เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตำนานพิภพใบใหม่ -โดย lowprofile-kizu_amakusa
Chapter 1 : Rocky

  • ถ้าพวกเราเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า ฝน หิมะ และแสงอาทิตย์ ผ่านตัวหนังสือ มันคงจะดี

    เพียงแค่มีรอยรั่วจากข้างบน และมีฝนตกลงมาถึงที่นี่บ้าง…..



    ในความมืดมิด “ก้อนหิน” เด็กชายวัย16 ปี ผู้มีผิวสองสีแบบชาวอาเซียนโบราณ นั่งแกว่งขาอยู่บนขอบหน้าต่างในห้องนอนเล็กๆ แสงไฟจากไดฮัทซึ เสาแกนขนาดใหญ่ซึ่งรับน้ำหนักทั้งหมดของทวีปใหม่ ส่องสะท้อนนัยตาสีดำขลับของเขา… “ไดฮัทซึประกอบขึ้นจากแผ่นหินอัคนีขนาดใหญ่ 3ล้านแผ่น…… ”

    เขาพึมพำออกมาเบาๆ ... “หน้าที่หลักคือรับน้ำหนักของทวีป, หอสังเกตุการณ์, ป้อมปราการ ...เส้นทางลำเลียง

    ส่วนบนสุดคือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าสำรอง ถัดมาคือพื้นที่ของหอบังคับการและสำนักงานของกองวิจัย ด้านล่างเป็นระบบอัล-ตราไฮดรอลิก มีสปริงยาว10กิโลเมตรที่ฐาน…” เขาหยุดพึมพำกับตัวเองแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ไดฮัทซึ

    “เฮ้อออออ” เขาถอนหายใจพรางล้มตัวลงบนเตียงเล็กๆ ที่อยู่ติดกับหน้าต่าง พรุ่งนี้เป็นวันสอบวัดระดับวันแรก เขาไม่ได้มีความมั่นใจ และก็ไม่ได้พอใจที่จะต้องถูกประเมินด้วย “มันเป็นหน้าที่” พ่อเคยบอกกับเขาไว้ว่าอย่างนั้น

    ข้างๆ เตียงนอนของเขา มีกรอบรูปเล็กๆ วางอยู่บนตู้ไม้เตี้ยๆ รูปของก้อนหินในชุดนักเรียนสีเทายืนอยู่ข้างๆ พ่อและแม่ในชุดนักวิทยาศาสตร์เต็มยศ ทั้งสองกำลังโอบกอดลูกคนเล็กของพวกเขา เด็กตัวเล็กๆ ในชุดสูทเต็มรูปแบบของเจ้าหน้าที่กองงานวิจัย

    “วันแห่งเกียรติยศ”

    พ่อเขียนตัวบรรจงที่ด้านบนของรูป เขามองรูปภาพอยู่เพียงครู่หนึ่ง ความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังตำหนิตัวเองอยู่ตลอดก็ทำให้เขาต้องหันหน้าหนีไปมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ครั้นจะข่มตาลงนอน เขาก็นอนไม่หลับ ถึงจะพยายามไม่คิดมากแต่ยังไงซะไอ้เรื่องที่ใครๆ ต่างก็ยกย่องให้น้องชายของเขาเป็นอัจฉริยะก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา

    “ทราย” น้องชายที่อายุห่างกัน4ปี แต่กลับจบการศึกษาระดับสูงในสาขาฟิสิกส์ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ หนำซ้ำเมื่อ3เดือนก่อนยังถูกบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยวิจัยอีก การสอบในวันพรุ่งนี้จึงเป็นเหมือนการวัดคุณค่า ถ้าสอบผ่านพอจะรอดตัวจากสายตาดุหมิ่นดูแคลน แต่ถ้าไม่ผ่าน ความรู้สึกด้อยค่าราวกับขยะคงยิ่งถาโถมเข้าสู่ใจ ...
    “ ความมืด และความเงียบ นายเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ดีเท่าไหร่เลย”

    2 ชั่วโมงผ่านไป เขารู้ตัวว่าไม่สามารถหลับอย่างสนิทได้เลยหลังจากพยายามข่มตานอนอยู่พักใหญ่ ก้อนหินผลักตัวเองขึ้นมาจากที่นอน แล้วเดินออกจากห้องของตนลงไปข้างล่าง บางทีการหาอะไรใส่ท้องสักนิดอาจช่วยเขาได้

