เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
รอยยิ้ม
  • ผู้คนมากมายอัดแน่นกันอยู่หน้าประตูรถไฟฟ้าเสียงพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ดังออกมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ เสียงแตรรถจากบนถนนดังสนั่นไม่ขาดสายด้วยความอารมณ์ร้อนของคนขับรถที่ต้องติดแหง็กอยู่บนถนนในเช้าวันจันทร์พนักงานบริษัทต่างเร่งรีบออกไปทำงานแทบจะเป็นผึ้งแตกรัง

                ทำไมฉันยังต้องลืมตาตื่นขึ้นมาเจอชีวิตแบบนี้กันนะ

              ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกแล้วใครก็ได้ช่วยฉันที

                ความคิดด้านลบเริ่มเข้ามาปกคลุมสมองของฉันและทำให้ฉันน้ำตาไหลเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมองฉันอย่างพิศวงและกระซิบกระซาบกับแม่เบา ๆ

                เด็กคนนั้นจะมองว่าฉันบ้าไหมนะน้ำตาที่ไหลอยู่แล้วยิ่งพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย

                หลังจากนั้นประมาณ 45 นาทีฉันก็มาถึงที่ทำงานของตัวเอง ห้องทำงานสลัว ๆเนื่องจากยังไม่มีใครเข้ามาทำงานฉันสแกนลายนิ้วมือและเข้าไปเปิดไฟเปิดเครื่องปรับอากาศทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับเข้าทำงานกลิ่นกาแฟหอมฉุยลอยมาเข้าจมูกเมื่อฉันคนช้อนกาแฟในถ้วยใบสวยไปมา

                ทุกวันที่นี่ช่างจำเจและไร้ค่าเหลือเกิน

                น้ำตาของฉันหยดแหมะลงในถ้วยกาแฟทำให้รสชาติเค็มปะแล่มฉันวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะและลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างที่ทำงานซึ่งอยู่ชั้น 18 ลมพัดเข้ามาตีหน้าจนผมปลิวไสวไม่ได้ทรง

                กระโดดลงไปสิ

              อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก

              ยังไงเสียบริษัทก็หาคนใหม่ที่ดีกว่ามาแทนฉันได้อยู่ดี

                ทะเลความคิดกำลังปั่นป่วนอยู่ในสมองฉันชะโงกหน้าลงไปดูชั้นล่างของตึกด้วยใจหวิว ๆ

                ถ้าฉันกระโดดลงไปตอนนี้จะมีใครดีใจไหมนะ

                ติ๊ด!เสียงสแกนลายนิ้วมือที่หน้าประตูบริษัทดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีพนักงานอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วฉันรีบปิดบานหน้าต่างกระจกแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “เมื่อกี้เปิดหน้าต่างทำไมน่ะ”

                “ไม่มีอะไรค่ะ แค่อยากมองลงไปดูเฉย ๆ”ฉันโกหก

                เพื่อนร่วมงานของฉันเริ่มเข้ามาทำงานคนแล้วคนเล่าเสียงสแกนลายนิ้วมือดังขึ้นเพื่อเตือนให้ฉันรู้ว่าต้องเจอหน้าพนักงานบริษัทอีกหลายคน

                ฉันไม่อยากเจอหน้าใครอีกแล้ว

                ใครก็ได้พาฉันออกไปจากที่นี่เสียทีฉันลงมือทำงานทั้งๆที่ทะเลความคิดกำลังคลุ้มคลั่ง น้ำตาหยดแหมะลงบนแป้นพิมพ์สติและสมาธิของฉันกำลังจางหายไปเรื่อย ๆ จนแทบไม่เหลืออะไร

                “ทำไมทำงานอย่างนี้ล่ะ” รุ่นพี่ที่ทำงานตำหนิฉันหลังจากดูอีเมล์ตอบลูกค้าที่ฉันบันทึกไว้หลังจากนั้นจึงตามมาด้วยคำตำหนิยกใหญ่

                ฉันจะไม่ทนอีกแล้วฉันมันไม่เหมาะกับที่นี่ ไม่มีค่าอะไรเลย

                ทุกคนจะดีใจมากใช่ไหมถ้าไม่มีฉัน

                หลังจากฟังคำตำหนิของรุ่นพี่เสร็จแล้วฉันจึงลุกออกไปนอกบริษัทโดยหยิบโทรศัพท์มือถือติดมือไปด้วย

                “หม่าม้า ลูกไม่ไหวแล้วล่ะ”ฉันโทรไปหาแม่และพูดทั้งน้ำตา

                “เป็นอะไร”แม่ถามกลับมาด้วยความเป็นห่วง

                “ลูกไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

                “ตอนนี้คิดอะไรอยู่”

