เดินขึ้นมาจากสถานีเมโทร จะมองเห็นจตุรัสอยู่บริเวณกลางย่าน Martim Moniz มองเลยไปก็จะเห็นรถรางจอดเรียงกันอยู่ ด้วยความจับต้นชนปลายไม่ถูก เราตัดสินใจเดินเข้าไปถามพนักงานขับรถรางท่านหนึ่งซึ่งจอดอยู่ ได้ความว่าให้ไปยืนรอรถรางรอบถัดไปกับชาวประชาที่ยืนรออยู่ด้านโน้นประมาณ 30 คนตรงบริเวณที่เหมือนกับป้ายรถเมล์ตรงนั้นเลยอิหนู
ดูจากจำนวนคนแล้วผู้ร่วมโดยสารกับเราในขบวนนี้ถือว่าเยอะพอสมควร ฉันและโบว์ไปยืนต่อแถวได้สักพัก รถรางจากบริเวณที่จอดอยู่ก็เคลื่อนที่มาจอดบริเวณป้ายรถเมล์ (จริง ๆ มันคือป้ายรถราง) แต่ ๆ ๆ ๆ เราขึ้นคันนี้ไม่ได้ค่ะ มันแน่นไปหมดแล้ว อย่างในรูปที่เห็นด้านบนเลย รถรางคันหนึ่งใช่ว่าจะบรรจุคนได้มากมายสักเท่าไหร่ เราจึงต้องจำใจยืนรอคันต่อไป แต่ที่น่าตกใจไปกว่านัั้นเมื่อรถรางคันแรกนั้นปิดประตู และเตรียมออกจากป้าย จู่ ๆ ก็มีคนกระทำตนประหนึ่งเป็น ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์จาก Spider man เกาะด้านข้างของรถรางคันนั้นออกไปด้วย เข้าใจว่าเป็นวิธีการเดินทางที่ประหยัดที่สุดวิธีหนึ่งในลิสบอนนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมันคง ฟรี ! แต่พี่ท่านทำประกันชีวิตแล้วหรือยัง ?
หลังจากผ่านเรื่องราวตื่นเต้นเรื่องแรกของวันนี้ไปแล้วนั้น รถรางคันต่อไปก็เข้ามาจอดเทียบป้าย คราวนี้เราได้ขึ้นอย่างแน่นอน แม้จะไม่ได้นั่งก็เหอะ ทันทีที่ก้าวขึ้นรถก็เจอกับคนขับหน้าตายิ้มแย้ม ใจดี แบมือมาตรงหน้าฉัน เขาจะเก็บค่ารถหล่อนนั่นเองย่ะ ฉันจ่ายเงินไปพร้อมกับรับเงินทอนมาแล้วเดินผ่านผู้คนที่ยืนเบียดเสียดกันอยู่เพื่อไปยังด้านหลังสุดของรถราง ซึ่งพอมีพื้นที่ให้ได้หายใจ หายคอและมีกระจกให้มองออกไปยังด้านนอก ก็พบกับรถรางคันหลังจากคันของเราขับตามมา เนื่องจากในช่วงนี้ใกล้กับเทศกาลคริสมาสต์เต็มที คนขับรถรางในบางขบวนจึงเป็นคุณลุงซานต้าหนวดเครายาวเฟิ้มสีขาวอย่างที่เห็น น่ารักไปอีกแบบ
ฉันและโบว์ตกลงกันว่าวันนี้เราจะต้องไปยังจุดชมวิวที่เห็นเมืองเก่าและทะเลสุดลูกหูลูกตาในวันนี้ให้ได้ ซึ่งจากการสืบค้นข้อมูล (พูดซะดูดีนะแก จริง ๆ แล้วก็คือเปิดอากู๋กูเกิลนั่นแหละ แหะ ๆ) เราพบว่ารถรางของลิสบอนจะนำพาเราไปยังสถานที่ที่ว่ามานี้ได้
หลังจากที่รถรางลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยเรื่อย ๆ มีบ้างที่คนขับจะแวบลงจากรถเพื่อไปจัดการเคลื่อนย้ายสายไฟด้านบนรถรางให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเคลื่อนรถไปต่อ ช่างเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่เสียจริง amazing Portugal land ! ในที่สุดวิวด้านหน้าเริ่มคุ้นตา เหมือนเคยเห็นในรีวิว พวกเราเตรียมยื่นมือไปกดออดของรถราง เพื่อลงยังป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุด
