*เพื่ออรรถรสในการรับชมภายหลัง เราจะไม่มีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญใดๆ ลงในบทความนี้
โอ แท-สึ ชายหนุ่มผู้พบว่าตัวเองอยู่ในห้องแห่งหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและทำอะไรผิด 15 ปีเต็มที่โดนกักขังทำให้จิตใจไม่ปกติ แล้วอยู่ๆก็ถูกปล่อยตัวออกมา เขาได้พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่ชื่อว่า มิโด เธอได้ช่วยเหลือเขาและเขาก็ได้ตามล่าหาความจริงว่าทำไมเขาถึงถูกขังนาน 15 ปี รวมถึงตามแก้แค้นคนที่ทำลายชีวิตเขาทุกอย่างอย่างสาสม
: เปิดเรื่องมาแบบงงๆ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ที่นี่ที่ไหน ฮัลโหลว = = แต่พอได้เริ่มสืบหาความจริงเท่านั้นล่ะคุณเอ๋ย! ตัวบทหนังเล่นกับความรู้สึกของมนุษย์ได้ค่อนข้างดีเลยนะ ไม่ว่าจะความรู้สึกรัก หลง โกรธ แค้น ยิ่งถึงจุดไคลแมกซ์นี่แบบว่า ตบหน้าฉันเถอะ ถ้าจะทำกันแบบนี้ !! ใครที่ชอบหนังแอคชั่นกระจายติดดิบเถื่อนหน่อย แนะนำให้ดู เพราะนอกเหนือจากฉากบู้ จะได้เห็นข้อคิดดีๆ และการวางโครงเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะ
A Beautiful Mind ภาพยนตร์ปี 2002 สะท้อนความเป็นมนุษย์บางมิติได้อย่างยอดเยี่ยม หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากชีวิตจริงของศาสตราจารย์ จอห์น แนช อัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ชาวอเมริกัน
: ดูเผินๆ อาจจะไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แต่ถ้าได้ลองดูตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เราจะเห็นได้ว่า คนเขียน สามารถเอาชีวประวัติมาเรียบเรียงใหม่ ใส่จังหวะการเดินเรื่อง และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้อย่างไม่สะดุด จุดเด่นอยู่ตรงที่ บทสามารถบอกเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปและสนับสนุนพฤติกรรมของตัวละครได้อย่างลงตัว (และจะบอกว่าการนำเสนอก็น่าสนใจด้วย) อาจจะไม่ใช่หนังรักหวานซึ้ง หรือ หนังแอคชั่นสุดระห่ำ แต่ถ้าเปิดใจดูสักนิด คุณจะพบมิติที่หลากหลายของความเป็นมนุษย์ได้ในหนังเรื่องนี้เลยล่ะ
สร้างมาจากนิยายสยองขวัญขายดีของ สตีเฟ่น คิง เรื่องราวของผู้คนในเมืองเล็กๆ ที่หนีตายไปอยู่ในซูเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง หลังจากที่เมืองทั้งเมืองถูกพายุหมอกมรณะครอบคลุม ในพายุหมอกนั้นมีอสุรกายแฝงตัวอยู่ และพร้อมที่จะกระชากวิญญาณของผู้ที่ผ่านเข้าไปในพายุหมอกให้หายไปพร้อมกับสายลม ความตายทำให้ทุกคนหวาดผวา ธาตุแท้แห่งการเอาชีวิตรอด เหยื่อรายต่อไปจะเป็นใคร และอสุรกายเหล่านั้นมันมาจากไหน ความดุร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่เห็นอยู่ภายนอกทั้งหมด มันกำลังคืบคลานเข้ามาสู่ซูเปอร์มาเก็ตสถานที่ๆ ทุกคนคิดว่าปลอดภัยที่สุด!!!
