เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
to be continue |つづくployapha.j
ณ ระเบียงวัดเอนโคจิ | Enkoji Temple







  • การไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ เราเลือกเดินทางไปกับสายการบิน Japan Airlines กับเครื่อง Boeing 787-8 ที่คุณแอร์ทุกคนน่ารักกุ๊กกิ๊กตะมุตะมิเป็นที่สุด (ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากเป็นแต่สังคมที่เราพบเจอในแต่ละวันนั้นหล่อหลอมให้กลายเป็นสายไฟว์คนเดือดไปแล้ว ฮืออออ)


















    นอกจากจะประทับใจในความอ่อนหวานน่ารักและพร้อมให้ความช่วยเหลือของคุณแอร์แล้ว เราก็ชอบอาหารบนเครื่องมากๆด้วย มีความกุ๊กกิ๊กพูดไม่ถูกอ้ะ




    ทุกอย่างดูน่ากินไปหมดเลย ช๊อบชอบบบบ
    นี่ไม่ได้ตั๋วฟรีอะไรใดๆกับเขานะ ซื้อราคาเต็มไม่ได้ส่วนลดอะไรกับเขาหรอก ประทับใจจริงๆ












    เรามาถึง Kansai International Airport (KIX) ในช่วงเช้า จัดการแลกเงินในสนามบินและเดินมาซื้อตั๋วรถไฟซึ่งในทริปนี้เราใช้ตั๋ว JR Kansai Wide Area Pass (9,000 เยน) เป็นส่วนใหญ่ซึ่งตั๋วประเภทนี้สามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR ได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 5 วันและครอบคลุมเมืองในภูมิภาคคันไซเกือบทั้งหมด






    หน้าตาของตั๋วเป็นแบบนี้นะจ๊ะ











    Kansai Wide Area Pass นี้สามารถใช้ได้ในสายตามแผนที่ที่แปะไว้ให้ด้านบน โดยรถไฟที่เราสามารถใช้บริการได้จะเป็นตู้ Non-reserved เท่านั้น และไม่สามารถใช้บริการรถไฟบางขบวนได้ ต้องซื้อตั๋วแยกอีกทีนึงนะจ๊ะ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสายรถไฟและจองตั๋วล่วงหน้าสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ --> http://www.westjr.co.jp/global/en/ticket/pass/kansai_wide 


    อ้ออออ ถ้าจะซื้อตั๋วรถไฟ เราแนะนำให้จองไปก่อนจะประหยัดได้ 500 เยนนะจ๊ะ

















  • จากสนามบินคันไซ เรานั่งรถไฟมาที่ เกียวโต จุดหมายแรกของการมาเยือนญี่ปุ่น เฮ!








    ความจริงแล้วเราอยากจะต่อนยอนต๊ะต่อนย้อนอยู่ในเกียวโตหลายๆวัน เรารู้สึกว่าเมืองหลวงเก่าแห่งแดนอาทิตย์อุทัยมีอะไรให้ดูเยอะมาก ด้วยความที่เราเราเป็นคนอินกับวัดและประวัติศาสตร์ด้วยเลยสนุกที่จะค่อยๆละเลียดละเมียดละไมเที่ยวไปเรื่อยๆ แต่ทริปนี้เราไม่ได้มาคนเดียวเพราะแอบเกี่ยวคนไกลตัวแต่ใกล้ใจมาด้วยก็เลยต้องคิดวางแผนเยอะหน่อย


    ยอมรับว่าเราเคยชินกับการตื่นเช้า หยิบกล้องกับกระเป๋าสตางค์และออกไปเที่ยวเลย หิวก็หยุดกิน ยังไม่หิวก็ไม่ต่อ กินอะไรก็ได้ง่ายๆแต่พอมีคนมาด้วยกันมันต้องพยายามหาจุดตรงกลางระหว่างสองคนด้วย คือคิดถึงแค่เราคนเดียวไม่ได้ มันต้องคิดถึงใจของคนที่มาด้วย


    สรุปแล้วเราเลยอยู่ที่เกียวโตแค่สองวัน เลือกไปสถานที่ที่คิดว่าเราอยากไปและเขาจะอินไปด้วย :)












    ด้วยความที่เราเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมตั้งแต่ตอนเช้าไม่ได้เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ที่ตู้ตรงสถานีก่อน ค่าเสียหายในการฝากกระเป๋าใบใหญ่อยู่ที่ 700 เยน ฝากได้ตั้งแต่เช้าจนถึงสองทุ่ม พอฝากกระเป๋าเสร็จปุ๊บเราก็นั่งรถไฟไปตามหาใบไม้เปลี่ยนสีกันนนนน



    Note:  ตรงนี้คือจุดที่เราลืมคิดไปนิดนึง นั่นก็คือเราลืมคิดเกี่ยวกับการเดินทางภายในเมืองเกียวโต จริงๆมันก็มีบัตรนู้นนี้จุ๊กจิ๊กให้นักท่องเที่ยวซื้อนั่นแหละ แต่เราคิดว่าน่าจะใช้แค่ JR ละมั๊งเลยไม่ได้ศึกษา ปรากฎว่าเราใช้ระบบขนส่งมวลชนทุกชนิดที่มีในเมืองเกียวโตเลยจ้า ถือว่าพลาดไปหน่อย รอบหน้าต้องรัดกุมกว่านี้นะ!



