และแล้วเราก็มาถึงจุดชมวิวย่าน Alfama หรือที่ตามภาษาโปรตุเกสเขาเรียกกันว่า Miradouro de Santa Luzia ที่ ๆ ฉันจะเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญต่อมาให้ทุกคนฟัง
มิราโดโร่ (ฉันไม่รู้ว่าเค้าออกเสียงยังไงกัน แต่ฉันเรียกทุกจุดชมวิวที่โปรตุเกสนี้ว่า .มิราโดโร่.) หรือ viewpoint นี้ เป็นหนึ่งแลนด์มาร์กที่หากมีโอกาสได้มาโปรตุเกส ใคร ๆ ก็ต้องมีรูปที่มุมนี้ด้วยกันทั้งนั้น เนื่องจากหากมองลงไปด้านล่างจะเห็นย่านชุมชนเก่าแก่ Alfama และถัดไปจะเป็นท้องทะเลสีฟ้าใส ใต้ฟ้าสวย เราถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอที่บริเวณนี้ ฉันค่อนข้างผิดหวังกับวิวที่เกือบจะสวย หากไม่มีรถเครนยักษ์ และสิ่งก่อสร้างบางส่วนเบื้องหน้ามาบดบังทัศนียภาพ แต่โดยรวมแล้วก็ยังฟินอยู่ดี
เรื่องระทึกขวัญเรื่องแรก เริ่มขึ้นหลังจากถ่ายรูปกันสักพัก มีคุณยายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาฉัน คุณยายพยายามอธิบายว่าเธอพลัดหลงกับทัวร์ที่กำลังจะไปขึ้นปราสาทอะไรสักอย่าง และเธอต้องการติดต่อคนหนึ่งในทัวร์นั้นว่าเธอจะไปรอทุกคนยังร้านค้าตรงข้ามกับจุดชมวิวนี้แทน ก่อนที่เธอจะยื่นเบอร์โทรศัพท์ที่ต้องการติดต่อมาให้ฉัน ด้วยความที่ฉันและโบว์ตกลงกันแล้วว่าเราไม่อาจไว้เนื้อเชื่อใจใครได้ ฉันจึงไม่กล้าที่จะยื่นโทรศัพท์ของฉันไปให้คุณยายใช้ ฉันจึงเป็นคนกดเบอร์ตามที่คุณยายให้มา รอสักพักก็มีคนรับสาย ก่อนที่ฉันจะพบว่า ฉันมันก็แค่คนโทรผิด บอกเขาฉันโทรผิด ฮ่วย !
จากนั้นคุณยายจึงเริ่มทำการค้นหาเบอร์ใหม่ ฉันกดโทรออกอยู่หลายครั้งก็พบว่าไม่สำเร็จ คุณยายจึงจำใจเป็นผู้แพ้และเดินจากไปหาความช่วยเหลือจากผู้อื่นแทน เป็นอันจบเรื่องระทึกขวัญเรื่องแรก
เรื่องระทึกขวัญถัดมา เกิดขึ้นต่ออย่างรวดเร็ว หลังจากที่พวกเรายืนถ่ายรูปจนพอใจแล้ว เราจึงเดินตามผู้คนที่ดูแล้วน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกันไปตามทางเดินเรื่อย ๆ เพื่อที่จะไปดูว่าแถวนี้ยังมีแลนด์มาร์กอะไรให้ฉันเก็บอีกบ้าง
ทางเดินหลังจากพ้นกำแพงในรูปด้านบนเป็นทางเดินแคบ ๆ ที่ต้องเดินทีละ 1 คน นำทีมการเดินโดย เพื่อนโบว์คนเดิม เพิ่มเติม คือ ฉ้ันเดินต่อท้าย เดินกันไปได้สัก 20 เมตร ฉันรู้สึกได้ว่ากระเป๋า Kanken สัญชาติสวีเดนของฉันมันลอยขึึ้นจากไหล่ ! แม้เพียงน้อยนิด แต่ฉันก็รู้สึก ฉันไม่พรูดพร่ำทำเพลง หันขวับกลับไปมอง มนุษย์ที่เดินตามมาด้านหลัง เป็น 2 หนุ่มสาวอายุไม่น่าเกิน 30 ปี