: ตัวหนังเรื่องนี้ เล่ากับความเชื่อ ในเรื่องต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเชื่อตัวเอง เชื่อคนอื่น เชื่อถึงอะไรต่างๆ นานา นอกจากจะค่อยๆ ไต่ระดับความลุ้น กระตุ้นอารมณ์คนดูจากจุดเฉยๆ ไปสู่ความระทึกว่าจะรอดกันหรือเปล่า (อุ๊บส์!เราจะไม่บอก ไปดูเอง) พอถึงตอนจบ ..... ความรู้สึกก็กลายเป็นหมุนคว้าง ทำไมถึงทำกับฉันได้ >< เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ดำเนินเรื่องได้ค่อนข้างดีนะ มีจุดเปลี่ยน จุดพีค และไต่ระดับอย่างสมดุล ชวนให้ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบเลยล่ะ
การสูญเสียลูกน้อยที่ยังไม่เกิดทำให้เคท และจอห์น หมดสิ้นความหวัง จนกลายเป็นความล้มเหลวของชีวิตแต่งงานและจิตใจที่เปราะบางของเคท ทั้งสองจึงตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กอีกคน ที่บ้านเด็กกำพร้า ทั้งจอห์นและเคทถูกดึงดูดอย่างประหลาดโดยเด็กหญิงตัวน้อยที่ชื่อเอสเธอร์ แทบจะในทันทีที่พวกเขาพาเอสเธอร์เข้าบ้าน เหตุการณ์ชวนสะกิดใจหลายอย่างก็เริ่มเผยโฉมหน้า ชักนำให้เคทเชื่อว่ามีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเกี่ยวกับเอสเธอร์ – เด็กน้อยซึ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นในรูปลักษณ์แสนดี ด้วยความกังวลว่าครอบครัวจะไม่ปลอดภัย เคทพยายามทำให้จอห์นและคนอื่นๆ มองทะลุเปลือกที่น่ารักของเอสเธอร์ แต่ไม่มีใครฟังคำเตือน จนกระทั่งมันอาจสายเกินไป...สำหรับทุกคน
: จุดเด่นของเรื่องนี้ คือการใช้โทนสี สลับกับบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกว่าคุมอารมณ์ของหนังไปในทิศทางเดียวกัน แต่ที่สุดยอดจริงๆคือ การเฉลยปมต่างๆ มันทำให้รู้สึกว่า ทั้งแปลกใหม่! และให้ตายเถอะ ฉันเกลียดเด็กนี่! การดำเนินเรื่องอาจจะไม่ว้าวอะไรมาก แต่การวางปม การวางตัวละคร และความสมเหตุสมผลที่มาที่ไปเรียกได้ว่าฝีมือเข้าขั้น แถมยังเลือกนักแสดงได้ดี
อ้อ และอีกอย่าง...ชื่อเรื่องสอดคล้องกับเนื้อเรื่องสุดๆเลยจ้า
ตำรวจศาล เท็ดดี้ แดเนียลส์ และคู่หูใหม่ของเขา ชัค โอล ได้ถูกเรียกตัวไปยังเกาะชัตเตอร์ เพื่อสืบสวนการหายตัวไปจากห้องขังอย่างลึกลับของฆาตกรผู้ชาญฉลาด ภายในโรงพยาบาลแอชคลิฟฟ์ ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ท่ามกลางจิตแพทย์และคนไข้โรคจิตบนเกาะที่ห่างไกลผู้คน พวกเขาได้เจอกับบรรยากาศแปลกประหลาดที่ผันแปรเสมอ ที่บ่งบอกให้พวกเขารู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นอย่างที่เห็น
: หนังสืบสวนสอบสวน ตามล่าหาความจริงที่พอเจอเข้าจริงๆ กลับทำให้เรารู้สึกอยากจะร้องสบถออกมาว่า เห้ยเดี๋ยว!? อย่างนี้ก็ได้เหรอ!! ตัวหนังเล่นกับความไม่รู้และความคาดไม่ถึงของคนดู (รวมถึงเราด้วย) บางทีในจุดเล็กๆ อาจจะมีส่วนสำคัญอะไรซ่อนเอาไว้ก็ได้นะ เอาจริงๆ แค่ความหล่อ เอ้ย! ฝีมือการแสดงของลีโอนาโด ก็คุ้มค่าเวลาดูแล้วล่ะ
