1.
The answer is no
แน่อยู่แล้ว คำตอบก็คือไม่
ไคล์ยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองแก้เก้อ ก่อนจะหยิบขนมในตู้เย็นใส่กล่องพลาสติกให้เขา นี่คือการกล่าวอำลาในตัวมันเอง ถึงแม้จะรู้ดีว่าวันต่อไป ไม่แน่ว่าในบ่ายที่อากาศดีวันหนึ่ง พวกเขาอาจบังเอิญเจอกันอีกในสวนสาธารณะ หรือไม่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูแผ่วเบาที่แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าใครคือผู้มาเยือนเข้าสักวัน แต่กับวันนี้ — วันนี้จบลงแล้ว ไม่มีอะไรให้พูดกันอีก น่าแปลกที่เขายังจำสีหน้าของไคล์ได้แม่นจนถึงตอนนี้ ปกติแล้วการบอกลาเพียงชั่วคราวไม่มีความหมายอะไร แต่ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งที่เอ่ยคำลาราวกับว่านั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนโลกจะแตกสลาย รอยยิ้มนั่นทำให้เบรนดอลคิดว่าตัวเองเป็นดาวหางชั่วร้าย
แต่เขารู้ดีว่าไคล์รู้ ดาวหางมีวิถีทางของมัน
2. Paul
แผ่นพับโครงการให้คำปรึกษาทางจิตใจที่ถูกสอดผ่านประตูเข้ามาทำให้เขานึกถึงพอล คิดถึง โหยหา เสียใจ ปวดร้าว ทั้งหมดน่าจะผสมกันจนแยกไม่ออกและสรรหาคำอื่นมาบรรยายไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องอยู่ในคำกลางๆ คำเดียว — นึกถึง ขณะที่หมุนแหวนสีเงินบนนิ้วเล่นอย่างเหม่อลอย พื้นผิวสัมผัสและน้ำหนักเป็นเครื่องพิสูจน์แบบหยาบๆ ว่ามันมีอยู่จริง ครั้งหนึ่งพอลเคยเป็นคนสวมมันให้เขาอย่างอ่อนโยนจนเบรนดอลรู้สึกร้อนผ่าว ทั้งไม่คุ้นชินและประหวั่นพรั่นพรึง เหมือนกับว่าคนเราไม่มีทางรักใครโดยปราศจากเงามืดที่ทอดยาวตามไปทุกที่ และตอนนี้เงามืดนั้นจะคงอยู่ตลอดไปแม้ต่างฝ่ายต่างไร้ตัวตน เพราะว่ามันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากความว่างเปล่า
พอลคงไม่ฟูมฟาย เขาคงเก็บข้าวของของคนรักที่จากไปอย่างเงียบๆ และคอยโทรศัพท์หาโซฟี เขาคงไม่ต้องวุ่นวายจัดงานศพเพราะครอบครัวฮักซ์ลีย์เป็นคนจัดการเองทั้งหมด พ่อของเขาจะรับรู้เพียงแค่ว่าลูกชายวัยสามสิบห้าตายไปในอุบัติเหตุรถชนโง่ๆ โดยที่ยังไม่ได้แต่งงานแต่งการ ไม่มีแฟน ไม่มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน เพื่อนฝูงของเขาแค่กล่าวแสดงความอาลัยโดยไม่พูดถึงเรื่องอื่น ไม่มีคำพูดทำนองว่า “ผมได้ยินว่าเขาจะแต่งงานอยู่แล้ว เสียใจด้วยนะครับ” หรือ “เขาเพิ่งย้ายไปอยู่กับแฟนนี่เอง โชคร้ายเหลือเกิน” ส่วนพอล พอลจะเดินเข้ามาในงานด้วยอาการสำรวมพร้อมแนะนำตัวว่าเคยเป็นจิตแพทย์ของเขา แม้ว่าจริงแล้วๆ จะกินเวลาแค่สองอาทิตย์ เพราะหมอนั่นขอร้องให้เขาเปลี่ยนไปหาหมอคนอื่นแทนเพื่อที่จะได้ขอเขาเดต ซึ่งเขาก็บ้าพอที่จะตอบตกลง สุดท้ายแล้วคงมีแค่พอลและโซฟีนั่งอยู่หน้าโลงศพของเขา จ้องมองไปยังผู้ชายในรูปถ่าย (เขาสงสัยเหลือเกินว่าพวกนั้นจะเลือกภาพไหนมา) และพูดคุยกันในฐานะคนสองคนบนโลกนี้ที่รู้จักเบรนดอล ฮักซ์ลีย์อย่างแท้จริง ขอแค่พวกเขาไม่ร้องไห้ นั่นก็นับว่าเป็นงานศพที่ไม่เลวร้ายเท่าไรนัก
พอลคงเก็บแหวนของเขาไว้ มันคงอยู่ในถุงพลาสติกที่ทางโรงพยาบาลยื่นให้เมื่อไปรับศพ เขาข้องใจว่าทำไมคนที่ตายแล้วถึงไม่ตื่นขึ้นอีกครั้งในสภาพเหมือนตอนแรกเกิด เปลือยเปล่า ไม่มีสัมภาระอะไรติดตัว เขาหวังว่าแหวงวงนี้จะหายไป เช่นเดียวกับที่หวังว่าพอลจะไม่ฝังมันลงไปกับตัวเขาด้วย จะเอาไปโยนทิ้งแม่น้ำหรือที่ไหนก็ช่าง ทิ้งมันไปทั้งสองวงแล้วเดินหน้าต่อไป สิ่งของเล็กจ้อยที่เป็นสัญลักษณ์แทนคุณค่าบางอย่างนั้นช่างอันตราย
