เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#รีวิวบายลูซินลูซิน
[นิยายภาษาอังกฤษ] The Maze Runner โดย James Dashner
  • *ยกมาจากทวิตเตอร์บน @lucindah17 แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อความเป็นระเบียบ



    *ที่เราจั่วไว้ว่าเป็น "นิยายภาษาอังกฤษ" หมายถึงเราไม่ได้อ่านเล่มไทยนะคะ (แต่อาจมีไปค้นเวอร์ชัั่นไทยเพิ่มเติมด้วยบ้างก่อนเขียน) แล้วเกือบทั้งหมดที่เป็นอังกฤษเราอ่านบน kindle ดังนั้นก็เลยจะไม่มีรูปตัวเล่มจริงให้ดูค่ะ ._.

    The Maze Runner (5 เล่มจบ+1 เล่มย่อย)
    *เล่มย่อยนี้คือสปินออฟเหตุการณ์ระหว่างภาค อ่านก็ได้ไม่อ่านก็ได้
    ผู้เขียน: James Dashner
    แนว: ดิสโทเปีย/Science/Young Adult/Adventure/Horror

    รีวิวจากเวอร์ชั่น kindle *มีฉบับแปลไทยกับ Enter Books 5 เล่มเท่ากัน

    แต่ แต่เราอ่านไม่จบทั้งชุดนะคะ!  ขีดเส้นใต้แรงๆ ก่อนเลย 
    จำนวนที่เราอ่านจริงคือเล่ม 1+2 (ประมาณครึ่งหนึ่ง) **สาเหตุอยู่ในสปอยล์ด้านล่างโน้น
    และหลายเดือนแล้วก่อนเขียนเพิ่มเติมตรงนี้ ดังนั้นส่วนไหนตกหล่นขออภัยล่วงหน้านะคะ


    ก่อนอื่นคือ เราดองเรื่องนี้ไว้นานมากกก ด้วยความที่ดูเหมือนดิสโทเปียทั่วไป5555 แต่หลังอ่านบทแรก การบรรยายค่อนข้างดึงดูดเราได้ เหมือนได้กลิ่นสนิมเหล็ก ความแห้งแล้ง หดหู่ ทึมเทาจากตัวหนังสือ

    ฉากแรกคือในลิฟต์กล่องดำปริศนา "โธมัส" ตัวเอกของเรื่องลืมตาขึ้นมาในสภาพจำอะไรไม่ได้นอกจากชื่อของตัวเอง แล้วก็ค่อยๆ ถูกดึงขึ้นมาถึงพื้นด้านบน มาโผล่ในสถานที่ประหลาดมีกำแพงสูงที่เรียกว่า The Glade (ฉบับภาษาไทย น่าจะแปลตรงตัวว่า 'ทุ่ง') ที่นั่น เขาได้พบกับกลุ่มเด็กชายจำนวนหนึ่งที่มามุงดูตน แล้วเอาแต่พูดเรื่องแปลกๆ ที่เขาไม่เข้าใจ

    แต่ทุกคนเป็นเหมือนเขา คือลืมตาขึ้นมาในกล่องประหลาด คนก่อนหน้าช่วยดึงขึ้นมา ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปวันๆ โดยไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ พ่อแม่อยู่ไหน เกิดอะไรขึ้น จำอะไรไม่ได้ เว้นแต่ชื่อของตัวเอง

    เมื่อมองไป นอกจากที่โล่งๆ อาคารหน้าตาประหลาดที่เหมือนกระท่อมเบี้ยวๆ แปลงผัก ยังมีกำแพงสูงตระหง่านที่ล้อมรอบสถานที่นี้ไว้ คนอื่นๆ บอกโธมัสว่านั่นคือ 'วงกต' ทีี่จะขยับเลื่อนปิดเปิดเองได้ และต้องปิดในตอนกลางคืน เพื่อไม่ให้ "อะไรบางอย่าง" เข้ามา

    และนี่ก็คือฉากเปิดของนิยาย young adult dystopia ที่เด็กๆ ถูกจับมารวมกัน โดยไม่รู้ว่าใครทำ ทำทำไม และต้องออกไปยังไง


