เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
ที่มา
  • วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังนอนขี้เกียจอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดหมอ A ก็โทรมาและคุยเรื่องจะเอาบันทึกการรักษาของฉันเป็นcase study คือจะเอาเรื่องของฉันเข้าที่ประชุมกับอาจารย์หมอแล้วพวกหมอ ๆ ทั้งหลายจะช่วยกันคิดหาทางรักษากัน ฉันยินดีที่จะเป็น casestudy ให้หมอมาก ก็ดีเหมือนกันเพราะนั่นถือเป็นการเปิดโอกาสให้หมอเก่ง ๆ รวบรวมความคิดกันมารักษาฉัน

                ไม่กี่วันหลังจากนั้นหมอ A ก็โทรมาหาฉันเพื่อขอรายละเอียดประวัติส่วนตัว

                หมอ : คุณพอมีเวลาสัก 1 ชั่วโมงไหมคะ หมออยากทราบประวัติของคุณ

                ฉัน : ได้เลยค่ะ

                หมอ : ถ้าอย่างนั้นช่วยเล่าประวัติคร่าวๆตั้งแต่วัยเด็กจนโตเลยนะคะ

                ฉัน : ค่ะฉันเกิดมาในครอบครัวเชื้อสายจีน เรามีกันอยู่ 4 คนในครอบครัว คือ พ่อ แม่ พี่ชาย และฉัน

                หมอ : อ๋อมีพี่ชายด้วย ความสัมพันธ์ของคุณกับพี่ชายเป็นยังไงคะ

                ฉัน : ไม่ดีเลยค่ะ ตอนเด็ก ๆ ฉันโดนพี่ชายรังแกบ่อยๆ ทั้งเตะ ตบ ต่อย ถีบสารพัด เพราะอย่างนั้นตั้งแต่ขึ้นม.1 ฉันก็เลิกยุ่งกับพี่ชายทันทีฉันทำเหมือนเค้าเป็นอากาศธาตุไปเลยค่ะ

                หมอ : แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อแม่ละคะ

                ฉัน : พ่อของฉันเป็นคนดุมากค่ะเวลาโมโหเขาจะตะคอกใส่ฉัน เขาเป็นคนที่เนี้ยบมาก เมื่อกลับมาที่บ้านเขาจะเช็คทุกอย่างในบ้านว่าเรียบร้อยดีหรือเปล่าอ้อ! ฉันลืมบอกไป เขาทำงานอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชจึงกลับบ้านเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ค่ะ

                หมอ : อ๋อ แล้วความสัมพันธ์กับแม่ละคะ

                ฉัน : แม่เป็นคนใจดีค่ะแต่จู้จี้ขี้บ่น ตอนฉันโดนพ่อตะคอกใส่แม่จะช่วยอะไรไม่ได้เลยแต่แม่เป็นคนที่ดูแลลูก ๆ ทั้งสองคนทุกอย่างค่ะ ฉันกับพี่เลยสนิทกับแม่มากกว่าพ่อทุกครั้งที่ฉันกับพี่ทะเลาะกันแม่จะเข้าข้างพี่ชายของฉันทุกครั้งทำนองว่าเป็นลูกชายในครอบครัวคนจีนน่ะค่ะ เขาจะบอกฉันว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาสิ ฉันเลยทำให้พี่ชายเป็นอากาศธาตุซะเลย

                หมอ :โอเคงั้นมาเริ่มที่ชีวิตของคุณ

                ฉัน : ค่ะฉันก็โตมาในครอบครัวอย่างที่เล่าไปนั่นแหละค่ะ ฉันอยู่ที่บ้านจนถึงม.3 แล้วย้ายไปอยู่คนเดียวในหอพักที่ภูเก็ตเพราะฉันสอบเข้าได้โรงเรียนที่นั่นค่ะและตรงนี้ฉันคิดว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเลยค่ะหมอเคยได้ยินไหมคะที่เขาว่ากันว่า คนเราควรคิดถึงความตาย 3ครั้งต่อวัน

                หมอ : ไม่เคยเลยค่ะ

                ฉัน :เป็นเพราะไอ้คำพูดนั้นนั่นแหละค่ะที่ทำให้ฉันไม่ฉุกคิดว่าภาพความตายที่เข้ามาให้หัวมันเป็นสิ่งผิดปกติฉันคิดว่ามันเป็นอาการที่ใครๆเขาก็เป็นกันตอนเรียนมอปลายในหัวของฉันมันเริ่มมีภาพหรือฉากเหตุการณ์เกี่ยวกับความตายไม่ว่าจะเป็นพ่อตายหรือแม่ตาย ฉันจมไปกับความคิดนั้นจนร้องไห้ทุกคืน