    เขาเดินตรงมาที่บันไดผ่านห้องนอนของน้องชายที่ยังมีแสงสีฟ้าสลัวๆลอดออกมาจากช่องด้านล่างของประตู เสียงกรนของพ่อที่ดังลั่นออกมาจากห้องตรงข้ามก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด

    ก้อนหินไม่เคยชอบบันไดของบ้าน มันยาวมากจนดูผิดสัดส่วน อาจเป็นเพราะบ้านทุกหลังในอูเดอร์เป็นบ้านทรงสูงที่ชั้นสองจะสูงจากชั้นที่หนึ่งมาก เพื่อช่วยให้ชาวเมืองปลอดภัยเวลาที่ก๊าซโพรเพนเกิดรั่วไหลจากท่อส่ง แต่ก็เพราะมันถูกออกแบบมาอย่างนั้นแหละจึงทำให้รู้สึกเหมือนเดินลงไปในหลุมมืดๆ ทุกครั้งที่เดินตอนกลางคืน

    เสียงกรนของพ่อเบาลงเรื่อยๆ ครู่หนึ่งกลับมีเสียงประหลาดแว่วมา

    “ครืดๆ ๆ ”

    ก้อนหินก้าวลงจากบันไดช้าๆ เขาค่อยๆ ย่องเข้าหาที่มาของเสียงซึ่งเหมือนจะดังมาจากห้องครัว

    “วาน บุยเตน” เขาคิดขึ้นในใจ

    วาน บุยเตน เป็นหมาดัชชุนสามขาของเจษ เด็กหนุ่มหน้าหล่อที่อยู่ข้างบ้าน มันชอบใช้ขาง่อยๆ ของมันปีนเข้ามาคุ้ยขยะบ่อยๆ ... ก้อนหินมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้นจนเดินพ้นเสาปูนใหญ่กลางบ้าน เงาของคนจากแสงตะเกียงสลัวๆ ที่ลอดออกมาจากช่องประตูห้องครัวทำให้เขารู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เสียงของวานบุยเตนแล้วหล่ะ

    เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วค่อยๆชะโงกหน้าเข้าไปดูที่มาของเสียง
    ตะเกียงถูกวางอยู่ที่พื้นใกล้ๆกับประตู ห้องครัวจึงสว่างเป็นวงเล็กๆเท่านั้น พอกวาดสายตาเข้าไปในความมืดจึงพบว่ามีเงาคนหันหลังอยู่ที่หน้าต่าง ก้อนหินพยายามเพ่งมองให้แน่ใจ ซึ่งแม้เงาดำนั้นจะไม่ขยับตัวเลยซักนิดแต่ก็พอดูรู้จากท่าทางว่ากำลังแง้มม่านแอบดูอะไรบางอย่าง

    ครู่หนึ่ง เงาดำเริ่มขยับ “ครึดๆ ๆ ๆ ” มันคือเสียงของปากกาที่จดข้อความลงในกระดาษอย่างรวดเร็วนี่เอง

    “แม่ครับ” ก้อนหินพูดขึ้นเบาๆ หลังจากที่ยืนจ้องอยู่นาน

    ร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง หันควับกลับมาอย่างรวดเร็ว ก้อนหินถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นแสงจากแววตา ร่างนั้นเดินตรงมาที่ก้อนหิน ตัวใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นแม่!!! ใครกัน!! แสงสว่างจากตะเกียงเริ่มสาดส่องไปถึงสิ่งที่ตรงเข้ามาใกล้ มันเริ่มสว่างมากพอที่จะเห็นว่าเป็นแม่จริงๆ นั่นแหละ

    “แม่!! ตกใจหมด”

    ก้อนหินพูดขึ้นด้วยความโล่งใจ แม่ที่ห่มผ้านวมคลุมทั้งตัวหัวเราะร่าพลางพูดขึ้นว่า

    “ก็แม่น่ะสิ หินนึกว่าอะไรหล่ะ”

    “โจรไงหล่ะแม่” เขาตอบทันที

    แม่ได้ยินคำตอบของก้อนหินยิ่งขำหนักขึ้นอีก

    “เจอผียังง่ายกว่าเจอโจรอีกนะลูก โจรคนสุดท้ายของอูเดอร์ตายไปตั้งแต่ก่อนแม่จะเกิดอีก”

    แม่หยิบตะเกียงขึ้นจากพื้นพลางพูดต่อ

    “นอนได้แล้วลูก พรุ่งนี้ต้องไปสอบแต่เช้า”

    แม่วางมือลงบนหัวของเขาเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านไป ก้อนหินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง..แม่คงไม่รู้ว่าคำพูดธรรมดาๆ ของแม่จะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและคลายความกังวลเกี่ยวกับการสอบได้

    ..อยากน้อยแม่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากเขามากมาย..
    เขาเดินตรงไปที่ตู้เย็น หยิบนมขึ้นดื่ม ขณะนั้นเอง เสียงผิวปากของทรายแว่วมาเบาๆ จากด้านบน แม้แต่น้องชายผู้เงียบขรึมของเขายังผิวปากอย่างมีความสุข เขายิ้มพลางเดินกลับขึ้นห้องนอนไป


    เสียงบทสนทนาที่ดังแว่วมาพร้อมกับแสงแดดแรกในยามเช้าปลอมๆที่ส่องมาจากเทงโจ(ท้องฟ้าจำลอง) ทำให้ก้อนหินสะลึมสะลืออยู่ในห้วงกึ่งหลับกึ่งตื่น เสียงแม่เหล็กไฟฟ้าขับเคลื่อนจากยานของหน่วยพยาบาลสลับกับเสียงของผู้คน ระหว่างที่งัวเงียก็พอจับใจความได้คร่าวๆว่าคุณยูเอะเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน ได้เสียชีวิตด้วยสาเหตุประหลาด
    มันฟังดูเหมือนเจ้าหน้าที่พยาบาลคุยกัน ฟังได้ศัพท์บ้างไม่ได้ศัพท์บ้าง เท่าที่จับใจความได้คือคุณยูเอะมีเลือดไหลออกจากผิวหนัง กล้ามเนื้อเปื่อยหลุดออกเป็นชิ้นๆ ลูกตาถลนออกมาจากเบ้า ก้อนหินจินตนาการตามเสียงพวกนั้น มันเริ่มน่ากลัวจนเขาต้องตัดสินใจปลุกตัวเองด้วยการลืมตาขึ้น เขามองเพดานห้องที่คุ้นชินอยู่ซักพัก

    ....ฝันแปลกจังแฮะ... เขาคิดในใจก่อนจะตัดสินใจลุกออกจากเตียงเสียที


    ระหว่างที่ก้อนหินอาบน้ำ เรื่องการตายของป้ายูเอะยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เขายกมือขึ้นมาดูรอยประทับสีเขียวที่ข้อมืออยู่หลายรอบ รอยประทับที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเป็นเด็กที่มีร่างกายปกติ มีมันสมองในระดับปานกลาง และมีแนวโน้วที่จะอายุยืน ซึ่งแตกต่างจากรอยประทับสีน้ำเงิน อันบ่งบอกถึงสติปัญญาระดับสุดยอด ร่างกายที่อ่อนแอ และแนวโน้มที่จะอายุสั้น พอคิดถึงจุดนี้เขาก็เริ่มคิดทบทวนเนื้อหาในวิชาประวัติศาสตร์

    ...ที่นี่เคยถูกเรียกว่า “อาเซียน” บรรพบุรุษของเราชาวอาเซียนได้ทำงานเสียสละเพื่อโลก ยอมทนอยู่กับสารพิษมากมายมาหลายชั่วอายุคน แต่ละนามสกุลที่นี่ล้วนมีบรรพชนเป็นบุคลากรระดับหัวกะทิทั้งนั้น ถึงแม้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปได้เกิดโรคร้ายทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และอายุเฉลี่ยของเราก็น้อยลงเรื่อยๆ ....อืม...แต่ก็ไม่ใช่การตายในรูปแบบที่เกิดกับป้ายูเอะแน่ๆ ความฝันประหลาดๆ เมื่อรุ่งเช้ายังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา

    บนโต๊ะอาหาร ก้อนหินกวาดสายตามองไปรอบๆ สมาชิกครอบครัวทั้งหมดอยู่กันพร้อมหน้า พ่อนั่งดูข่าวจากจอโฮโลแกรม แม่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเรียงงานวิจัยของทรายให้เป็นหมวดหมู่ ทรายก็นั่งหน้านิ่งยังกับท่อนไม้ตายเหมือนทุกๆวัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูปกติ

    “พ่อครับ มีข่าวของป้ายูเอะมั้ยครับ” ก้อนหินพูดขึ้นพลางตักผลไม้เทียมใส่จาน

    พ่อยังคงนั่งดูข่าวราวกับไม่ได้ยินเสียงของก้อนหิน ครู่หนึ่ง

    “ทำไมถึงต้องมีหล่ะ” พ่อถามเขากลับ

    “เมื่อเช้า ผมได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่แว่วมาจากบ้านป้ายูเอะ”

    “แว่ว..”

