เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[Fic : Venom x Eddie] : RETURNnarscel
[Fic : Venom x Eddie] Return Ep. 02 : Sleepwalker
  • Author’s Note : แหะๆ มาลงตอนต่อแล้วนะฮับ กะว่าตอนนี้จะยาวกว่านี้ แต่เขียนไปเขียนมาเหลือสั้นนิดเดียว แอะ หวังว่าคนอ่านจะยังติดตามอยู่ด้วยกันต่อน้า เหมือนเคย ติชมทักทายได้ตลอดนะ ชอบๆ เปิดแทคให้ง่ายขึ้นต่อการคุ้ยหาโพสต์เรื่องนี้ของเรา ใช้ #VeddieReturn นะคะ 

    Pairing : Venom x Eddie

    Warning : LGBT , Boy's Love , ฟิควาย , *Spoiler Alert* for Venom 2018 , Tentacle , Unconsents , Rapes 

    ………………………………………………………………..

    RETURN – Ep. 02 : Sleepwalker

    ………………………………………………………………..

     

              ...เคยมีคนกล่าวว่า ชีวิตก็เหมือนเรือ...

              หลังถอนสมอกางใบ ก็มีแต่ต้องมุ่งหน้าออกไปผจญคลื่นลม โดยไม่รู้ว่าจะเจอกับมรสุมเข้าเมื่อไหร่ ตอนไหน สู้ไม่ไหวก็ลงไปนอนเล่นที่ก้นมหาสมุทรซะ เข้าทำนองอ่อนแอก็แพ้ไป หรือแม้แต่เรือใครที่ว่าแน่ๆ ก็ใช่จะมีอะไรมาการันตี รู้ตัวอีกทีอาจจะอับปางไม่เป็นท่า เพราะดันไปเปรี้ยวตีนเอากับโขดหินโสโครกใต้ทะเลเข้าสักโขดก็เป็นได้ เหมือนในกรณีของผม... เจ้าหินโสโครกที่ว่า มันชื่อ คาลตั้น เดรก...

              หน้าฉากของหมอนั่น คือนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ผู้อุทิศตนให้กับวิทยาศาสตร์ มุ่งวิจัยค้นคว้าหาหนทางเยียวยามวลมนุษยชาติ แต่ธาตุแท้เบื้องหลัง มันก็แค่ลูกคุณหนูเอาแต่ใจคนหนึ่ง ที่พร้อมเหยียบย่ำลงบนกองซากศพได้อย่างหน้าตาเฉยเพียงเพื่อสิ่งที่เขาปรารถนา

              คาลตั้น เดรกมีความเชื่อและความมุ่งมั่น หากแต่จิตใจอันบิดเบี้ยวของเขา ทำให้เขาดูแคลนชีวิตผู้อื่นว่าไร้ค่าเมื่อเทียบกับอุดมการณ์อันสูงค่าของตน เขามองผู้อื่นเป็นเพียงเครื่องมือ เป็นแค่ขั้นรองเหยียบให้เขาได้ก้าวเข้าใกล้จุดหมายของตัวเองมากขึ้นอย่างไม่รู้สึกผิดใดๆ ก็เท่านั้น...

              ผมเองก็เคยมีอุดมการณ์ มีความเชื่อในแบบของผม ชื่อ ‘เอ็ดดี้ บร็อค’ เคยเป็นความภาคภูมิใจของผม เวลาเห็นมันปรากฏขึ้นบนจอทีวีในผับ

              ผมเป็นเจ้าของรายการข่าวเรทติ้งดี ได้ฉายา ‘จอมขุดเจาะ’ เป็นตัวการันตี ประเด็นปัญหาอันไหนที่ผมเลือกขุดคุ้ย ผมจะเจาะลึกลงรายละเอียดให้ถึงแก่น ให้ถึงต้นตอ โดยไม่เคยยำเกรงต่ออำนาจมืดใดๆ ไม่เคยรับงานตามใบสั่ง มีเพียงความจริงเท่านั้นที่ผมเชื่อมั่นและให้ค่ากับมัน