    หลังจากเราได้รู้เรื่องพร้อมโธมัส ได้เห็นกำแพงสูง เห็นวงกตประหลาดที่ออกไปไม่ได้ และรู้ว่ามีแต่ the runner ถึงจะออกไปวิ่งข้างนอกนั้นได้เพื่อวาดแผนที่และหาทางออกจากวงกต บวกกับตัวละครใน The Glade อีกหลายคนก็ไม่ค่อยมองเขาในแง่ดีมาแต่แรก และยังมีศัพท์แสงแปลกๆ ที่ไม่มีในพจนานุกรมจากเด็กที่นี่พูดข้ามหัวโธมัสไปมา เราจะเริ่มเข้าใจว่าวิธีการของคนเขียนคือจะทำให้เราได้สัมผัสกับกลิ่นความแห้งแล้ง ความหวาดระแวง และความหม่นของเรื่อง กดดันคนอ่านด้วยความไม่รู้ (พอๆ กับที่ตัวโธมัสไม่รู้) 

    ตอนกลางวันมีงานอะไรบ้าง แบ่งกลุ่มยังไง กลางคืนหลัง the maze ปิดแล้วบรรยากาศจะเป็นยังไง แล้วแมลงสอดแนมที่ส่องแสงประหลาดว่า wicked รวมถึง 'สัตว์ประหลาด' อย่าง the griever ที่คนใน The Glade ร่ำลือกันอีกล่ะ? ทั้งหมดนี้เราจะได้รู้ไปพร้อมกับโธมัส ซึ่ง....กินเวลาช่วงปูเรื่องนานทีเดียว55

    เรื่องเริ่มมาก็วุ่นอยู่แล้ว แต่โธมัสยังไม่ทันทำความเข้าใจอะไร "เด็กผู้หญิง" คนหนึ่งก็โผล่มาในกล่องดำ และทุกคนก็แตกตื่นหมด เพราะทั้งกลุ่มก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเด็กผู้หญิงแม้แต่คนเดียว

    การมาของเทเรซา เป็นคีย์ที่ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป แล้วหลังจากนั้น...วงกตทีี่ปกป้อง The Glade และเด็กๆ ไว้ก็หยุดการทำงาน...

    ซึ่งหมายถึง จะไม่มีปราการปกป้องพวกเขาจากอะไรก็ตามที่อยู่ข้างนอกโน่นแล้ว




    ปกหลักเวอร์ชั่นอังกฤษที่เห็นบ่อยสุด
    เนื้อเรื่องหลักมี 3 เล่มจบ บวกขยายปมอีก 2.5 เล่ม


    ปมเรื่อง+สปอยล์


    เรื่องจริงๆ เริ่มต้นหลังจากที่เทเรซามาถึงค่ะ แล้วความพัง (ของโธมัส) ก็คือ หล่อนดูเหมือนจะรู้จักเขาแค่คนเดียว ทั้งที่เขาไม่รู้ว่าเราเคยเจอกันที่ไหน

    ก่อนหน้านี้ Gally เด็กกร่างคนหนึ่งในเรื่อง และหนึ่งในกลุ่มแอนตี้โธมัสแต่แรกเห็น เคยชี้นิ้วใส่โธมัสแล้วบอกว่าเคยเห็นเขามาก่อน ซึ่งตัว Gally เนี่ย เคยถูกสัตว์ประหลาด The Griever จับไป และจิ้มใส่ (เราไม่เคยดูหนัง แต่นึกภาพดูน่าจะอารมณ์ยุงกัด/ผึ้งต่อย แบบจิ้มแล้วปล่อยสาร55) เด็กที่ถูกเจ้าตัวนี้ฉีดสารใส่จะทำให้มีอาการแปรสภาพ คลั่งไป และอาจทำให้ความทรงจำส่วนหนึ่งกลับมา และเป็นความทรงจำก่อนที่พวกเขาจะมาโผล่ใน The Glade

    Gally ก็เลยไม่เคยไว้ใจโธมัส รวมถึงพยายามหาทางจับผิด เดินตามติด จนกระทั่งเกิดเหตุร้ายต่อมา 