    พ่อพูดขึ้นลอยๆ ในขณะที่ยังดูข่าวจากโฮโลแกรม ไม่นานนักพ่อจึงหันหน้ามาพูดกับก้อนหินว่า

    “ตอนเช้าพ่อรดน้ำต้นไม้ยังเจอป้ายูเอะอยู่เลย ว่าแต่เมื่อคืนนอนกี่โมงกี่ยามกัน”

    คำพูดของพ่อทำให้ก้อนหินลังเล มาคิดๆดูแล้ว สิ่งที่เขาได้ยินในตอนเช้ามืดนั่นมันอาจจะเป็นแค่ความฝัน แต่มันชัดเจนเกินกว่าที่จะเป็นฝัน ทั้งเสียงยานยนตร์ ทั้งเสียงเจ้าหน้าที่คุยกันตั้งหลายคน มันไม่น่าที่จะไม่มีใครได้ยิน เขามั่นใจเช่นนั้นจึงหันไปหาแม่

    “แม่.. แม่ได้ยินเสียงยานยนตร์มั้ยครับ ช่วงเช้ามืดหน่ะ จอดอยู่ที่ข้างบ้านเรานี่ตั้งนานนะ”

    แม่จัดเอกสารวิจัยของทรายเสร็จพอดี เธอปิดกระเป๋าพลางหันมาตอบเขาว่า

    “แม่ว่าน่าจะเป็นยานยนตร์ของเทศบาลมากกว่ามั้ง... รีบทานข้าวเถอะ วันนี้แม่จะไปส่งเอง”

    เมื่อได้ยินดังนั้น ก้อนหินจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้าให้หมด ไม่ค่อยมีใครสนใจจะฟังเรื่องที่เขาเล่า มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทุกคนในบ้านมีบุคลิกเงียบขรึมกันหมด ยิ่งน้องชายของเขายิ่งเงียบเข้าไปใหญ่

    นอกจากบรรยากาศของบ้านแล้ว ไอ้เครื่องหมายสีน้ำเงินบนข้อมือของทุกคนยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่ ก้อนหินทานอาหารเสร็จแล้วลุกพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว เขาตรงเข้าไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากบ้าน

    ปัง!! เขาปิดประตูบ้านเสียงดัง พ่อของเขาถึงกับส่ายหัว ทุกคนในบ้านไม่เข้าใจว่าเขาจะหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่ทำไม

    “วัยรุ่นก็ยังงี้แหละลูก” แม่หันไปพูดกับทราย ทรายที่ทานข้าวไปเพียงครึ่งเดียวลุกออกจากโต๊ะ ทันที เขาไม่ได้พูดอะไรกับใครทั้งนั้น แม่กับพ่อหันมามองหน้ากัน พวกเขาได้แต่จับมือกันและกันไว้ ไม่มีเสียงอะไรเลยหลังจากนั้น ทั้งบ้านเงียบสงัด


    ก้อนหินนั่งอยู่บนยานโดยสารสาย6 ซึ่งกำลังมุ่งตรงไปที่สถานีสอบ ศูนย์อำนวยการสอบวัดระดับเป็นอาคารโกธิคที่มีโครงสร้างเป็นเหล็กสีดำขนาดใหญ่ แค่เห็นส่วนยอดของอาคารที่เป็นประภาคารสีดำสนิทก็ทำให้เขารู้สึกประหม่าได้แต่ไกล ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดกับเขาคนเดียวแน่ๆ ในยานเต็มไปด้วยผู้โดยสารที่เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ทุกคนสวมชุดนักเรียนสีเทา มีตราประทับสีเขียวที่ข้อมือ และแทบจะมีสีหน้าแบบเดียวกับก้อนหินในตอนนี้

    “หึหึหึ...ยานของคนโง่” เด็กผมขาวที่นั่งอยู่แถวถัดจากเขาสบถออกมาลอยๆ ก้อนหินหันหน้ากลับไปมองเจ้าของเสียง

