่การสั่นสะเทือนของสังคมครั้งใหญ่ออกมาเป็นงานที่โดดเด่นและได้รับรางวัลการนำเสนอยอดเยี่ยมในทางวิชาการก็เพราะอาจารย์ท่านนี้
อาจต้องขอบคุณสถานะอัลฟ่าชั้นแนวหน้าของอาจารย์ด้วยที่ทำให้เสียงคัดค้านในตอนแรกเบาลง ถ้าพูดว่าอาจารย์เป็นอัลฟ่าที่เลือกแนวทางสนับสนุนความเท่าเทียมของโอเมก้าและเบต้าก็คงไม่ผิดนัก เพราะในบรรดานักศึกษาในที่ปรึกษาส่วนใหญ่ของอาจารย์เป็นเบต้าและโอเมก้าที่มีผลงานโดดเด่นทั้งสิ้น ในขณะที่อาจารย์ที่เป็นอัลฟ่าจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะปั้นอัลฟ่าขึ้นมาเป็นนักวิชาการที่มีผลงานชี้นำสังคมมากกว่า
“เฮ้ จัส!!! เป็นไงบ้าง ได้ฟังข้อความที่ฉันฝากไว้ที่เครื่องรับโทรศัพท์บ้านนายหรือเปล่า”
ไม่ทันจะได้ตอบรับเรื่องที่ ดร. คาวานาห์ถามหา คิมเบอร์ลี เฉิน เพื่อนผู้ช่วยสอนและนักศึกษาปริญญาเอกที่กำลังจะสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ภายในภาคการศึกษานี้ก็ตะโกนทักทันทีที่เปิดประตูเข้ามาเห็นเขาเข้า เธอเป็นเบต้าสาวจากเซี่ยงไฮ้ที่วางแผนและประกาศเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ว่าจะทำงานต่อในสหรัฐ โดยไม่กลับไปดูตัวอย่างที่พ่อแม่อยากให้ทำและบ่นเป็นประจำว่า การเป็นสะใภ้ของครอบครัวคร่ำครึเป็นการตัดโอกาสเบต้าหญิงอย่างเธอในการทำงานและมีชีวิตเป็นของตัวเอง
เธอเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เขาสนิทด้วย และค่อนข้างชอบเธอ แต่ไม่ได้ชอบแบบเบต้าผู้ชายที่ชอบเบต้าผู้หญิง เขาชอบนิสัยและอัธยาศัยของเธอที่เป็นคนน่ารัก ร่าเริง และตรงไปตรงมากล้าแสดงออก แต่ก็ไม่เคยล้ำเส้นเพื่อนคนอื่น ที่สำคัญ เธอมีแฟนเป็นเบต้าชายเชื้อสายจีนที่เกิดที่นี่และทำงานเป็นบรรณารักษ์คณะศิลปศาสตร์
จัสตินจำได้ว่า คิมเบอร์ลีโทรศัพท์มาหาเขาในช่วงเย็นของวันที่เขาน่าจะยังไม่ได้สติอยู่ที่บ้านของแคลเรนซ์ และโทรศัพท์หาเขาอีกครั้งหนึ่งในช่วงสายของวันที่เขากำลังจะกลับมาที่บ้าน เป็นการถามสารทุกข์ตามปกติและเสนอตัวว่าถ้าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไรก็ให้โทรศัพท์หาเธอได้ จังหวะการโทรศัพท์ของเธอแตกต่างจากของคนปริศนาที่โทรศัพท์มาข่มขู่เขาอย่างชัดเจน เพราะเธอโทรศัพท์มาในลักษณะของคนที่ไม่รู้ว่าเขาอยู่หรือไม่อยู่ ซึ่งเป็นคนละอย่างกับฝ่ายตรงข้ามที่โทรศัพท์มาเพื่อตรวจสอบว่าเขาอยู่หรือไม่อยู่ในห้องพัก
“ได้ยินแล้ว โทษทีที่ไม่ได้โทรกลับ” เขาบอก
“ไม่เป็นไร หวังว่าจะไม่ได้โทรไปรบกวนนาย” เธอว่า วางกระเป๋าบนเก้าอี้ในพาร์ทิชันที่ทำงานของตัวเอง หยิบเอากระติกน้ำชา ซึ่งเป็นของที่ขาดไม่ได้ออกมาวางบนโต๊ะ และตอนเที่ยง เธอก็จะเริ่มเปิดปาร์ตี้เล็ก ๆ ด้วยการแบ่งอาหารหรือขนมที่ทำมาจากบ้านให้เพื่อนร่วมห้องได้ชิมกับเธอด้วย “เดนนิสบอกว่า นายเจออาหารเป็นพิษเข้าไป หายปวดท้องหรือยัง”
