เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
melancholia.sweetsingularity
8. state

  • "พูดอีกทีสิ"


    "อะไร"


    "คำนั้นอ่ะ"


    "พูดไปแล้วไง"


    "อยากได้ยินอีก"


    "พี่แฮซ"


    "ฟินน์"


    "....ทำตายังงั้นให้ตายก็ไม่พูด"




    ผมไม่รู้อะไรเยอะเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้หรอก



    เมื่อเช้าก็เริ่มต้นเหมือนวันธรรมดาวันหนึ่ง


    จะแปลกไปก็ตรงมีพี่ชายผมสีน้ำตาลมารอผมแต่หัววัน



    "มึง" 


    เสียงพี่แบร์รี่ดังขึ้น สาวๆนี่กรี๊ดกันให้วุ่นตอนนักชกประจำมหาลัยก้าวเข้ามาในร้าน


    อย่าให้พี่อนายรินคนงามตามมาเลย


    แค่นี้ร้านเล็กๆของผมก็แน่นขนัดเกินจะรับไหวแล้ว



    พี่แฮซเงยหน้ามองเพื่อนสนิท แขนยังเท้าตำราเล่มหนาที่ผมเดาว่าเป็นวิชาบัญชีบังคับที่เจ้าตัวบ่นถึงบ่อยๆ


    "คิดถึงอ่อ มาหาถึงนี่"


    หนุ่มตาฟ้าต่อยพี่แฮซตรงไหล่เข้าให้


    "ร้านกาแฟหน้าตึกเรียนมั้ย" เสียงกวนหูสำเนียงไอริชตอบ “กูอยากแ--กคาเฟอีน"



    ผมหัวเราะ มือยังง่วนผสมคาราเมลมัคคิอาโต้หวานน้อยแก้วกลางสำหรับสาวผมแดงเพลิงตรงหน้า


    ช่วยไม่ได้ ก็พี่แฮซมานั่งตรงโต๊ะฝั่งใกล้เคาน์เตอร์เอง



    "มึงอะ ไปเดทกะน้องเค้าครั้งเดียวถึงต้องมาเฝ้าเลยเหรอวะ"


    พี่แฮซหน้าแดงขึ้นมาทันที ทำมือเป็นสัญญาณให้เพื่อนเบาเสียงลง


    นักร้องคณะสถาปัตย์ส่ายหน้ารัว บุ้ยใบ้มาทางผมพร้อมปากขมุบขมิบที่พอจะเดาได้ว่า "กูมาอ่านหนังสือ!"


    พี่แบร์รี่หรี่ตามอง เหยียดปากใส่


    "มีสมาธิอ่านที่นี่มากกว่าที่หอล่ะสิ"


    แก้มพี่แฮซยังแดงสดเหมือนเบบี้มะเขือเทศในเทสโก้


    “ก็—มารอรับน้องไปทานข้าวเย็น...”




    พี่แฮซจ้องผมตาแป๋วจากอีกฝั่งของโต๊ะกลมเล็ก


    ร้านอาหารชั้นล่างของโรงแรมสามดาวกลางโซโหคึกคักค่ำวันศุกร์ หรี่ไฟสลัว จนยากจะเห็นม่านแดงรอบห้อง จะมีแต่แสงสว่างจากตะเกียงของแต่ละโต๊ะที่เบนจุดโฟกัสแรกของสายตาที่ชินกับความมืดมาที่ตาคนตรงหน้า


    “มองผมทำไม”


    พนักงานเสริฟ์ก็รับใบเมนูของผมกับพี่แฮซไปแล้ว เจ้าตัวสั่งสเต็กปลาแซลมอนกับเฟรช์ฟราย ส่วนผมขอเบอร์เกอร์โง่ๆกับสลัด


    เราสั่งเบียร์เยอรมันขวดกลางมาแบ่งกัน


    คู่เดทผมทำเสียงกระแอมเกินจำเป็น เอานิ้วสะกิดช่อดอกไม้เล็กๆข้างแขนผม


    “...ขอบคุณพี่แล้วนี่”