              แต่แล้ว... เพราะดันไปขัดขาคนอย่าง คาลตั้น เดรกเข้า ผมเลยถูกหมอนั่นหมายหัว ต้องทนให้ไอ้ลูกหมานั่นบดขยี้เสียจนตรอก โฆษณารับสมัครงานบนหน้าหนังสือพิมพ์ฟรี ฉบับที่อยู่ในห้องผมถูก ปากกาเมจิกสีแดงกากบาททับอันแล้วอันเล่าจนแดงเถือก ผมถูกปฏิเสธตั้งแต่โทรไปขอนัดสัมภาษณ์งานเกือบทุกที่ เพียงเพราะผมคือ ‘เอ็ดดี้ บร็อค’

              ตลกดี... ทั้งที่ศรัทธาในความจริง ผมกลับต้องยอมใช้ชื่อปลอม เพื่อขอเข้าทำงานอะไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ กระนั้นก็ยังไม่มีที่ไหนยอมให้งาน ผมตกงานนานกว่าหกเดือน ถูกแฟนสาวคนสวยเท ทั้งที่พวกเรากำลังมีแผนจะแต่งงานกัน ผมไร้ที่ซุกหัวนอนจนต้องออกมาเช่าห้องในอพาร์ทเม้นท์เก่าๆ ซึ่งห้องตรงข้ามเป็น... ผมเรียกว่าไงดี... พั๊งค์?

              เสียงลีดกีต้าร์ไฟฟ้าในความทรงจำยังคงแผดก้อง ผมจำได้ว่ามันดังทะลุทะลวงผนังห้องเข้ามาอาละวาดในหัวยามค่ำคืนอย่างไร้อารยะ ผมจำได้กระทั่งว่าตัวเองกำหมัดแน่นแค่ไหน ใบหน้าร้อนวูบวาบยังไง ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าหน้าผมตอนนั้นคงขึ้นสีแดงก่ำ หลายครั้งที่ผมเดินไปกระชากประตูห้องเปิดผัวะ! (แน่ล่ะผมหมายถึงประตูห้องผมเองนี่แหละ) และได้แต่ยืนระงับอารมณ์อยู่ตรงนั้น อันที่จริงผมไม่ได้ก้าวเท้าพ้นขอบประตูห้องตัวเองออกไปเลยด้วยซ้ำ และผมไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงเรียกเจ้าของห้องฝั่งตรงข้าม...

              ใช่... ถึงแม้ไม่อยากจะยอมรับก็เหอะ ผมกลายเป็นไอ้ขี้แพ้โดยสมบูรณ์แบบไปแล้ว... ผมอาจจะอ้างได้ว่า นักเลงหัวไม้ในร้านของชำคุณนายเฉินน่ะมีปืนในมือ ผมทำถูกแล้วที่หดหัวอยู่หลังชั้นวางของ แต่กระทั่งไอ้พั๊งค์ห้องตรงข้าม ผมก็ยังไม่มีความกล้าพอจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้าเรียกร้องสิทธิของตัวเอง...

              เอ็ดดี้ บร็อค คนเดิมไม่อยู่แล้ว คนที่ไม่สนใจงานตามใบสั่ง คนที่กล้าตีแผ่คดีอาชญากรรม กล้างัดข้อกับอำนาจมืดอย่างไม่กลัวเกรงคนนั้น... จิตวิญญาณของเขาไม่หลงเหลืออยู่ในร่างนี้อีกแล้ว...

              นั่นคือสภาพเลวร้ายสุดๆ ของผมในตอนนั้น

              ผมคนเก่าอาจไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่การต้องถูกคนอย่าง คาลตั้น เดรก มาทำให้ชีวิตผมพังพินาศมันเป็นเรื่องน่าโมโห และเกินกว่าผมจะทำใจยอมรับได้...

              ยิ่งอดีตอันสวยงามในภาพจำ กับชีวิตปัจจุบันแตกต่างกันมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งโหยหาและหวนคิดถึงวันคืนเก่าๆ มากขึ้นเท่านั้น รู้ตัวอีกที ค่ำคืนหนึ่งสองเท้าก็พาผมมายืนบนถนน แหงนหน้าสบตากับคุณเบลวาเนียร์ที่อยู่ตรงหน้าต่างชั้นบน ตำแหน่งเดียวกับห้องที่ผมเคยอยู่มาก่อนเสียแล้ว

              เดี๋ยวนะ... นั่นไม่ใช่ชื่อคนรักเก่าผมหรอกนะ คุณเบลวาเนียร์เป็นแมวของแอนนี่ แล้วแอนนี่ต่างหากที่...