    “โชตะ” ก้อนหินพูดขึ้นพลางพยักหน้าทักทายเพื่อน

    “มีปัญหาอะไร ร๊อคกี้” เพื่อนสนิทบางคนเรียกก้อนหินว่า Rocky โชตะเป็นเพื่อนร่วมห้องของก้อนหินตั้งแต่ชั้นเด็กอ่อน เป็นไปได้ว่าเส้นผมสีขาวที่ตัดกับผิวสีเข้ม และรูปร่างที่สูงโปร่งเกินวัยส่งเสริมให้เขามีบุคลิกที่โดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก เขามักจะพูดสิ่งที่คิดออกมาดังๆโดยไม่ลังเล อาสาในสิ่งที่เด็กอื่นไม่กล้า และคอยปกป้องเพื่อนๆ ที่ร่างกายอ่อนแอเสมอ โชตะมีพี่ชายฝาแฝดอยู่คนหนึ่ง เป็นเด็กเผือกที่ชาวอูเดอร์เชื้อสายนิฮงให้ฉายาว่า อิซานางิ (เทพผู้สร้างชีวิต) ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้อยู่บนยานลำนี้

    “นี่จะไม่กังวลกับเรื่องสอบเลยซักนิดใช่มั้ยเนี่ย” ก้อนหินพูดขึ้นพลางเอี้ยวตัวมาหาโชตะ

    “ความกังวลมักจะเกิดขึ้นกับคนไม่รู้... ถ้ารู้แล้ว พร้อมแล้ว จะกังวลอะไรอีก” โชตะยืดอกพูดด้วยความมั่นใจ ก้อนหินได้ยินดังนั้นถึงกับอดขำไม่ได้

    “เลิกลอกเลียน ยูตะ ซะทีเถอะ... มันไม่ทำให้นายดูฉลาดขึ้นหรอก”

    “บางทีนายอาจจะสอบไม่ผ่านเป็นปีที่ 3 ซะด้วยซ้ำ!”

    จอน เด็กฝรั่งผมทองตัวอ้วนที่นั่งอยู่ข้างๆโชตะพูดขึ้นดังลั่น เด็กๆทุกคนแอบขำกันคิกคัก บางคนถึงกับกลั้นไม่อยู่หัวเราะก๊ากออกมา โชตะมองไปรอบๆ เขาเห็นเพื่อนๆยิ้มแย้มและอารมณ์ดีขึ้น เขายิ้มที่มุมปากแล้วทอดสายตาขึ้นไปบนยอดประภาคารสีดำทะมึนตรงหน้า ..โง่ก็ยังยิ้มได้ละกัน.. เขาคิดในใจ


    การสอบดำเนินไปตามกำหนดการ หลังจากที่ทำข้อสอบผ่านไปครึ่งวัน เด็กๆ ที่เกร็งกันก่อนสอบก็พอจะคลายความกังวลไปบ้างแล้ว เวลาในการพักเที่ยงในช่วงสอบส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปกับการนั่งสมาธิ ทุกๆคนในอูเดอร์ถูกสอนให้นั่งสมาธิสงบจิตใจก่อนที่จะถูกทดสอบเสมอ ก้อนหินก็เช่นกัน หากแต่ในจิตใจของเขาไม่ได้สงบนิ่ง.. เสียงของเจ้าหน้าที่ที่พูดคุยถึงการตายของป้ายูเอะเมื่อเช้ายังคงดังซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเขา

    ...ถ้ามันเป็นแค่ฝัน เขาก็น่าจะลืมๆ มันไปได้แล้ว แต่สิ่งที่เขาได้ยินในตอนเช้านั้นมันสมจริงมากๆ แต่มันจะเป็นจริงได้ยังไงในเมื่อตอนเช้าพ่อยังเจอกับป้ายูเอะอยู่เลย

    “ปี๊ปปป... ปิ๊ป ปิ๊ป” สัญญาณเสียงบอกเวลาเข้าห้องสอบดังขึ้น ก้อนหินลุกออกจากระเบียง การสอบไม่ได้อยู่ในหัวของเขาอีกแล้ว เขาตั้งใจที่จะออกจากห้องสอบให้เสร็จเร็วที่สุด ตรงกลับไปที่บ้านแล้วใช้เวลาสองชั่วโมงก่อนที่พ่อแม่จะกลับมาถึงสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อรุ่งเช้า

    ..แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิด....