    พี่แฮซถอนใจ เอื้อมมือมาคว้ามือขวาผม



    ผมเคยไม่เชื่อในเพลงรัก


    ที่ว่าจะมีคนๆเดียวที่เป็นข้อยกเว้น เป็นคนที่ใจยอมให้เสมอไม่ว่ากรณีใด ไม่ว่าความรู้สึกหรืออดีต ปัจจุบัน เวลาเล่นกลกับหัวใจและความคิดเราอย่างไร


    เหมือนเส้นหัวใจวิ่งเป็นกราฟพอลซอง* ติดกับในสถานะมาร์คอฟที่ไร้ความทรงจำ**


    วกกลับมาเริ่มนับอายุความสัมพันธ์ใหม่จากถ้อยคำและสัมผัสเขา



    ผมเคยไม่เชื่อในเพลงรัก


    แต่ผมปล่อยให้มืออยู่ในสัมผัสของพี่แฮซอย่างง่ายดาย



    “ชอบเปล่าละ”  พี่แฮซถาม


    ผมยกเบียร์ขึ้นจิบ



    เกราะป้องกันหัวใจคืออะไร  ถ้าใจผมอ่อนไปกับคนๆเดียวทุกครั้ง



    ก็คงเป็นคนใจแข็งแค่ในหัวตัวเองละมั้ง



    “กุหลาบขาว”  ผมแตะกลีบดอกไม้ “กับสีลาเวนเดอร์”



    อยากจะบอกตัวเองว่าพอ


    อยากจะวิ่งหนีไปดื้อๆ



    ทั้งที่เคยคิดว่าอาจลอง


    แต่กลับกลัวเหมือนหัวใจกำลังถลำไปในที่ๆไม่รู้จัก



    อยากจะหยุดปากตัวเอง กลืนคำที่กำลังจะพูด


    หากหัวใจยืนยันจะบ้าบอทั้งที่รู้ดี



    “พี่กำลังบอกอะไรผมรึเปล่า”



    กุหลาบขาวหมายถึงการเริ่มต้น


    กุหลาบลาเวนเดอร์คือรักแรกพบ



    เราสองคนรู้ดีว่าผมถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้ว



    (แน่สิ พี่แฮซก็รู้จักผมดีเกินกว่าคนรอบตัวพอถึงจุดนี้)




    “คบกับพี่นะ”




    พี่แฮซกลืนน้ำลาย เสยผมแบบที่ชอบทำเวลาประหม่า


    “ไม่ต้อง--เอ่อ... ไม่ต้องตกลงอะไรกันตอนนี้”  พี่แฮซทำตาโตตรงหน้าผม “ไม่ต้อง... ระบุสถานะอะไรแต่--“



    ผมยังไม่ปล่อยมือพี่แฮซไป



    “ฟินน์.... คุยกับพี่คนเดียวได้ไหม--”  หนุ่มผมสีน้ำตาลดื่มเบียร์เข้าอึกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ ปล่อยผมนิ่งฟัง



    ยากจะละสายตาจากตาสีเขียวอ่อนคู่นั้นเหลือเกิน


    (ประกายความมุ่งมั่นนั่นทำคนตรงหน้าดูหล่อขึ้นมาชอบกล)



    “—ดูๆกันไปก่อน... ให้เวลาพี่”  นิ้วพี่แฮซลูบหลังมือผมแผ่วเบา “พี่รู้ว่าเราต้องการเวลา”



    ผมยิ้ม


    แล้วเมินเสียงเตือนในหัว



    ทุกการตัดสินใจมีความเสี่ยง


    และในการยอมให้คนๆหนึ่งกลายเป็นข้อยกเว้นต่อกฎอื่นในชีวิต คือการเสาะหาความเสี่ยงอย่างที่คนหวงขอบเขตความปลอดภัยและแน่นอนอย่างผมไม่เคยกล้าทำ***



    “ได้สิ”


    เสียงผมกลับฟังดูแปร่งหู คล้ายออกจากปากคนแปลกหน้า



    “ผมจะคบกับพี่."