                หมอ : มันเป็นภาพที่เราเห็นด้วยตาเลยหรือว่ายังไง

                ฉัน :อืม...มันเหมือนเป็นฉากเหตุการณ์ในหัวสมองค่ะ เหมือนมันลอยวนอยู่ในหัวฉันไม่ได้เห็นด้วยตา มันเหมือนความฝันทั้งที่ฉันรู้ตัวน่ะค่ะ

                หมอ :แล้วมีช่วงไหนที่ภาพมันมามากเป็นพิเศษไหม

                ฉัน : ตอนเครียด ๆ ค่ะ

                หมอ : แล้วคุณได้ทำอะไรตัวเองหรือเปล่า

                ฉัน : ไม่ได้ทำค่ะตอนนั้นแค่ร้องไห้กับมันแล้วก็ปล่อยมันไป

                หมอ : อ๋อ...โอเคได้ข่าวว่าคุณไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศเหรอคะ ช่วงนั้นเป็นยังไงบ้าง

                ฉัน :ใช่ค่ะฉันไปแลกเปลี่ยนที่ชิลีตอนจบม.5 ค่ะ ตอนอยู่ที่นั่นช่วง 6 เดือนแรกมันไม่มีภาพมารบกวนเลยมันเหมือนฉันต้องใช้สมองไปกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สังคมใหม่ ๆ ภาษาที่ไม่คุ้นเคยฉันเลยไม่คิดเรื่องความตายค่ะ แต่พอ 6 เดือนหลังเมื่ออะไร ๆ มันเข้าที่เข้าทางแล้วภาพมันก็กลับมาอีกครั้ง ฉันอยากร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นภาพ แต่ฉันทำไม่ได้ มันเก็บกดมากค่ะ

                หมอ : พอกลับมาแล้วเป็นยังไงบ้างกลับมาเรียนม.6ใช่ไหม

                ฉัน :ใช่ค่ะฉันต้องเรียนซ้ำชั้นม.6และมันเป็นช่วงที่ต้องสอบเข้ามหาลัย ต้องเตรียมสอบ GAT PATบ้างอะไรบ้างยิ่งเครียดกับการเรียนมากเท่าไหร่ภาพในหัวมันยิ่งชัดเจนมากเท่านั้นค่ะ และฉันก็ไม่ใช่คนที่เรียนดีซะด้วยพอรวมคะแนนแอดมิชชั่นออกมาแล้วยิ่งร้องไห้ด้วยความเครียดและภาพในสมอง

                หมอ :แล้วหลังจากนั้นในชีวิตมหาลัยล่ะ

                ฉัน :ฉันต้องบอกก่อนนะคะว่าคณะที่ฉันเรียนมันไม่ใช่คณะที่ฉันคาดหวังไว้ตอนเลือกอันดับแอดมิชชั่นฉันอยากได้มนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษตอนนั้นฉันคิดว่ายังไงก็ต้องติดแน่ ตัวเลือกที่เหลือจึงเป็นคณะที่ฉันไม่อยากได้

                หมอ : แล้วมันเกิดอะไรขึ้น

                ฉัน :ฉันไม่ติดมนุษยศาสตร์เอกอังกฤษค่ะ แต่ฉันได้มนุษยศาสตร์เอกภาษาไทยแทนซึ่งภาษาไทยเป็นอะไรที่ฉันเกลียดมาก ฉันเสียใจมากถึงกับร้องไห้เป็นวันเป็นคืนร้องเหมือนคนไม่ติดแอดมิชชั่นเลยค่ะ

                หมอ :แล้วชีวิตมหาลัยเป็นยังไงบ้าง

                ฉัน : ตอนปี 1 ฉันต้องรับน้องค่ะ ต้องโดนรุ่นพี่ว้ากตะโกนใส่ทุกคืนช่วงนั้นตอนข้ามถนนฉันก็คิดว่า รถคันไหนก็ได้ช่วยหักเลี้ยวมาชนฉันหน่อยเวลาขึ้นลิฟท์ก็อยากให้ลิฟท์มันตกและตายไปเลยส่วนหนึ่งมันเพราะความเครียดจากการโดนพี่ว้ากมากกว่า ไม่ใช่อาการป่วยอะไร แต่ตอนปี2-4 นี่แหละค่ะที่สำคัญ