                “อยากตาย”หลังสิ้นคำว่าตายแม่ของฉันก็รีบบึ่งรถมาที่ทำงานทันที เราสองคนตัดสินใจว่าฉันควรจะลาออกและไปพบจิตแพทย์ทันที

                ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งรอหมอที่โรงพยาบาลเดิมน้ำตาของฉันก็ยังไหลออกมาเหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างมองมาที่ฉัน บ้างมีแววตาสงสารบ้างมีแววตาของความเวทนา บ้างทำหน้าตาสงสัย และแล้วมีคุณป้าในเสื้อสีชมพูคนหนึ่งหยุดกึกตรงหน้าฉัน

                “เป็นอะไรคะ”คุณป้าถามพร้อมเข้ามาโอบกอดฉันเอาไว้ มือลูบหลังเบา ๆ เหมือนเป็นการปลอบใจ

                “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” ฉันโกหกแต่น้ำตากลับยิ่งไหลออกมาเพียงเพราะคำถามจากใครสักคนบนโลกนี้ว่า เป็นอะไรที่แสดงความห่วงใยออกมาอย่างจริงใจ

                “ไม่เป็นไรนะคะ ป้าก็เคยเป็นค่ะยิ้มเข้าไว้นะคะ ถ้าคุณยิ้ม โลกทั้งใบจะยิ้มให้คุณค่ะ”คุณป้าพูดพลางลูบหลังและเช็ดน้ำตาให้ฉัน

                “ขอบคุณค่ะ”

                “ขอให้พลังบวกแห่งพระโพธิสัทธิกวนอิมช่วยดลบันดาลให้คุณรู้สึกดีขึ้นและผ่านมันไปได้นะคะ”

                นั่นสินะ ถ้าฉันยิ้มโลกทั้งใบนี้จะยิ้มให้ฉันไหมนะฉันคิดพลางสะอื้นน้อย ๆ

                คำปลอบโยนของคุณป้าไม่ใช่แค่ทำให้ฉันหยุดร้องไห้เท่านั้นแต่มันยังทำให้รู้ว่าไม่ใช่ฉันเพียงคนเดียวที่เป็นโรคบ้า ๆ นี่และไม่ใช่ฉันเพียงคนเดียวที่ต้องต่อสู้กับความคิดอันชั่วร้ายในสมองโลกทั้งใบนี้อาจจะมีคนเป็นเหมือนฉันอีกเป็นล้าน ๆ คนมากกว่าครึ่งในจำนวนทั้งหมดนั้นสามารถฝ่าฟันความทรมานนี้ไปได้และใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณค่าทั้งหมดนี้มันขึ้นอยู่กับว่าฉันจะเป็นหนึ่งในมากกว่าครึ่งนั้นหรือจะเป็นอีกส่วนที่จบชีวิตลง

                หมายเลข UA21035 เชิญพบแพทย์ห้องหมายเลข 5 ค่ะ’ เสียงประกาศเรียกคิวของฉันดังขึ้นฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนพาตัวเองเข้าไปพบหมอ C ที่ห้องหมายเลข 5ห้องเดิม

                “สวัสดีครับ วันนี้เป็นอะไรมาครับ”หมอทักทายตามปกติ

                “ฉันไม่ไหวแล้วล่ะหมอความคิดของฉันมีแต่เรื่องอยากตาย และฉันก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริง ๆ ค่ะ”

                “ไหนเล่าให้ฟังสิว่าตอนนี้รู้สึกยังไง”

                “มันรู้สึกหดหู่ เศร้าและกลัวที่จะต้องเจอวันพรุ่งนี้ค่ะ ฉันรู้สึกไม่อยากเจอหน้าใคร ไม่อยากเห็นไม่อยากได้ยินเสียงค่ะ”

                “คุณคิดวิธีหรือเตรียมอุปกรณ์ไว้หรือยังครับ”

                “คิดไว้แล้วค่ะ วิธีรมควันค่ะอุปกรณ์ก็เตรียมไว้หมดแล้ว เก็บไว้มิดชิด คราวนี้แม่เอาไปทิ้งไม่ได้แน่นอน”

                “คราวนี้ลองแอดมิทดูไหม”หมอถามออกมาหลังจากซักถามเรื่องอาการไม่ตอบสนองต่อยาของฉัน

                น่าเสียดายที่หลังจากหมอตรวจสอบเตียงว่างดูแล้วผลก็ออกมาเหมือนครั้งที่แล้วคือเตียงแผนกจิตเวชเต็ม! ระหว่างที่ฉันรอเตียงจิตเวชว่างหมอก็สั่งยาแขนงใหม่มาทดลองกับฉันคราวนี้เป็นยา Clorazepate Dipotassium ขนาด 5 มิลลิกรัมและยา Quetiapine 200 มิลลิกรัม

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in