ที่แต่งตัวแล้วยังไงก็มองดูเป็นนักท่องเที่ยวเหมือน ๆ กัน แต่ที่ทำให้ฉันมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า ไอ้นี่แหละ มันยกกระเป๋าตรูแน่ คือ มือของผู้ชายที่เดินตามหลังฉันมันคงยกลงไม่ทัน จึงยังทำเป็นแสร้งจับอยู่ที่ผ้าพันคอบริเวณหน้าอก ฉันยืนจ้องหน้าพวกมันอยู่สักครู่หนึ่ง สองหนุ่มสาวนี้จึงตัดสินใจเดินผ่านฉันและโบว์ไป
ด้วยความได้เปรียบทางด้านภาษา (ตรงไหน ?) ฉันจึงพูดกับโบว์ที่เดินนำอยุ่ด้านหน้าด้วยภาษาไทยบ้านเกิดดังนี้
"แก เมื่อกี้เรารู้สึกว่าเราเกือบโดนล้วงกระเป๋าว่ะ"
"เฮ้ย ! จริงดิ"
"จริง แกเห็นผู้ชายกับผู้หญิง 2 คนข้างหน้านั่นมั้ย เรารู้สึกว่ากระเป๋าเราลอย เราเลยรีบหันไปมอง เชื่อป่ะ ว่ามือของไอ้คนผู้ชายมันยังยกค้างอยู่ตรงผ้าพันคอมันอยู่เลย แต่อาจไม่ใช่ก็ได้มั้ง"
"แกลองเปิดกระเป๋าดูเดี๋ยวนี้เลย"
ฉันลองเปิดกระเป๋าดูแล้ว ไม่มีอะไรที่หายไป และอีกอย่างของมีค่าทั้งหมด ซึ่งได้แก่ เงิน และโทรศัพท์ฉันเก็บไว้ในกระเป๋าเล็กด้านหน้า ด้วยความมองโลกในแง่ดี หรืออะไรไม่รู้ ฉันอาจจะคิดมากไปเอง เราจึงตัดสินใจเดินต่อ จนมาถึงทางแยกด้านหน้า มีคนกลุ่มหนึ่งรอข้ามถนนไปยังตรอกฝั่งตรงข้ามซึ่งในกลุ่มนั้นมีชายหญิงที่ฉันเคยหมายหัวไว้ว่าพวกนางต้องเป็นแก๊งล้วงกระเป๋าอย่างแน่นอน และในจังหวะที่พวกเรากำลังจะเดินไปถึงคนกลุ่มนี้ จู่ ๆ ก็มีรถตำรวจคันหนึ่งมาจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับเป่านกหวีดโหวกเหวก โวยวายอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่ตำรวจนายนั้นจะตัดสินใจประกาศให้ได้ยินโดยทั่วกัน
" Beware ! They are pickpocket "
พร้อม ๆ กับชี้ไม้ชี้มือไปยังกลุ่มคนที่กำลังรอข้ามถนน ป่าวประกาศได้สักสองสามครั้งสองหนุ่มสาวที่ฉันหมายหัวไว้ก็เดินแยกออกไปจากกลุ่มคนตรงนั้นอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับสายตาของทุกคนตรงนั้นที่จ้องมองไป ไม่ต้องมีคำบรรยายใด ๆ อีกแล้ว ฉันก็เข้าใจได้ในทันทีว่า " เกือบไปแล้วกู "
ไวเท่าความคิด ฉันหันไปพูดกับโบว์ " เกือบไปแล้ว "
และนี่ก็คือประสบการณ์การเดินเที่ยวในโปรตุเกสวันแรกของฉัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าฉันเกือบโดนล้วงกระเป๋า จากที่เคยแต่ฟังคนอื่นที่เดินทางมาเที่ยวยังยุโรปเล่าให้ฟังกันปากต่อปาก จนวันนี้ฉันได้มาเจอกับตัวเอง ต้องขอบคุณในประสาทสัมผัสอันว่องไวของตนเอง ที่แม้จะมีคนยกกระเป๋าให้ลอยจากบ่าฉันเพียงน้อยนิด ฉันก็สามารถจับสัมผัสนั้นได้ ยิ่งกว่า " ริวจิตสัมผัส " ก็ " แตงจิตสัมผัส " นี่แหละค่ะคุณ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in