              ‘ถูกผมจัดการ’

              ...เธอนิยามความสัมพันธ์ที่เพิ่งสิ้นสุดลงของเราแบบนั้น...

              ในตอนที่ผมเอาแต่สาดความโกรธแค้น ก่นด่าสาปแช่ง และใส่ชื่อคาลตั้น เดรกลงในบัญชีหนังหมาของผม คำพูดของแอนนี่ประหนึ่งน้ำเย็นที่สาดใส่ใบหน้าผมเข้าอย่างจัง หลังจากที่ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเหลือ เอ่ยปากขอกลับไปคืนดีกับเธออีกครั้ง

              ‘ไม่ ไม่ได้ คุณทำมันเองนะเอ็ดดี้ ไม่ใช่เดรก ไม่ใช่สถานี... แต่เป็นคุณ’

              คำพูดของแอนนี่เรียกสติทั้งหมดของผมกลับมา อาจเพราะ... ลึกๆ แล้ว ผมรู้ว่าแอนนี่พูดถูก... ผมใช้ข้อมูลที่ได้จากการแอบดูอีเมลของเธอเป็นแหล่งข่าวในการสาวไส้คาลตั้น เดรก และไลฟ์ฟาวเดชั่น ต่อให้ทำไปเพื่อค้นหาความจริง แต่การได้ข้อมูลนั้นมาอย่างไม่ถูกต้องต่างหากที่เป็นต้นเหตุทำให้ชีวิตผมพังครืนไม่เป็นท่า สุดท้ายผมมันก็แค่ไอ้แฟนเฮงซวยที่หักหลังความไว้เนื้อเชื่อใจของเธอ เป็นผมเองที่ทำลายความเป็นเราลง

              ...แล้วชีวิตอันไร้ค่าที่เหลืออยู่ของผม ยังมีอะไรให้ต้องหวง ให้ต้องห่วงอีก...

              ความคิดนั้นคือตัวจุดชนวนให้ผมหยิบนามบัตรในกระเป๋าออกมา มันเป็นนามบัตรที่ผมได้มาเมื่อตอนหัวค่ำจากหญิงสาวคนหนึ่ง บนกระดาษสีขาว มีตัวอักษรแลดูสะอาดตาพิมพ์ชื่อไว้ว่า

              ‘ดร. ดอร่า สเกิจ์ช’ และอีกคำที่เตะตา... ‘ไลฟ์ ฟาวเดชั่น’

              และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้เจอ... เจ้านั่น...

              คืนวันนั้นผมตัดสินใจไปที่ห้องแลปกับดร. สเกิจ์ช มันเป็นคืนอันน่าสยดสยอง และหลังจากหนีตายออกมาได้ ผมก็รู้สึกแย่เอามากๆ

              ในช่วงแรกๆ ผมรู้สึกเหมือนมีไข้อยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะหน้ามืดเหมือนคนอดข้าว นานๆ จนป่วย แล้วเจ้านั่นก็เริ่มคุยกับผม มันเป็นแค่เสียงในหัวจนผมนึกว่าผมหลอนไปเอง กระทั่งผมได้ทำสิ่งเหลือเชื่อมากมาย

              ตลอดคืนแห่งการถูกไล่ล่า ผมรู้สึกกลับมามีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมโทษอะดรีนาลีนในสมอง ที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกกับการขี่มอเตอร์ไซค์ผาดโผนไปตามท้องถนน ต่อสู้กับพวกคนร้าย หลบหนีการตามล่าแบบไม่คิดชีวิต

              ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้นกลับเข้ามาในจิตวิญญาณของผมตอนไหน รู้แต่ผมรู้สึกไม่กลัวใครหน้าไหนอีกแล้ว ไม่กลัวแม้กระทั่งความตายขึ้นมาชั่วขณะ ถ้าให้พูดแบบเว่อร์ๆ หน่อยก็คือ ผมรู้สึกเหมือนเทวทูตสีดำกำลังสยายปีกโอบอุ้มผมไว้ ปกป้องผมจากอันตรายทุกรูปแบบที่ดาหน้าเข้ามายังไงยังงั้น เพียงแต่เจ้านั่นไม่ใช่เทวทูต... เจ้านั่นมันก็แค่เอเลี่ยนในคราบปรสิตเท่านั้น

              ‘ฉันชื่อเวน่อม... และแกเป็นของฉัน...’

