เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
H.giftmeme
day four
  • 1. Millie

    “รกหน่อยนะ” เขาพูดเสียงค่อย ไม่ได้สารภาพไปตามตรงว่าเสียเวลาจัดห้องเกือบทั้งคืน

    ไคล์ประหลาดใจไม่น้อยที่จู่ๆ นายหัวฟักทองก็โพล่งถามขึ้นมาว่าเขาพักอยู่ที่ไหน เวลาว่างทำอะไร งานยมทูตหนักหนามากหรือเปล่า — บอกตามตรง เขากลัวเสียยิ่งกว่ากลัวที่เบรนดอลเปลี่ยนท่าทีมาเป็นปกติชนในเวลาสั้นๆ อาจเป็นเพราะเขาเคยผ่านช่วงเวลาหลอกลวงตัวเองมาก่อนและรู้ดีว่ากราฟความสุขที่พุ่งทะยานสามารถดิ่งลงด้วยความเร็วยกกำลังสองได้อย่างไร แต่อย่างน้อย นี่ก็ยังชวนสบายใจที่อีกฝ่ายหันมาติดสอยห้อยตามและอยู่ในสายตาของเขา แทนที่จะเตลิดเปิดเปิงไปดิสโกเทคทั้งคืนหรือแอบซ่องซุมกับสมาคมใต้ดินที่ไหนสักแห่ง หากนายหัวฟักทองล่วงรู้ความคิดเขาเข้า คงได้ชี้หน้าหาว่าเขาเป็นเผด็จการที่ชอบสอดแนมประชาชนแน่ๆ

    เป็นตอนนั้นเอง ตอนที่เบรนดอลชะโงกหน้าเข้ามาในห้องก่อนจะก้าวขาตาม มองซ้ายมองขวาราวกับจะตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีกับดักวางไว้ ไคล์นึกถึงมิลลี่ขึ้นมาทันที ทั้งทีท่าและเรือนผมสีเดียวกัน รวมถึงอารมณ์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่เอ่ยปากถามว่า “มิลลี่เป็นยังไงบ้าง”

    นายหัวฟักทองทำหน้าตาตื่น สะดุ้งนิดๆ เหมือนไม่ได้เตรียมใจมาเจอคำถามนี้ ก็น่าอยู่หรอกในเมื่อคำตอบสองคำสั้นๆ ก็คือ “ตายแล้ว” เบรนดอลเดินสำรวจชั้นหนังสือสูงใหญ่ของเขา ไล้นิ้วไปตามสันหนังสืออย่างเหม่อลอย “หล่อนตายไปเมื่อปีก่อน แก่ตายไปเองน่ะ ไม่ได้เจ็บปวดทรมานอะไร” ว่าแล้วเขาก็กดแป้นเปียโนอัพไรต์ที่อยู่ตรงมุมห้องคล้ายจะทดสอบเสียง “แต่ใครจะไปรู้จริงๆ ล่ะว่าหล่อนเจ็บปวดหรือเปล่า” น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยเหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าคำถาม 

    เราตายกันเรียบ ไคล์คิด ฟังดูเป็นเรื่องขำขื่น เขามองเบรนดอลเดินไปมารอบห้องเหมือนแมวในสถานที่ที่ไม่คุ้ยเคย พลิกหาหน้าปกที่อาจจะรู้จักในกองแผ่นเสียง ยืนประเมินงานศิลปะที่เขาเลือกมาประดับห้อง กระทั่งอ่านรายการสิ่งที่ต้องทำที่ไคล์แปะเอาไว้บนพนัง ทั้งหมดนี่ชวนเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก แต่หากมองในทางกลับกัน เขาเองก็เคยทำทั้งหมดที่ว่านั่นตอนที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ มีเพียงมิลลี่ที่ผงกหัวขึ้นมาดูเขาเดินเล่นแก้เซ็งบ้างนานๆ ครั้ง ดังนั้นนี่คงเป็นกรรมตามสนองในรูปแบบหนึ่ง ใช่ว่าเขาจะเปิดบ้านให้ใครเข้ามาบ่อยๆ เสียเมื่อไหร่

    “แล้วโลกหลังความตายของสัตว์เลี้ยงล่ะ” เบรนดอลเอ่ย “มีสถานที่พรรค์นั้นหรือเปล่า”