    แต่ระหว่างนั้น โธมัสก็พยายามเรียนรู้การใช้ชีวิตใหม่ 

    ตามสูตรของเรื่อง เมื่อปูมาว่า The Runner คือกลุ่มคนที่พิเศษที่สุด ออกไปโลดแล่นข้างนอกโน้นได้ โธมัสก็จะได้ไต่เต้าจาก greeny (อารมณ์เบ๊ขั้น novice55) ไปจนกลายเป็น runner ที่โดดเด่นที่สุด เด่นขนาดมินโฮ (คู่ชิป--แค่ก ไม่ใช่!) ซึ่งเป็น runner ยุคแรกสุดก็ยังยอมรับว่าตัวเองสู้โธมัสในบางเรื่องไม่ได้ ด้วยความที่โธมัสมาใหม่ จึงไม่มีความหวาดกลัว เพราะไม่เคยเห็นเวลาสัตว์ประหลาด Griever ลากคนไปต่อหน้าต่อตา หรือเห็นใครตายจังๆ แต่จุดนั้นกลับเป็นข้อเด่นที่ทำให้โธมัสกล้าที่จะแหวกกรอบที่พวกเด็กๆ ใน The Glade เคยเข้าใจไป เขาเลยพุ่งออกไปเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนที่ติดอยู่วงกตข้ามคืน และกลายเป็นคนแรกที่อยู่ข้างนอกโน้นจนถึงเช้าได้โดยไม่กลับมาเป็นศพ

    ปริศนาของเรื่องหลังจากนั้น สปอยล์ ด้วยนะคะ แยกได้เป็น

    1. ความทรงจำที่ Gally เห็นโธมัสคืออะไร เป็นเรื่องจริงหรือไม่
    2. ทำไมเทเรซาถึงรู้จักโธมัส (แม้ตอนแรกจะหลับอยู่ตลอด)
    3. แมลง wicked ที่โธมัสเห็นว่ามาสอดแนมมาจากไหน
    4. The Glade คืออะไร มีอยู่จริงหรือเป็นสถานที่เพื่ออะไรกันแน่
    5. พวกเขาทั้งหมดเป็นใคร มาจากไหน มีพ่อแม่หรือเปล่า หรือถูกใครจับมา
    6. ทำไมโธมัสถึงรู้เรื่องต่างๆ เป็นอย่างดี มักจะแวบคิดหาทางออกที่เด็กที่อยู่มาหลายปีนึกไม่ออกได้
    7. หลังจากนั้น เมื่อเทเรซาฟื้นแล้ว ทำไมโธมัสถึงเป็นคนเดียวที่เทเรซาส่งโทรจิตคุยด้วยได้
     
    แต่ละปมมีคำตอบ มากบ้างน้อยบ้าง และบางปมก็เหมือนไม่ตอบเลยค่ะ555 ซึ่งเป็นเหตุให้เราอ่านเล่ม 1 จบ ต่อเล่ม 2 ไปสักครึ่ง ก็เลยพอ (หลังจากนั้นแอบไปอ่านสปอยล์ต่างประเทศมาด้วย ก็เลยรู้สึกว่าเซ้นส์เราน่าจะตรงอยู่ ._. )

    ด้านล่างนี้สปอยล์ปริศนาจริงจังเลยนะคะ ไล่ไปทีละข้อเลย
    ขออภัยที่คลุมดำเยอะยังกะเอกสารลับซีไอเอนะคะ55555 เราจะพยายามไม่ทำให้ผู้ที่บังเอิญสอดส่ายสายตามาพบเสียอรรถรส 
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    1. สิ่งที่ Gally เห็นเป็นเรื่องจริงค่ะ โธมัสเป็นหนึ่งในนักวิจัยที่ทำงานสร้างวงกตจำลอง ประมาณว่าเพื่อวิเคราะห์การตอบสนองและการเอาตัวรอดของเด็กๆ หลังถูก The Griever จิ้ม Gally ก็เลยจำเรื่องก่อนที่จะถูกส่งมาที่ The Glade แห่งนี้ได้ (เช่นเดียวกับบางคนที่โดนจิ้มไปแล้วนึกได้)

    2. เหตุผลข้อที่ทำไมเทเรซารู้จักโธมัส ตามข้อด้านบนเลยค่ะ เพราะเทเรซาก็เป็นหนึ่งในนักวิจัย

    3. แมลง wicked เป็นตัวสอดแนมจริงๆ ค่ะ มาจาก ผู้อำนวยการโครงการวิจัย ซึ่งโผล่มาตอนท้ายๆ ในสภาพรายงานการวิจัย 

    ในเรื่องจะมีประโยคปริศนาที่เขียนไว้บนแขนของเทเรซาตั้งแต่ถูกดึงขึ้นมาจากกล่องเลยว่า 'WICKED is good' เราไปค้นตรงนี้มา ไทยแปลตรงๆ เลยว่า 'วิคเค็ตนั้นดี' ซึ่งตอนแรกเราแอบรู้สึกแปลกๆ แต่ต่อมาก็เข้าใจค่ะ

