ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณร้อยล้านคน
ในทุกๆ วัน สามเปอร์เซ็นของจำนวนนั้น คือผู้โดยสารในสถานีโยโกฮาม่า
สามล้านคนต่อวัน ในสถานีโยโกฮาม่า
สถานีที่เชื่อมต่อหลายสาย สามารถพาเราไปถึงชิบูย่าได้ภายในสี่สิบนาที
เราว่าบันไดเวรนั่นต้องมีคนใช้ไม่ต่ำว่าวันละแสน
สิบปีก่อน สถานีรถไฟใต้ดินยังเป็นเอกเทศจากภายในสถานีโยโกฮาม่า
แต่ก็มีความพยายามจะสร้างการเชื่อมต่อนั้นอยู่
ก็คงใช้เวลาหลายปี เพราะตลอดเวลาสิบเอ็ดเดือนที่เราอยู่นั่น
มันสร้างตั้งแต่ก่อนที่เราจะไปอยู่ ตอนจะกลับแล้วมันก็ยังไม่เสร็จเลย
ไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามันสร้างไว้ตรงไหน (สามปีผ่านไปกลับไปอีกทีแล้วถึงเห็น)
เห็นแต่บันไดบรรลัยนั่น, เกลียดกันจนสนิทกัน
คนแสนคนเดินดาหน้าพร้อมกันด้วยความกว้างหน้าแถวประมาณสิบเมตร
ไม่เคยเนิร์ดพอจะคำนวนว่ามันจะกลายเป็นแถวที่ความยาวเท่าไร
แต่เสียงเท้าสองแสนเท้าที่สลับย่ำรัวแบบไม่เว้นช่องว่าง (เมโทรนอมคือเทมโพ่เกินสองร้อยแน่นอน)
ไม่รู้จะบรรยายจริงๆ ว่าเหมือนเสียงอะไร
จะบอกว่าเหมือนเสียงกองทัพทหารในหนังโบราณก็น้อยไป
มันดังก้องแบบนั้น แต่หาจังหวะอะไรไม่เจอเลย
เอาจริงนะ... ทุกตีนแม่งสักแต่จะเดิน ไม่มีใครสนใจใครเลย
การคิดจะเดินฝ่ากระแสสวนทางตีนสองแสนตีนขึ้นไป
สำหรับเราในตอนนั้นมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เหมือนปลาแห้งๆ ที่พยายามจะว่ายสวนทางขึ้นน้ำตกอย่างไรอย่างนั้น
และไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสามารถเป็นนางเงือกได้อย่างป้าแก่ๆ ที่ค่อยๆ ก้าวช้าๆ แต่มั่นคง
ขึ้นไปได้เหมือนเดินขึ้นบันไดบ้านตัวเองอย่างนั้น
สิ่งที่เราใช้เลี่ยงน้ำตกตีนมหานรกนั่น คือ บันไดเลื่อน
ค่อยๆ ลอยขึ้นไปสวยๆ เหมือนชาวฟ้าชาวสวรรค์
(และจริงๆ คือก็ต้องเดินตัดกระแสตีนที่ปลายบันไดนั่นอีกอยู่ดี แค่ง่ายกว่านิดนึง)
แต่ทุกครั้งที่ลอยขึ้นไป ไม่รู้ทำไมมันรู้สึกเจ็บใจทุกที
ญี่ปุ่นแม่งเป็นเมืองตัวกูของกู
จะมาทำบ้องแบ๊วบอกว่า เฮ้ย... ยอมๆ กูหน่อยน่า กูมาจากประเทศอื่น
ฝัน!
สี่เดือนเต็มๆ กับบันไดบ้านั่นทุกวันจันทร์ถึงศุกร์
สี่เดือนเต็มๆ กับดิคชันนารี่สองเล่ม หนักฉิบหาย
สี่เดือนเต็มๆ กับไม่มีใครรอเวลาเปลี่ยนชุดชั่วโมงเรียนพละ
สี่เดือนเต็มๆ กับนั่งกินข้าวคนเดียวที่โต๊ะตัวสุดท้าย แถวสุดท้าย ติดประตู
เช้าวันหนึ่งที่บอกกับตัวเองว่า... เดี๋ยวกูจะเป็นพวกมึงละ
จำไม่ได้ว่าเป็นวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส หรือศุกร์
แต่จำได้ว่าโยนดิกชันนารี่ทิ้งไว้บนเตียงหมดทั้งสองเล่ม
กระเป๋าเล็กลง เบาลง
ตัวลีบลงไปอีกสักสองนิ้ว (...อย่างนามธรรม เพราะโดยรูปธรรมน้ำหนักตอนนั้นน่าจะขึ้นมาแล้วสองกิโล)
เดินออกจากรถไฟ การหลบหลีกผู้คนในแนวระนาบเป็นไปอย่างชำนาญ
เลี้ยวหัวมุมตรงที่มีร้านกาแฟดอตโต้ร์ ร้านดอกไม้อาโอยามะอยู่บนนั้นเหมือนหอคอยของเจ้าหญิง
ที่คั่นเรากับร้านนั้นไว้คือไคลแมกซ์ของเรื่อง
ตีนแสนตีนยังไหลลงมาเหมือนน้ำตกไนแองการ่า เหมือนทุกวัน
เดี๋ยวกูจะเป็นพวกมึงละ... ตวัดกระเป๋าที่เบาลงเล็กลงนั่นมากอดกับตัว
บอกลาบันไดเลื่อนชาวสวรรค์
ไม่แหงนหน้าขึ้นมองคลื่นคนที่เทลงมา
เพราะที่ผ่านมา ยิ่งมองจะยิ่งไม่รู้ว่าควรจะก้าวไปยังไง
ก้มหน้า มองแต่ขั้นบันได ทีละขั้น ทีละขั้น
หาที่วางให้เท้าของตัวเองได้วางลงไปทีละข้าง ทีละข้าง แค่นั้นพอ
รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นมาอยู่บนพื้นราบ
ความรู้สึกวันนั้น ตอนนั้น เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยลืมเลย
แล้วทุกอย่างมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนตามมา
จำไม่ค่อยได้แล้วว่าเปลี่ยนเรื่องอะไรบ้างและอย่างไร
แต่รวมๆ แล้วก็เปลี่ยน เหมือนซีรี่ส์ที่ขึ้นซีซั่นใหม่
เหมือนสี่เดือนที่ผ่านมาเรามัวแต่กลัว ตกใจ กับอะไรที่ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็น
กลัวว่าทุกอย่างทุกคนแม่งจะไหลลงมาถล่มทับ แล้วเราจะตาย
เลยเลี่ยงไปหาอะไรที่ปลอดภัยกว่า เลี่ยงที่จะไม่ต่อสู้กับอะไรเลย
ทั้งที่ความจริง เราไม่ต้องต่อสู้กับอะไรเลย
ไม่เห็นมีใครทำร้ายอะไรเราเลย...
ไม่เห็นมี...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in