    คำถามนี้ทำให้ไคล์ยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ นั่นเป็นหนึ่งในเรื่องแรกๆ ที่เขาถามลุคตอนมาที่นี่ “ว่าไงนะ ไม่มีสัตว์เลี้ยงงั้นเหรอ ล้อกันเล่นหรือไงลุง” คุณลุงยมทูตอ้างว่าเป็นเรื่องของงบประมาณ (ลุคมีคำพูดติดปากอยู่สองอย่าง 1. ระบบราชการ และ 2. งบประมาณ) ก่อนที่สุดท้ายเขาจะยอมรับตรงๆ ว่าไม่รู้เหมือนกันว่าสิงสาราสัตว์ที่ตายแล้วหายไปไหน ไคล์หัวเสียสุดขีด อ้างว่าสัตว์ช่วยเยียวยาจิตใจมนุษย์ได้ดีกว่าเป็นไหนๆ อีกทั้งเด็กเล็กจะได้มีสวนสัตว์ให้ไปเที่ยวและศึกษาธรรมชาติ เขาถึงขั้นเขียนร้องเรียนไปยังทางการที่ไม่รู้ว่าเป็นใครและอยู่ที่ไหน ส่วนหนึ่งก็เพราะความใฝ่ฝันถึงแมวส้มตัวเดียวเท่านั้น ดังนั้น เมื่อนายหัวฟักทองส่งสายตางุนงงสงสัย เขาจึงทำได้แค่ยักไหล่ให้อย่างจนใจ

    “แย่จังนะ” เบรนดอลสูดหายใจลึก หันหน้าออกไปทางทะเลสาบนอกหน้าต่าง เส้นผมสีสว่างต้องแสงแดดและไหวไปตามลม “เงียบเป็นบ้า ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกนายถึงชอบเปิดเพลงกันนัก”

    จริงอย่างที่เขาว่า หากเป็นเมื่อก่อน พอถึงจังหวะนี้ มิลลี่คงร้องเหมียวขึ้นมาพอดี


    2. Millie (2)

    “เบน!” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาก่อนร่างเล็กของเด็กหญิงจะพรวดพราวเข้ามาในห้อง ไคล์เห็นนายหัวฟักทองหันขวับอย่างตกใจ เป็นความผิดเขาเองที่ไม่ได้ล็อกประตูให้ดี แต่ช่วยไม่ได้ที่แขกคนนี้ค่อนข้างจะมาเยือนบ่อยเป็นกรณีพิเศษ และแน่นอนว่าระดับความพิเศษนั้นอยู่ในขั้นที่เธอไม่เคยเคาะประตู เด็กน้อยผมแดงมองผู้ใหญ่ที่มีผมสีละม้ายคล้ายกับตัวเองตาแป๋ว พลางยกนิ้วชี้ขึ้นกัดอย่างเคยตัว

    “เบรนดอล นี่มิลลี่” ไคล์ผายมือไปยังเด็กหญิงวัยเจ็ดแปดขวบในชุดหมี “มิลลี่ นี่คุณเบรนดอล” 

    มิลลี่พูดว่า “สวัสดีค่ะ” เบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายมีสีหน้าช็อกก้ำกึ่งกับประทับใจสุดขีด นัยน์ตาสีเขียวนั่นฉายแววเป็นคำถามใหญ่เบ้อเริ่มว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นใช่หรือไม่ คำตอบคืิอไม่ แม้จะบังเอิญจนผิดธรรมชาติไปหน่อย แต่นี่ก็เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ไคล์รู้สึกว่านายหัวฟักทองกำลังซึมซาบประสบการณ์แบบเดียวกับเขาทีละนิด ตอนแรกก็เรื่องมิลลี่ที่เป็นแมว มาตอนนี้ก็เจอมิลลี่ที่เป็นเด็กผมจุกท่าทางเอาเรื่องไม่แพ้กัน แต่ยังดีที่พอตั้งสติได้ เบรนดอลก็เอ่ยตอบว่า “ไง” พร้อมยกมือทักทายอย่างผู้ใหญ่ที่มีมารยาทดี

    ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ความสนใจของเด็กหญิงมิลลี่ไม่ได้อยู่ที่แขกหน้าใหม่ เธอเขย่งเท้าและเอาแขนวางบนเคาน์เตอร์ในครัว ท่าทางสื่อสัญญาณชัดเจนว่า “เค้ก!”  น้อยคนนักจะรู้ถึงงานอดิเรกของไคล์ ยิ่งคนที่ฉวยประโยชน์จากเวลาว่างของเขาก็เห็นจะมีแต่แม่หนูคนนี้คนเดียว ความประทับใจแรกระหว่างพวกเขาก็คือมิลลี่กินขนมปังขิงที่เขาอบในวันคริสต์มาสปีแรกจนเกือบเกลี้ยงถุง และอันที่จริง เธอถือเป็นเพื่อนคนแรกของเขาที่นี่หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสองเดือน — สองเดือนที่เขาเป็นจอมกวนประสาท ขี้โวยวาย ไม่เข้าสังคมจนเพื่อร่วมอพาร์ตเมนต์เอือมระอา และเมื่อเธอแนะนำตัวว่าชื่อมิลลี่ เขาคิดว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ตัวเองได้ยิ้มออกมาจากใจจริงนับตั้งแต่ถูกพรากมาจากโลกข้างบนนั่น

    เธอเรียกเขาว่าเบนเช่นเดียวกับมิลลี่ที่เขาเคยรู้จัก เขาตามใจเธอด้วยขนมนานาชนิดและคำกำชับให้หมั่นแปรงฟันอยู่เสมอ เธอเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ก็แวะเวียนมาแทบจะทุกวัน สีหน้าหน่ายโลกแบบคนที่ผ่านอะไรมานักต่อนัก แต่ก็ทำตัวเอาแต่ใจและติงต๊องให้สมกับภาพลักษณ์เด็กประถม ทุกวันนี้ไคล์ยังไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าเธอเกิดปีอะไร มิลลี่ดูเหมือนจะอยู่ที่นี่มานานแล้ว เพียงแต่ท่าทางการร้องหาขนมของเธอแนบเนียนจนหลายคนลืมไปแล้วว่าเธอไม่ใช่เด็กเจ็ดขวบ แหงล่ะว่าเธอย่อมเคยอายุเจ็ดขวบอย่างน้อยปีหนึ่ง แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว

    “เค้กแครอทสีส้ม” เธอว่า มองเค้กที่เขาเพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็น “พี่นี่ชอบอะไรสีส้มๆ จังนะ” 

    ไคล์เกลียดตัวเองที่หันไปมองคนหัวสีส้มที่นั่งบนพนักโซฟาโดยอัตโนมัติ สีหน้าของนายหัวฟักทองดูจะงุนงงเพราะถูกสมาชิกอีกสองคนในห้องจ้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    ข้อสรุป: ไม่ว่ามิลลี่จะเป็นแมวหรือเด็กก็ร้ายกาจทั้งนั้น เขาควรจะรู้ตั้งนานแล้ว


    3. And Millie

    นาทีหนึ่งมิลลี่ยังเล่นเพลย์สเตชั่นอยู่หน้าทีวี อีกนาทีเธอก็นอนหลับปุ๋ยไปบนโซฟาเสียแล้ว

    ไคล์นึกขอบคุณเบรนดอลที่ไม่ถือสาเด็กที่ไม่มีคอนเซ็ปต์เรื่องพื้นที่ส่วนตัว หรืออันที่จริงก็พอมี แต่ไม่คิดจะปฏิบัติตามให้เขาชื่นใจ ดูเหมือนนายหัวฟักทองออกจะสังเกตดูเด็กหญิงอย่างทึ่งๆ ด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะเมื่อเธอยิงถล่มศัตรูในจอจนเหี้ยนเมื่อกี้ เขาปิดทีวี วางแผ่นเสียงบทเพลงเปียโนของซาตีลงบนเครื่องเล่น ทนเสียงครืดคราดสองสามวินาทีก่อนเสียงดนตรีใสแจ๋วจะก้องกังวาน จากนั้นก็หันไปล้างจานใส่เค้กที่พวกเขาทานด้วยกันเมื่อครู่นี้ — บ่ายวันว่างในฝันที่เขาถวิลหา บนผืนดินใต้นิวยอร์กที่เงียบสงบเป็นคนละโลก มีเขา นายหัวฟักทอง และมิลลี่ แม้จะไม่ใช่ในรูปแบบที่เคยเป็นเมื่อเดือนตุลาคมปีนั้นก็ตามที

    “แน่ใจนะว่านายไม่ได้ถ่ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ชีวิตแสนสุขในอพาร์ตเมนต์” เบรนดอลเอ่ย เมื่อเขาเดินมายืนข้างๆ และเสนอตัวเช็ดจานให้ “แปลกพิกลนะ ว่าไหม”