    ถ้าเป็นตัวศัพท์ wicked เป็น adj ทำนองเจ้าเล่ห์ โฉด ชั่วร้าย คนคดในข้องอในกระดูก แต่พอแปลว่า วิคเค็ต ก็เลยรู้สึกแต่แรกว่าอาจเป็นชื่อแทนกลุ่มคน ตรงนี้ฝั่งแปลไทยจะได้คำบอกใบ้ก่อนฝั่งอังกฤษ55 ตอนท้ายก็เลยได้รู้ว่า wicked เนี่ย คือกลุ่มนักวิจัยที่ทดลองจำลองภาพลวงตาเสมือนจริงในวงกต ซึ่งโธมัสและเทเรซาสังกัด โดยมีจุดประสงค์หลักคือหาทางออกให้โลกที่ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังแล้ว (Apocalypse)

    และฉบับอังกฤษ ใช้ชื่อเป็นตัวใหญ่ทั้งหมดว่า WICKED พอรวมกับ is good เลยดูขัดแย้ง ชวนให้ไม่สบายใจชอบกล (เหมือนที่เป็นมาทั้งเรื่องตั้งแต่แรก55) แล้วพออ่านไป ก็เลยได้รู้ว่ามันเป็นชื่อเฉพาะจริงๆ เป็นอักษรย่อด้วย 

    ซึ่งคำนี้ย่อมาจาก World In Catastrophe: Killzone Experiment Department ที่โธมัสบังเอิญไปคุ้ยเจอป้ายแปะอยู่หลังเถาวัลย์นั่นเอง

    4. The Glade คืออะไร?

    ข้อนี้หลังจากอ่านไปสักพัก จนถึงตอนที่วงกตไม่ยอมปิดตอนกลางคืน และฟ้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามวันเวลาเหมือนเดิม คนอ่านหลายคนอาจจับความแหม่งๆ ได้ และถ้าเดาตามนั้นก็ถูกค่ะ ที่นี่เป็นวงกตลวงตาที่ออกแบบมาเพื่อการทดลอง ไม่ใช่โลกที่มีอยู่จริง เหมือนภาพท้องฟ้าจำลองที่ฉายไว้บนครอบแก้วอีกที ดังนั้นเด็กๆ ทั้งหมดในนี้ก็เลยถูกส่งมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกับที่สร้าง The Glade 

    5. ในเมื่อเป็นแบบนี้ เด็กๆ ใน The Glade ก็...ใช่เลยค่ะ พวกเขาเป็น ตัวอย่างทดลองที่คัดสรรมาจากกลุ่มเด็กที่มีสติปัญญา/ความสามารถสูงกว่าปกติ มีทั้งที่ลักตัวมา/ถูกส่งมาด้วยความสมัครใจ

    6. ทำไมโธมัสรู้โน่นนี่เยอะจัง 

    อันนี้ว่ากันตามตรงเลย เขาเป็นพระเอกที่เฮงจนเกินงาม55555 (ประชดด้วยความเอ็นดูเล็กน้อย แหะๆ) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโชค ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกล้าของตัวโธมัสเอง แต่อีกส่วน เป็นดังที่บอกไว้ในสปอยล์ข้อบนๆ ค่ะ ก็พี่ท่านอยู่ในกลุ่มคนวางเขตทดลองนี่หว่า ถึงจะมีบางส่วนที่โธมัสลืมไปแล้ว แต่คำตอบบางอย่างก็ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกแหละ ทำให้บางทีเกิดอาการยูเรก้าแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

    7. ประเด็นที่คลุมดำไว้ข้างบนกันสปอยล์ เรายังอ่านไม่ถึงส่วนที่อธิบายเรื่องนี้ค่ะ (อาจจะอยู่ท้ายเล่ม 2 หรือเล่ม 3 เป็นต้นไป) แต่หลังจากค้นมาก็พบว่าเกี่ยวพันกับสปอยล์ข้อบนๆ ดังเดิม คำตอบคือ ความสามารถเทเลพาทีของเทเรซาเป็นส่วนหนึ่งที่ได้มาจากโครงการทดลอง




    สรุปท้าย

    (ย้ำอีกทีว่าเราอ่านไม่จบทั้งสามเล่ม)

    เนื้อเรื่องในเล่ม 1 จะวนเวียนกับปริศนาของ The Glade การหาทางออกจากที่นี่ของเด็กๆ ซึ่งมีทั้งส่วนตื่นเต้น แล้วก็ เราให้คะแนนความ horror ดีเลย บางช่วงที่บรรยายตอนแอบ The Griever คือลุ้นมากว่าตัวประหลาดนี่จะตามมาจกใส่ไหม บวกกับช่วงไขปริศนาค่อนข้างระทึกทีเดียว ถ้าคนชอบแนววางไม่ลง เล่ม 1 คือดีมากกก