                หมอ : มันเกิดอะไรขึ้น

                ฉัน : ตอนปี 2 ฉันเริ่มกินยาเกินขนาดค่ะฉันไปซื้อยาพารามากระปุกนึงแล้วกินทีละ 10 เม็ด 20 เม็ด บางคืนมีกินยา CPM ด้วย เป็นยาแก้แพ้อ่าค่ะกินไปนับไม่ถ้วนเลย ยิ่งช่วงปี 3 ยิ่งอาการหนักเพราะอาจารย์ที่ฉันเคารพเขาลาไปเรียนต่อ ฉันรู้สึกผิดหวังมากเหมือนชีวิตการเรียนของฉันมันจบแล้วอ่าค่ะ หลังจากนั้นตอนปี 4 ฉันก็เริ่มเอาคัตเตอร์มากรีดฝ่ามือ ตอนนั้นมันรู้สึกว่าก็แค่อยากเห็นเลือดค่ะ

                หมอ : ตอนนั้นคิดว่าจะให้ตายเลยไหม

                ฉัน : ก็ไม่ถึงขนาดนั้นแต่คิดว่าถ้าตายไปก็ดี

                หมอ :หลังจากนั้นก็คือวัยทำงานเลยใช่ไหม

                ฉัน : ไม่เชิงค่ะตอนที่เรียนมหาลัยอยู่ฉันคิดฆ่าตัวตายหลังเรียนจบเพราะฉะนั้นฉันจึงไม่เคยวางแผนอะไรเกี่ยวกับการทำงานเลย ฉันคิดแค่ว่าเรียนจบปุ๊บตายทันที

                หมอ :แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่ได้ฆ่าตัวตายคะ

                ฉัน :บังเอิญฉันได้ไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาประมาณ 3 เดือนค่ะ ช่วงนั้นฉันต้องเรียนรู้งาน ต้องเรียนรู้ภาษาภาพในหัวมันก็เลยไม่เข้ามาค่ะพอกลับมาจากอเมริกาก็ได้ทำงานที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งค่ะซึ่งมันเป็นสิ่งที่ฉันเกลียดมาก เกลียดทั้งการสอน เกลียดทั้งภาษาไทยทำให้ภาพในสมองมันกลับเข้ามาอีกครั้ง

                หมอ :ตอนนั้นก็เลยเปลี่ยนสายงานมาทำเกี่ยวกับ ticketingใช่ไหม

                ฉัน : ใช่ค่ะฉันตัดสินใจเปลี่ยนสายงาน มาทำเกี่ยวกับทัวร์แทน ตอนนั้นแหละคือช่วงพีคของชีวิตจนต้องไปหาจิตแพทย์คือภาพความตายที่ฉันเห็นทุกคืนมันเริ่มลามมาถึงกลางวันแล้วแล้วฉันก็จมไปกับความคิดจนร้องไห้ทุกพักเที่ยง ฉันใช้วิธีโทรหา 1323 ก่อน แล้วเขาแนะนำให้ฉันลองไปหาหมอ ฉันเลยได้เจอหมอC ค่ะ

                หมอ : อืม...เข้าใจแล้วค่ะข้อมูลทั้งหมดนี้หมอเปิดเผยในที่ประชุมได้ใช่ไหมถ้ามีตรงไหนที่คุณไม่ยินดีเปิดเผยคุณบอกหมอได้นะคะ

                ฉัน :คุณหมอเปิดเผยได้หมดเลยค่ะ

                หมอ : คุณมีอะไรจะถามหมอไหมคะ

                ฉัน : หมอคะถ้าฉันตายหมอจะรู้สึกเฟลไหมคะ

                หมอ : ไม่นะ แค่หมอได้รู้จักคุณได้รักษาคุณก็เป็นสิ่งที่ทำให้หมอรู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะฟังจากช่วงชีวิตของคุณที่ผ่านมา หมอมองว่าอาการคุณกำลังดีขึ้นนะคะถ้าเปรียบกับการเดินมันเหมือนกำลังเดินขึ้นบันไดอ่าค่ะมันอาจจะเหนื่อยบ้างแต่มันดีขึ้นจริงๆหมออยากให้คุณคิดซะว่าโรคซึมเศร้ามันคือหมาดำที่มันติดตามตัวคุณอยู่ตลอดเวลาคุณควบคุมมันได้ และหมออยากให้คุณมองมันเป็นเพื่อนที่ใช้ชีวิตร่วมกันไปแค่นั้นค่ะ

                ฉัน :ฉันอยากขอโทษหมอล่วงหน้าค่ะ เพราะไม่รู้เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่าฉันเคยเป็นครูมาก่อน เวลานักเรียนไม่เข้าใจฉันก็จะรู้สึกเฟลถ้าเปลี่ยนมาเป็นสถานะหมอและคนไข้ฉันว่ามันก็เหมือนกัน ฉันขอโทษจริง ๆ นะคะถ้าฉันตาย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in