              ‘ฉันรู้ทุกอย่าง เอ็ดดี้ ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแก... ฉันอยู่ในหัวแกไง...’

              เสียงของเจ้านั่นยังคงดังก้อง ทว่าอยู่แค่ในความทรงจำของผม ไม่ใช่ในหัวของผมอีกแล้ว...

              สาบานได้ว่าเสียงของเจ้านั่นเคยกวนประสาทผมเอามากๆ ไม่สิไม่ใช่เสียง ทัศนคติต่างหาก มันไม่ตลกเลยสำหรับคนไม่ถูกกับความสูงแบบผม ที่ต้องมาถูกลากขึ้นไปถึงยอดตึก ทำตัวเป็นคิงคอง ก่อนจะถูกปล่อยทิ้งดิ่งลงมาจากตึกสูงจนเกือบจะถึงพื้นค่อยถูกคว้าไว้ได้แบบเฉียดฉิว แล้วมันยังมีหน้ามาพูดว่า

              ‘ฉันเอาอยู่...’

              ...เอาอยู่กะผีสิ! มันทำผมเกือบตาย!...

              แต่ก็นั่นแหละผมยังมีชีวิตอยู่... จนถึงตอนนี้ผมก็ยังมีชีวิตอยู่...

              ‘แกตายฉันก็ตาย...’

              ‘ร่างกายแกมันดีเว่อร์ ฉันไม่ทิ้งง่ายๆ หรอก’

              ...ไอ้ปรสิตลวงโลก...

             ‘อีกอย่าง ฉันเริ่มชอบแกแล้ว...’

              …….

              “เอ็ดดี้... ทั้งหมด 132 เหรียญ”

              เสียงคุณนายเฉินดังขัดความคิดขึ้นมา ผมถึงรู้ว่าตนเองกำลังยืนใจลอยอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน ผมรีบหยิบงานออกมาจากกระเป๋า และตั้งท่าจะนับ

              “ขอโทษครับ เท่าไหร่นะ?”

              “132 เหรียญจ้ะ”

              “ห๊ะ! 132 เหรียญ!?”

              ผมรีบชะโงกลงไปดูในถุงบนเคาน์เตอร์ ว่าผมละเมอหยิบอะไรใส่ตะกร้ามาบ้าง... พักนี้ผมมีอาการใจลอยแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง บางทีก็ลืมว่าทำนั่นทำนี่ไปแล้ว เหมือนความทรงจำไม่ค่อยปะติดปะต่อ อาจเป็นผลจากการนอนไม่ค่อยพอรึเปล่านะ--

              “…….”

              ผมถึงกับพูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าอะไรอยู่ในถุง... กล่องช็อคโกแลตบาร์ทั้งล็อต กับถุงมันฝรั่งแช่แข็งปริมาณเท่ากับที่ผมกินคนเดียวได้เป็นเดือนนอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้น...

              ผมส่งเงินให้คุณนายเฉิน และหอบหิ้วอุ้มเอาทั้งหมดนั่นออกมา ถุงกระดาษที่ใส่ของสูงจนบดบังสายตา ทำให้ทัศนวิสัยของผมขณะเดินไปบนทางเท้าไม่สู้ดีนัก

              และจู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องโวยวายดังขึ้นรอบๆ ตัวผม รู้ตัวอีกที รถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งกำลังเสียหลัก ขับปีนขึ้นทางเท้าพุ่งตรงมาทางผม ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แต่ใช่ว่าจะเร็วจนผมไม่มีโอกาสกระโดดหลบ เพียงแต่... เสี้ยววินาทีนั้นผมดันเผลอคิดอะไรโง่ๆ ขึ้นมา ขาของผมเลยพลันไม่ยอมขยับ... มันก็แค่ความคิดสงสัยโง่ๆ ว่า...

              ...แกยังอยู่กับฉันรึเปล่า? เวน่อม...

    ==TBC.==

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in