    แต่พอเข้าเล่ม 2 เซ็ตติ้งเปลี่ยนไป (อันนี้ไม่นับว่าสปอยล์ เพราะก็คงเดากันได้ว่าจบเล่ม 1 ต้องออกจากวงกตได้) ความสัมพันธ์ของตัวละครซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้น มีเด็กกลุ่มใหม่เข้ามาปน และเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เราวางกลางทาง

    สิ่งที่เราไม่ชอบนัก

    1. การวางความสัมพันธ์ระหว่างโธมัสและเทเรซา เทเรซาจะมีคำพูดที่เหมือน motto ของเธอว่า  'WICKED is good' เราไม่ว่าอะไรถ้าเธอเชื่อแบบนั้น แต่การกระทำหลายๆ อย่างก็ชวนให้เราขมวดคิ้วนิดนึง เพราะพอพูดบ่อย ก็ฟังดูเป็นความเชื่อฝังหัว แล้วส่งผลกับการตัดสินใจหลายๆ อย่างของเทเรซาที่วางบทดีมาตลอดเล่ม 1 (แต่ตอนท้ายเล่ม ราว 75-80% ของเล่ม ก็เริ่มรู้สึกตรงส่วนนี้เหมือนกัน)

    2. ความสัมพันธ์กับเบรนดาที่แทรกเข้ามาในเล่ม 2  ที่จริงเราอ่านสายฮาเร็มได้ และโธมัสไม่ได้ควบสอง55 แต่เรากลับรู้สึกว่าพอเพิ่มเลิฟไลน์เข้ามา ทำให้ตัวเนื้อเรื่องโดยรวมจืดชืดลง เราอยากรู้มากกว่าว่าโลกในขณะนี้จริงๆ เป็นยังไง ไหนจะเรื่องปรากฏการณ์ไข้วาบอีก

    The Scorch Trials เนี่ยโครงสร้างน่าสนใจมาก แต่เราดันไม่อินตัวละครเท่าเล่มแรก ก็เลยส่งผลให้ไม่ชวนให้อ่านต่อนัก ผิดที่เราเองแหละ ._.

    3. และเพราะความที่เป็นนิยายไตรภาคแบบไม่ได้วางประเด็นมาจบในตัวทีละเล่ม บางประเด็นทิ้งข้ามเล่ม เราเข้าใจว่าถ้าอ่านถึงเล่ม 3 จบจะเก็ตประเด็นทุกอย่าง แต่กว่าจะถึงตอนนั้นมันกลับลดทอนความน่าสนใจระหว่างทางไปแล้ว โดยเฉพาะประเด็นช่วงกลางเล่ม 2 ถึงเล่ม 3 ที่เทเรซาจะทำตัวเสมือนตัวร้ายมากขึ้น555 ก็จะโยงกลับไปถึงข้อแรกที่เราไม่ชอบ เพราะเธอเชื่อว่า 'WICKED is good' โดยที่ทำให้คนอ่านคลางแคลงใจว่ามันดีจริงเหรอ


    แต่ แต่ นะคะ!

    นิยายชุดนี้ก็เป็นชุดที่หลายคนชอบนะ บางประเด็นที่เรามองว่าเก็บไม่ดี ไม่เคลียร์ หรือมีช่วงเร่งรีบ ในเมื่อเราอ่านไม่จบทั้งสามเล่ม ก็จะเทไปทางที่ว่า ผู้เขียนอาจจงใจไปเฉลยในเล่มสุดท้าย ควรลองด้วยตัวเองดีกว่าค่ะว่าชอบแนวนี้ไหม

    ถ้าใครลองเล่มหนึ่งแล้วไปรอด อ่านต่อได้จนจบ เราว่าน่าจะได้ภาพรวมของดิสโทเปียวันสิ้นโลกที่มีฟีลสยองขวัญลุ้นระทึกได้ดีเลย เราไม่ได้ดูฉบับภาพยนตร์ แต่โทนสีในโปสเตอร์และ trailer เท่าที่เห็น เขา
    ทำให้สัมผัสถึงบรรยากาศหม่นๆ ทะมึนๆ ได้ดีทีเดียว

    ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจอยากย้อนกลับมาอ่านชุดนี้อีกรอบ แล้วอ่านจบจริงๆ ก็ได้

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in