    ข้อสอบในช่วงบ่ายนั้นง่ายกว่าข้อสอบที่น้องชายของเขาติวให้ ก้อนหินจึงทำได้แทบจะทุกข้อ แม้บางข้อจะต้องใช้เวลาคิดวิเคราะห์อยู่นาน ไอ้เรื่องที่ว่าจะทำบ้างมั่วบ้างแล้วรีบออกจากห้องสอบเร็วๆ นั้นจึงเป็นไปไม่ได้เพราะกว่าก้อนหินจะออกจากห้องสอบก็ตอนสัญญาญบอกหมดเวลาดังพอดี

    “สุดยอด!!! ”เขาอุทานกับตัวเองขณะเดินออกจากห้องสอบ

    เรื่องของป้ายูเอะหายไปจากความคิดของเขา การพักผ่อน ผลคะแนนที่น่าจะออกมาดี และการยอมรับจากพ่อแม่ เข้ามาอยู่ในหัวของเขาแทน

    “ ไง ร๊อคกี้” โชตะที่ออกจากห้องสอบเป็นคนแรก เดินเข้ามาตบบ่าเขาเบาๆ

    “ง่ายกว่าที่ทรายติวให้เยอะเลย ฮ่าฮ่าฮ่า ” ก้อนหินพูดไปยิ้มไป โชตะทำหน้าเบื่อโลกแล้วพูดออกมาว่า

    “เบื่อจริงจิ้งงงง ใครๆ ก็บอกว่าง่าย คนที่ออกจากห้องสอบคนแรกตะหากหล่ะ ถึงจะมีสิทธิพูดแบบนั้น หุหุหุ”

    การพูดไปยักคิ้วข้างเดียวไป คงมีแต่โชตะเนี่ยแหละที่ทำได้

    “อาจจะจริงของนาย… ไปก่อนนะเพื่อน วันนี้รีบ”

    ก้อนหินพูดพลางปลีกตัวออกจากโชตะ เขารีบวิ่งเข้าลิฟต์แก้วไปโดยไม่สนใจโชตะ ในใจคิดเพียงแต่ว่าวันนี้เป็นวันดีจริงๆ ส่วนไอ้เรื่องหูแว่วตอนเช้านั่นมันไร้สาระจริงๆนั่นแหละ ลิฟต์แก้วเลื่อนจากชั้นห้าลงมาถึงชั้นG ก้อนหินเดินออกจากลิฟต์ด้วยอาการเบิกบานสุดๆ เขาหยุดสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดราวกับว่าอากาศที่เต็มไปด้วยเขม่าเทาๆ ของอูเดอร์เป็นเรื่องโกหก

    ..แต่ความจริงนั้นก็ไม่หนีไปจากเขานานนัก หลังจากที่สูดอากาศเข้าไปเต็มปอดก้อนหินมองเห็นทรายยืนรอเขาอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าของอาคาร

    ..น่าแปลก.. เพราะปกติหากพ่อหรือแม่ไม่ได้ไปรับทรายที่หน่วยวิจัย ทรายจะโทรมาบอกให้เขาไปรับ แต่นี่ก็ไม่ได้มีข้อความอะไรขึ้นที่นาฬิกา อีกอย่างถึงทรายจะเป็นอัจฉริยะแต่ยังไงซะเขาก็ยังเป็นเด็ก ร่างกายก็อ่อนแอ เท่าที่เขารู้ทรายไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียวด้วยซ้ำ ก้อนหินเห็นทรายยืนรออยู่จึงรีบวิ่งเข้าไปหาทันที

    “ทรายมาได้ยังไงเนี่ย มีใครมาส่งรึเปล่า”

    ก้อนหินรีบถามด้วยความเป็นห่วง ทรายส่ายหัวไปมา เขามาที่นี่ด้วยตัวเองงั้นหรือ! ก้อนหินแปลกใจมากจึงซักต่อ

    “พ่อกับแม่รู้มั้ยเนี่ย... แล้วทรายมาคนเดียวแบบนี้ได้ยังไง มันไม่ปลอดภัยนะ”

    ทรายไม่ตอบคำถามใดๆทั้งนั้น สีหน้าของเขายังดูนิ่งสงบ แต่ก้อนหินรู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ

    “กลับบ้านกันเถอะ” ก้อนหินจุงมือทรายพลางออกเดินไปข้างหน้า แต่..

    ทรายไม่ยอมเดิน เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมพลางพูดขึ้นว่า


    “ป้ายูเอะตายแล้วนะ ทรายเห็นหมดทุกอย่าง”


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in