เมื่อ Hiro ทราบว่าพี่ชายสารภาพรักกับเพื่อนสนิทวัยเด็กที่เขาชอบอยู่ ทำให้เขาโกหกพี่ชายเพื่อให้ไปเดทช้ากว่าเวลานัด 1 ชั่วโมง แต่ผลกลับทำให้พี่ชายต้องมาพบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต วันหนึ่งเขาโดนจับตัวไป เมื่อฟื้นขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองถูกจับมาพร้อมกับอีก 8 คนในห้องพิพากษาที่ไม่มีทางออก มีเพียงนาฬิกานับถอยหลัง แต่ละคนถูกใส่หมวกสัตว์ต่างๆ เอาไว้ พวกเขาได้พบว่ามีตุ๊กตาตัวหนึ่งได้ซ่อนเทปและกุญแจปริศนา พอดูเทปจึงเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น
: เป็น Movie ที่สร้างมาจากการ์ตูนของญี่ปุ่นในชื่อเรื่องเดียวกัน การเล่าเรื่องก็คล้ายๆ หนังลุ้นระทึก คือจำกัดการหนี และสร้างเงื่อนไขให้ตัวละครต้องตัดสินใจให้ตัวเองรอด โดยระหว่างนั้นก็จะค่อยๆ เผยปมออกมาทีละนิดๆ เรียกได้ว่า หมัดเด็ดมันอยู่ในตอนเฉลยนี่ล่ะ! ขนาดที่ว่ามินิมอร์คิดแล้วนะว่าตัวเองเดาทางได้ แต่พอเจอหมัดนี้เข้าไปถึงกับไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว จุดเด่นอีกอย่างอยู่ที่เนื้อเรื่องเน้นประเด็นเกี่ยวกับบาปทั้ง 7 ของมนุษย์ และความสำนึกในความบาปเหล่านั้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่ค่อยจะเห็นกันเท่าไหร่ในการ์ตูนญี่ปุ่น ใครสนใจ ลองไปหาอ่าน หรือจะหามาดูก็ได้นะจ๊ะ
ชาย 5 คนซึ่งร่วมมือกันก่อคดีโจรกรรมมาแล้วมากมาย โดยรับงานมาจากผู้ว่าจ้างอีกทอดหนึ่ง แต่อยู่มาวันนึงเกิดเหตุการณ์เรือขนส่งสินค้าเกิดระเบิดและมีผู้เสียชีวิตตำรวจรุดไปยังที่เกิดเหตุ และพบว่ามีผู้รอดชีวิต 2 คน คนนึงอาการโคม่า แต่อีกคนนึงถูกไฟคลอกเกือบ 60% ตำรวจพยายามสอบถามข้อมูลจากผู้รอดชีวิตว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของใคร แต่สิ่งที่ได้รับจากปากของผู้รอดชีวิตคือ ชื่อของคนๆนึง ที่มีชื่อว่า Keiser Soze
: หนังสืบสวนสอบสวนอีกแล้ว มาเล่นเกมจับผู้ร้ายกัน ! ถึงจะรู้แล้วก็เถอะว่าหนังเรื่องนี้มีการซ่อนกลจะหลอกเราเอาไว้ แต่ถ้าดูตามจริงๆ แล้ว ยังไงก็โดนหลอกอยู่ดี บางอย่างมันก็ดูเหมือนจะเผยให้เห็นได้ง่ายๆ เลยนะว่าฉันหลอกเธออยู่ แต่จะรู้ได้ไงว่า อันไหนหลอกจริง อันไหนหลอกเล่น มินิมอร์ชอบการนำเสนอบทบาทและการวางตัวคาแรกเตอร์ของตัวละครมากนะ เพราะแต่ละตัวเนี่ย มีจุดดีจุดด้วยต่างกันไป ที่สุดแล้วก็เล่นกับความคิดพื้นฐานมนุษย์ที่จะมองว่าใครเป็นยังไง เป็นพลอตที่ไม่ค่อยเห็นในหนังยุคนั้นเท่าไหร่ (หนังเก่ามากแล้ว)
เรื่องราวชีวิตของ 2 นักมายากลหนุ่ม โรเบิร์ต แองเกียร์ และ อัลเฟรด โบเดน ทั้งสองเเก่งเเย่งยิงชิงดี เเข่งขัน ชิงไหวชิงพริบเพียงเพื่อพิสูจน์ว่า ใครจะเหนือกว่าใครกันเเน่ ความอิจฉาริษยา นำมาสู่การเเข่งขันอันดุเดือด นับเเต่ทั้งสองได้พบกัน พวกเขาทั้งคู่ต่างนำพาชีวิตตัวเองเข้าสู่ผลลัพธ์ที่เเสนเลวร้าย เพื่อ มายากล..
: นอกจากการวางให้ตัวละครเด่นทั้งสองตัว มีความเท่าเทียมแบบ ฝีมือสูสี ขับสู้กันได้ในทุกยกแล้ว มินิมอร์ชอบการวางปมที่มีน้ำหนัก และการเล่นกับความอยากรู้ ของคนดู ด้วยการปล่อยให้คนดูเดาไปต่างๆ นานา เหมือนคนเขียนบทยืนอยู่ข้างหลังแล้วยิ้มรอเวลาที่จะตะครุบ! โดยไม่ให้เราตั้งตัว พอตั้งสติได้ ถึงได้ร้อง เห้ย! ออกมาทีหลังไปหลายวินาที เรื่องนี้อาจจะไม่ได้เน้นการวางปมที่ซับซ้อนอะไร แต่การดีไซน์เรื่องราวที่มีที่ไปและการแสดงโชว์ก็เรียกได้ว่าน่าทึ่งมากแล้ว หลายคนยกให้เป็นหนังขึ้นหิ้งของหนังมายากลเชียวนะ!