    มุมมองเสียดเย้ยตามเคย ไคล์ส่งจานให้ด้วยความรู้สึกวาบหวามในอก “ชีวิตหลังความตายที่คุณคู่ควร” เขาเออออ

    “ไม่ใช่ ฉันหมายถึงเธอ” นายหัวฟักทองบุ้ยใบ้ไปทางก้อนผ้าห่มในคราบเด็กหญิงผู้มาเยือน “เด็กตัวแค่นั้น —“

    เขาเข้าใจความหมายของเบรนดอลดี เด็กตัวแค่นั้นไม่สมควรตาย ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ควรต้องอยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้ ไคล์ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไง หากรู้ว่าเด็กที่มีความสามารถในการดูแลตัวเองเท่านั้นถึงได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ในความดูแลของพ่อแม่บุญธรรมที่อาสาเข้าร่วมโครงการ มิลลี่อยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้กับคุณนายคริสตี้ผู้อารี เขาไม่รู้ว่าเธอล่วงเลยวัยต่อต้านมานานแล้วหรือยัง แต่พวกเธอสองคนก็ดูไม่มีปัญหาอะไร ถึงกระนั้น เมื่อนึกถึงเด็กน้อยคนอื่นๆ ที่ต้องหลับใหลตลอดไปแล้ว เขารู้ดีว่าเบรนดอลย่อมตีตราว่าที่นี่คือดิสโทเปียเข้าไปอีก  

    “ฉันรู้” เขาถอนใจ “แต่ก็โชคดีที่เธอได้มีโอกาสเติบโตนะ อย่าได้ไปทำท่าสงสารเธอเชียวล่ะ เธอจะตะปบนายเข้าอย่างจัง”

    “มิลลี่ก็คือมิลลี่”

    “ประมาณนั้น” 

    “ส่วนนายก็กลายเป็นพ่อบ้านในฝันไปแล้ว” เบรนดอลวางจานใบสุดท้ายลงบนตะแกรง “นี่คือตัวตนที่แท้จริงของนายงั้นเหรอ — ใจดี อ่อนโยน รักศิลปะ รักสัตว์ รักเด็ก คนก่อนหน้าหรือว่าคนหลังจากนายลั่นไกใส่ตัวเองกันแน่”

    น้ำเสียงนั้นเรียบเรื่อยเกินจะเป็นคำครหาหรือต่อว่า แต่ส่วนหนึ่งของไคล์ร้องแย้งดังลั่นว่าคำถามประเภทนั้นไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย คำถามประเภทนี้ไม่สมควรถูกเอ่ยที่นี่ ไม่เช่นนั้นทำไมเราถึงมาอยู่ตรงนี้แทนที่จะเป็นฝุ่นผงในอวกาศกันล่ะ เว้นแต่ว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่ใช่คำถาม หากแต่เป็นประโยคบอกเล่า: ที่ผ่านมา เราไม่รู้จักกันเลยสักนิดเดียว เวลาของคนตายหยุดไปนานแล้ว ทั้งหมดที่มีอยู่คือสามสิบเอ็ดวันที่ถูกแช่แข็งไว้ในช่องฟรีซ ขณะที่เวลาของคนเป็นพุ่งตรงไปข้างหน้า ใต้แสงตะวันร้อนแรงที่ทำให้น้ำแข็งระเหิดได้ในพริบตา เวลาราวหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้พลันจางหายเหมือนหมอกที่พ่ายแพ้แม้แต่แดดอ่อนๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว

    แต่ความเข้าใจก็เป็นเพียงเรื่องทางทฤษฎี ใครสน ในเมื่อนายหัวฟักทองไม่รู้จักเขาอย่างที่ว่า ราวกับถูกจี้ใจดำอย่างแรง เขาจึงยื่นข้อเสนอที่หวังเหลือเกินว่าจะเป็นข้อเสนอไม่มีใครปฏิเสธได้

    “งั้นก็ย้ายมาอยู่กับฉันสิ” ไคล์กล่าว

    พอสิ้นคำ มิลลี่ก็หาวพร้อมบิดขี้เกียจเสียงดัง สีหน้าของเบรนดอนเหมือนทำจานตกแตกทั้งๆ ที่ไม่มีจานอยู่ในมือ ส่วนไคล์เพิ่งจะตระหนักได้ว่าฉิบหาย นี่คงกลายเป็นภารกิจแช่แข็งดวงอาทิตย์
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
nichised (@ksdholler)
โอย พึ่งได้อ่าน เฉียบคมขึ้นืุกวัน เรากลัวแล้วววววว