    นั่งเงียบๆริมระเบียง ชมใบไม้ที่ Enkoji Temple




    จากสถานี Kyoto เรานั่งรถไฟสาย JR Nara Line ถึงสถานี Tofukuji แล้วเปลี่ยนมานั่งสาย Keihan Main Line จนถึงสถานีสุดท้าย Demachiyanagi แล้วก็นั่ง Eizan Railways ลงที่สถานี Ichijoji (ซับซ้อนจังโว้ย) เพื่อไปตามหาใบไม้เปลี่ยนสีที่วัด Enkoji ซึ่งวัดนี้เป็นวัดของนิกายรินไซเซน มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่น่าสนใจคือภายในวัดจะมีระเบียงให้นั่งชมความงามของฤดูใบไม้ร่วงที่เราเข้าไปค้นหาดูรูปในกูเกิลแล้วอุทานว่าเหยดดดดดดด สวยมากกกกกกกกกก นี่แหละคือการเปิดซีนแรกในทริปที่งดงามโรแมนติก♡








    ความคาดหวังคือไปนั่งมองภาพซีนนี้ สวยมาก โรแมนติกมากมากมาก
    ขอบคุณภาพจาก Jeffrey Friedl's Blog










    พอมาถึงปุ๊บเราก็เดินก๊อกแก๊กนุ้งนิ้งตามแก๊งคุณปู่คุณตาทีมนี้ไปสลับกับดูแผนที่ใน google map อากาศช่วงต้นๆเดือนพฤศจิกายนกำลังเย็นสบายไม่หนาวจนเกินไป เดินอยู่กลางแดดก็กำลังอุ่นแบบพอดีๆ สังเกตว่าภูมิทัศน์โดยรอบจะเป็นเนินเขาสลับไปมา เสียดายที่ก่อนหน้าช่วงที่เรามานั้นมีไต้ฝุ่นพัดเข้ามาที่ประเทศญี่ปุ่นพอดิบพอดี๊ทำให้เหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ได้รับน้ำฝนอย่างชุ่มโชก ต้นไม้เลยยังไม่ค่อยผลัดใบเท่าไรนัก ยังเป็นสีเขียวๆกันอยู่ แก่บ้างอ่อนบ้าง หรือบางทีก็แซมด้วยสีเหลืองๆ ไม่แดงจัดๆอย่างที่ตั้งใจไว้....








    แก๊งคุณปู่คนตาที่เตรียมเสบียงอาหารและกล้องถ่ายรูปกันมาพร้อมแบบสุดๆ














    เราจะเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ เดินผ่านซอกแซกตามซอกซอยเล็กๆจนถึงวัด














    ร้านค้าในละแวกนั้น น่ารักมากมากมาก
    ใดๆในญี่ปุ่นล้วนคาวาอิ๊










    เมื่อเข้ามาภายในวัดแล้วเราก็จะเจอสวนหย่อมที่เป็นกรวดสวยงามและลึกเข้าไปค่อยเป็นตัวอาคารที่มีระเบียง ตอนที่เราไปถึงนั้นเริ่มมีนักท่องเที่ยวที่ตื่นเช้าเข้ามานั่งเงียบๆ กดลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพกันเบาๆ บรรยากาศโดยรอบสงบสุขมากจนเกรงใจเมื่อเราขยับตัวจะไปถ่ายรูป





    สวนกรวดก่อนที่จะเข้าไปด้านในวัด
















    ใบไม้ยังไม่แดงฉ่ำไปหมด โดยมาเป็นสีเขียวๆ แอบเฟลนิดนึงแต่ก็ไม่เป็นไรเนอะ

















    เสียดายมากๆที่ยังเขียวอยู่
    แต่ก็สวยมาก ได้เห็นถึงพลวัตรความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
    เรานั่งมองอยู่นานมาก คอยพินิจใบไม้ที่ค่อยๆร่วงหล่น
















    ตั้งใจมาเพราะอยากได้ภาพนี้นี่แล...










    หลังจากที่นั่งหย่อนใจมองใบไม้จนคนที่มาด้วยเริ่มขยับยุกยิกแล้ว เราก็ละสายตาออกจากภาพเบื้องหน้าและเดินไปสำรวจรอบๆบริเวณวัด







    มีธารน้ำ สะพาน และป่าไผ่ขนาดย่อม

































    เพราะทุกอย่างมีอายุขัยของมัน
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป






















    ในความเขียวจัดๆของที่นี่ก็มีข้อดีคือรู้สึกเย็นใจ สบายตา















    พอเดินมาด้านหลังก็จะเจอเนินเล็กๆให้เดินขึ้นไปชมวิวได้


















    โดนแอบถ่ายด้วย เขินจัง


















    และนี่คือภาพที่ได้จากบนเนินเขาหลังวัดเอนโคจิ
    สวยมากกกกกก จริงๆใบไม้มันก็มีแดงเหมือนกันนะเนี่ยยย










    เราใช้เวลาถ่ายรูปก๊อกแก๊ก นั่งมองท้องฟ้ากันอยู่ซักพักก่อนที่จะเดินกลับลงมาที่สถานีรถไฟและเดินทางไปยังจุดหมายที่สองในเกียวโตนั่นก็คืออออออ...











    つづく
    โปรดติดตามต่อต่อไป







    ตามไปอ่านบันทึกการเดินทางอื่นๆได้ที่...
    www.facebook.com/withlovefromthedesert
    IG: Ployapha.j
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in