“ทำไมคุณถึงอยากแต่งงาน” เขาเคยถาม แน่ล่ะว่าเขาไม่เคยนึกฝันว่าตัวเองจะมาไกลถึงขั้นนี้ การจูบผู้ชายในงานปาร์ตี้กับการจดทะเบียนสมรสกับผู้ชายอีกคนเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง ไม่นับเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกับชีวิตสามสิบปีก่อนหน้านี้และแฟนสาวอีกจำนวนหนึ่ง กว่าคำตอบสุดท้ายของเขาจะอยู่ในรูปของผู้ชายสวมแว่นหนาเตอะและเฉิ่มเชยในสายตาใครๆ คนที่เป็นปริศนามากกว่าคำตอบแบบที่เขามักจะตกหลุมรักและลงเอยด้วยการรัก พอลทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กาแฟในมือของเขาส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วห้อง
“ไม่รู้สิ ผมก็ไม่ค่อยเชื่อในสถาบันนี้เท่าไร” พอลว่า “แต่ผมอยากจะเชื่ออะไรสักอย่าง ผมก็เลยเลือกเชื่อคุณ คุณทำให้ผมมีจุดหมาย”
เขาอยากโต้เถียงว่านั่นไม่ใช่คำตอบสักหน่อย พอลไม่ได้ให้คำตอบในเชิงสังคมและสิทธิมนุษยชนว่าทุกคนควรมีสิทธิ์แต่งงานกันตามกฎหมาย เขาไม่ได้ตอบในเชิงศาสนาและจิตวิญญาณว่าอยากให้เราผูกพันกันจนกว่าความตายจะพรากจาก แต่กลับให้คำตอบซื่อๆ ที่เป็นคำบอกรักในแบบฉบับของตัวเอง เชื่อมั่นในตัวคุณ — นั่นมันออกจะเกินไปหน่อย หวานพอๆ กับรสกาแฟที่ติดริมฝีปากของเขาไม่มีผิด แล้วหลังจากนั้นทุกคำถามก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
พวกเขายังไม่ได้พูดถึง “เมื่อไหร่” แต่เบรนดอลคิดไว้ว่าพวกเขาน่าจะเริ่มกำหนดแผนอะไรๆ กันหลังมื้อเช้า
ปัญหาเดียวก็คือมื้อเช้ามื้อนัั้นไม่เคยมาถึง แค่เกือบเท่านั้น
3. Counseling session
อาคารชุดสีขาว โถงทางเดินบุไม้ กลิ่นชาอบอวล ม้านั่งว่างเปล่า แวบแรกเขาสงสัยว่าตัวเองมาผิดที่หรือเปล่า
เขาไม่รู้ว่าคุณป้าร่างท้วมคนนี้เป็นจิตแพทย์หรือศึกษาจิตวิทยามาหรือไม่ แต่หล่อนดูดีอกดีใจเมื่อเห็นเขาเข้ามาในห้อง ก่อนจะจัดแจงรินชาคาโมไมล์ใส่แก้วกระเบื้องลายครามอย่างดีให้ หลังจากนั้นก็ร่ายยาวถึงประวัติของศูนย์ให้คำปรึกษาที่เธอเป็นคนก่อตั้งและเคยได้รับความนิยมอย่างมากในอดีต “เดี๋ยวนี้ผู้คนทำใจกันได้เร็วนัก” หล่อนว่า ยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้าแบบที่ไม่รู้ว่าโล่งใจหรือเสียดายกันแน่ “เดาว่าพวกยมทูตคงทำงานกันเหมือนเซลส์แมน” โอลิเวียผายมือออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดยามบ่ายกระทบผิวสีเข้มจนทำให้หล่อนดูเปล่งประกาย สำเนียงการพูดแบบชาวใต้ทำให้เขารู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องเล่าที่ดูจะไม่มีวันจบจนลืมไปครู่หนึ่งว่าบทบาทของพวกเขากำลังสลับกัน เขาไม่เคยเจอผู้ให้คำปรึกษาที่เป็นฝ่ายเปิดใจก่อนหมดเปลือก บางทีหล่อนอาจเป็นหล่อนต่างหากที่ต้องการเพื่อนคุย
“ถ้างั้นพวกไหนมักจะมาที่นี่เหรอครับ” เขาถาม
“พวกไม่มีที่ไปไง” หล่อนตอบ แล้วพวกเขาก็หัวเราะกันลั่น นั่นน่าจะเป็นการหัวเราะเต็มที่ครั้งแรกของเขาที่นี่
หลังจากนั้นสักพัก สิ่งที่ดึงเขาออกจากเรื่องราวเผ็ดร้อนของโอลิเวียไม่ใช่อะไรนอกจากสิ่งมีชีวิตขนนุ่มฟูที่ถูไถตัวเองกับขาของเขา แมวสีเหมือนขี้เถ้าเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาใคร่รู้ “แม็กกี้” เจ้าของของหล่อนเรียก ทำให้เจ้าแมวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอย่างว่าง่าย โอลิเวียย่อมดูออกอยู่แล้วว่าเขากำลังอึ้ง นี่เป็นสัตว์เลี้ยงตัวแรกที่เขามีโอกาสได้เห็นในโลกหลังความตายแห่งนี้ แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยถามว่า “ได้ยังไง” คุณป้าใจดีก็ชิงเปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้งเสียก่อน
“เคยเลี้ยงแมวหรือเปล่า พ่อหนุ่ม” หล่อนถาม ตาเป็นประกาย
เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการได้ยินคำถามนี้มากแค่ไหนจนกระทั่งตอนนี้
คราวนี้ถึงตาเขาพูดบ้าง และเรื่องราวแทบทั้งหมดก็หลั่งไหลออกมา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in