    //


    อย่าลืมติดแทก #kpfic ติชมน้า


    เริ่มเขียนตอนนี้ด้วยเพลงนี้




    แล้วกลับจบด้วยอารมณ์นี้เฉย




    เหมือนเส้นหัวใจวิ่งเป็นกราฟพอลซอง* ติดกับในสถานะมาร์คอฟที่ไร้ความทรงจำ**


    เรียนกี่ที ก็อยากใช้คอนเช็ปต์นี้ในฟิคทุกที (เป็นสองคอนเซ็ปท์ที่เด็กโปรแกรมเราหนีไม่พ้น) แต่ไม่เคยได้ใช้

     ใครจะคิดว่ามาลงตัวกับแฮซฟินน์ได้ (คือความบ้าของคนเขียนเอง) ยังไงก็คิดว่าตรงนี้เจ๋งมาก เป็นเลขที่เอามาผสานกับจิตวิทยาแล้วอธิบายความคิดในชีวิตจริงได้อีก 


    (ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าฟินน์เรียนคณะอะไร แต่ถึงตรงนี้ละแอบอยากให้เป็นเด็กวิดวะเหมือนตัวเอง--)

    *พอลซอง - มาจาก Poisson Distribution (ในการเรียนสถิติและความน่าจะเป็น/Statistics and Probability นั่นแหละ) - ในที่นี้ใช้คุณสมบัติ 'ไร้ความทรงจำ' (Memoryless property) คือความน่าจะเป็นของเหตุการณ์หลังจากบวกเวลาไปแล้ว โดยคำนึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้า กลับเท่ากันแค่ความน่าจะเป็นของเวลาที่บวกไป ง่ายๆคืออดีตไม่มีผลต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน

    ตัวอย่างในห้องเรียนและแบบฝึกหัดมักเป็นอายุขัยของเครื่องจักรหรือหลอดไฟ ประมาณว่าความน่าจะเป็นที่หลอดไฟที่จะมีอายุมากกว่า 15 ปี โดยที่ใช้มาแล้ว 10 ปี เท่ากับความน่าจะเป็นของชีวิตหลอดไฟที่จะใช้มากกว่า 5 ปี

    Pr(X > 10 + 5 | X > 10) = Pr(X > 5)

    m = 10, n = 5

    **สถานะมาร์คอฟ หรือ Markov State เป็นสถานะใน Markov Process - กระบวนการของระบบที่มีสถานะ discrete เปลี่ยนแปลงตามเวลา (Stochastic Process) โดยสถานะจะมีคุณสมบัติ (Markov property) ที่ว่าสถานะในอนาคตของสถานะปัจจุบัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอดีต แต่ขึ้นอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น

    คร่าวๆ ตอนเรียนคือจำว่า ที่ๆ เคยผ่านมาไม่สำคัญ​ ที่ๆจะไปหลังจากนี้ คือคำนวณจากปัจจุบัน ("How you got here doesn't matter. What matters is where you are.")


    สถานะคือตัว i, j;  Pr() คือความน่าจะเป็นในการก้าวกระโดดจาก i ไป j

    เป็นคำอ้อมๆ ของเด็กเนิร์ดที่อยากบอกว่า หัวใจบ้าบอของฉันมันแคร์แต่เรื่องปัจจุบันทุกทีที่คุยกับเธอ ทำเป็นลืมอดีตที่เคยรู้สึกเองไปหมดแล้ว


    ***และในการยอมให้คนๆหนึ่งกลายเป็นข้อยกเว้นต่อกฎอื่นในชีวิต คือการเสาะหาความเสี่ยงอย่างที่คนหวงขอบเขตความปลอดภัยและแน่นอนอย่างผมไม่เคยกล้าทำ


    ตามทฤษฎีแล้ว (จากวิชาการตัดสินใจในความเสี่ยง - Decision Making Under Uncertainty) ธรรมชาติของคนกับความเสี่ยงมีอยู่ 3 ประเภท:

    1. เสาะหาความเสี่ยง - Risk Seeking
    2. เป็นกลางกับความเสี่ยง - Risk Neutral
    3. หลีกเลี่ยงความเสี่ยง - Risk Averse

    เดาว่าคนประเภทที่ 3 อย่างฟินน์ (ในมุมมองฟิคเรา) คงรู้สึกว่าตัวเองกระโดดไปประเภทที่ 1 พอตอบรับอะไรแบบนี้.


    มาคุย / ทักทายกันได้ที่ทวิตนะคะ <3


    ขอบคุณทุกกำลังใจเสมอค่า


    x


    ข้าวเอง.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in