นี่สินะ เหตุผลที่แคลเรนซ์บอกจนเดนนิสเชื่อ แล้วมันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดีสำหรับคนที่มีประวัติเผลอกินอาหารหมดอายุ เพราะลืมอ่านวันหมดอายุที่ติดอยู่ข้างกล่องบ่อย ๆ (เฉพาะในกรณีที่รสชาติและกลิ่นยังดูปกติดี ไม่ใช่บูดหรือขึ้นราจนไม่อยู่ในสภาพเป็นอาหารที่มนุษย์ปกติสมควรกิน) และถ้าเขาจะยังเดินตัวงอหรือนั่งท่าแปลก ๆ เพราะแผลที่สีข้าง คนก็จะคิดว่า เขาอาจยังปวดท้องหรือไม่หายดีนักจากอาการอาหารเป็นพิษ และไม่น่าจะมีใครสงสัยถ้าเขาจะขอกลับก่อนในกรณีฉุกเฉิน
“ดีนะ ที่แฟนนายคอยดูแลอยู่ เห็นเดนนิสบอกว่างั้น” คิมเบอร์ลีฉีกยิ้มให้ “ในที่สุดวาฬ 52 เฮิร์ตซ์อย่างนายก็หาคู่ในมหาสมุทรเจอแล้วสินะ จัสติน ดีใจด้วย”
วาฬ 52 เฮิร์ตซ์ที่เธอกล่าวถึง คือ วาฬที่มีคลื่นความถี่เสียงผิดไปจากวาฬตัวอื่นจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นการเปรียบเทียบที่ฟังดูโรแมนติกไปหน่อย แต่มันก็มีส่วนที่เป็นความจริงอยู่มาก
“ขอบใจ” เขาได้แต่บอกเธอไปแค่นั้น ด้วยเหตุผลเดียวกับที่คิดในใจอยู่เมื่อเดนนิสถาม “ฉันจะไปหาลีเดียแป๊บ จะเช็คว่า ดร. คาวานาห์อยู่หรือเปล่า เห็นเดนนิสบอกเขาถามหาฉันอยู่”
ลีเดีย จอห์นสันเป็นเลขานุการของสำนักงานอาจารย์ในภาควิชา การนัดพบต่าง ๆ จะต้องทำการติดต่อผ่านเธอเกือบทั้งหมด ยกเว้นเวลาที่อาจารย์เป็นคนนัดให้มาพบเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องคอยตรวจสอบตารางนัดหมายกับเธอเพื่อความแน่ใจอีกครั้งหนึ่ง บรรดาเอกสาร ชีททั้งหลายที่อาจารย์สั่งหรือฝากเอาไว้ ก็ต้องมาเอาที่เธอหรือช่องใส่เอกสารของอาจารย์แต่ละคน
แต่ดูเหมือนว่า เขาไม่จำเป็นต้องไปหาเธออีกต่อไปแล้ว เพราะเมื่อจะหันหลังกลับออกไป มือของคนที่เขาจะไปหาก็ตบลงมาที่กลางเอว สะเทือนไปถึงแผลที่เริ่มแห้งดีแล้วแต่ยังไม่สมานกันสนิทจนแทบน้ำตาเล็ด
“ไง จัสติน สบายดีแล้วเหรอ”
จะไม่สบายก็เพราะอาจารย์นี่ละ...
To be continued.... Chapter 13: Guarded
----------------------------------------------
หมายเหตุ: เรื่องนี้ขอยืมไอเดียกับ prompt มาจากทวิตของคุณเกด
อันนี้ค่ะ เป็นพล็อตโอเมก้าเวิร์สที่โฟกัสกับบทบาทของเบต้า เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยลองเอามาเขียนดู แล้วไหนๆ ก็จะเข้าช่วง #Fictober กันแล้วก็เลยใช้คำโจทย์ของ Inktober ปี 2018 มาเขียนด้วย ก็หวังว่าจะรอดจนจบ 30 ตอนนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in