เรื่องราวของแม่และลูกอีกสองคนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์โบราณหลังโต ที่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จึงไม่มีทั้งไฟฟ้าและโทรศัพท์ใช้ ลูกทั้งสองคนก็ป่วยเป็นโรคประหลาดแพ้แสงแดดอย่างรุนแรง ถ้าโดนแสงแดดแม้แต่นิดเดียวอาจถึงแก่ชีวิตได้ และการปรากฏตัวของคนรับใช้สามคนที่เคยทำงานอยู่ในบ้านหลังนี้มาก่อน และเมื่อเวลาผ่านไปคนรับใช้สามคนนี้ก็ได้ค่อยเผยความจริงออกมาทีละนิด บวกกลับการกลับมาของสามีที่หายตัวไปในสงครามเป็นเวลานาน แต่กลับมาด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด
: ดูจบแล้วรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง โมโหโกรธาคนเขียนบท =^=!! เป็นหนังผีที่ไม่ได้อาศัยการใส่จังหวะตุ้งแช่ ออกมาเรียกความตื่นตกใจกลัว แต่เป็นการเล่นกับบรรยากาศ การคาดเดาไปเอง แล้วก็พฤติกรรมแปลกๆ ของคนในบ้าน เหมือนทุกคนพร้อมใจกันทำตัวมีลับลมคมในอะ! พอถึงจุดเฉลย เพี้ยะ!! โดนตบหน้าหัน มาหลอกกันอย่างงี้ได้ยังไง ใจร้าย!
นิโคลัสได้รับของขวัญวันเกิด จาก น้องชายในวันเกิดครบรอบ 48 ปีคือการแนะนำให้รู้จักกับบริษัท CRS โดยนิโคลัสรู้เพียงว่าเค้าจะได้เล่นเกมที่ทำให้ ชีวิตมีรสชาติขึ้น หลังจากเริ่มเกม เขาก็เจอกับเรื่องราว น่าฉงน และระทึกขวัญทีละนิด โดยที่ตัวเค้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นเป็นเกมหรือ เป็นจริงกันแน่
: *เป็นหนังที่อยากจะสบถหยาบคายใส่แบบไม่ยั้งแต่ทำไม่ได้ ด้วยมาดกุลสตรีไทยมินิมอร์ขอห้ามใจไว้ก่อนจ้ะ *
พล็อตดี เล่นกับตัวละครไม่พอ เล่นกับคนดูด้วย จะเห็นได้ว่า คนเขียนบทพยายามคุมโทนเรื่องในความไม่รู้เอาไว้ เพื่อมาเฉลยแบบปังเดียวในตอนท้าย ล่อลวงให้ยิ่งอยากรู้ แล้วสวนใส่ทีเดียวแบบหมัดฮุกแล้วชนะน๊อคไปเลยจ้า! เป็นงานขึ้นหิ้งของหนังแนวหักมุมที่เชื่อเลยว่า ใครได้ดูก็ต้องอยากกรีดร้องใส่แบบมินิมอร์นี่ล่ะ!!
แต่ละเรื่องที่ขนมาแนะนำ คนที่เคยดูแล้วจะต้องเห็นด้วยกับมินิมอร์แน่ๆ ว่า มันหักได้น่าโมโห ชวนให้รู้สึกอยากจะกรีดร้องใส่หน้าคนเขียนเรื่องสุดๆ แต่ว่า เราไม่ได้ดูเพื่อบันเทิงอย่างเดียวนี่นา เราดูเพื่อให้ได้ไอเดียบรรเจิดด้วย ลองมองการวางความสัมพันธ์ของตัวละคร การวางซีนเหตุการณ์ของเรื่อง ตำแหน่งของจุดพีค บทพูด ลักษณะนิสัยที่ Support การกระทำของตัวละคร หรือแม้แต่การผูกปม โอ้ยย แค่พูดก็เยอะแยะแนวทางที่จะเอาไปใช้ได้แล้ว เราอาจจะเขียนนิยายรักโรแมนติก แต่ให้มีปมหักมุมแบบนี้บ้างก็ได้นะ หรือจะเอาไปเป็นแนวทำหนังสั้น ต่อยอดเป็นบทละคร เยอะแยะ แล้วแต่ไอเดียจะพาไปเลยจ้า
เขียนโดย Minimore Trainnee : Little Swan
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in