เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เด็กฝึกงาน's story (เป็นเด็กฝึกงานมันไม่ง่ายนะคุณ)Meji Tnb'
Day 4: เช้าวันจันทร์กับเพื่อนใหม่ในกองฯ
  • ความเดิมตอนที่แล้ว: เริ่มขี้เกียจท้าวความแล้ว ไปอ่านเองในตอนก่อนหน้านะ

    หลังจากเราเริ่มเดบิวต์ในวงการการศึกษาได้ไม่กี่ปี เราก็ค้นพบว่าความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นั้นสั้นมาก มากพอที่จะทำให้เช้าวันจันทร์เป็นอะไรที่ต้องภาวนาให้ถูกผลัดออกไปให้ไกลที่สุด ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ

    ความเป็นเช้าวันจันทร์ส่งผลกับเราอย่างต่อเนื่องจนถึงมหา'ลัย น่าแปลกที่พอรู้ว่านี่เป็นเช้าวันจันทร์ เรากลับขี้เกียจมากกว่าเราในเช้าวันอังคาร พุธ พฤหัส และศุกร์ และนั่นทำให้เราฝังใจมาตลอดว่า เช้าวันจันทร์คือ 'เช้าแห่งความขี้เกียจ'

    พอรู้ตัวว่าวันจันทร์ที่จะถึง คือวันจันทร์แรกที่ต้องตื่นเพื่อไปฝึกงาน เราเลยอดกังวลไม่ได้ว่า เจ้า 'เช้าแห่งความขี้เกียจ' จะตามมาราวีเราในวงการฝึกงานต่อไหม หลังจากชนะเราในวงการการศึกษามาอย่างราบคาบตลอดหลายสิบปี

    และเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมาก็ทำให้เราได้รู้ว่า ประสบการณ์สิบปีของเช้าวันจันทร์ไม่ได้ช่วยอะไรมันเลย (ว๊าย พอย้ายวงการหน่อยก็กากเลยนะเตง ถถถ) เพราะเช้านี้กลับเป็นเช้าวันจันทร์ที่เราสามารถต่อสู้กับเจ้าเช้าแห่งความขี้เกียจได้สำเร็จ ก่อนจะย้ายมวลร่างจากเตียงด้วยความภาคภูมิใจ และคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปเยี่ยงนางพญา (เว่อไป)
  • หลังจากปฏิบัติภารกิจส่วนตัวจนเสร็จ เวลาแห่งการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น เรากระโดดซ้อนท้ายพี่วินฯ เฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา ก่อนจะวิ่งขึ้นเมล์ส้มคันโปรดไปอย่างไม่รอช้า และถึงที่ทำงานตั้งแต่สิบโมงครึ่ง

    ออฟฟิศตอนสิบโมงครึ่งค่อนข้างเงียบเหงา ภาพแรกที่เห็นคือมีใครก็ไม่รู้นั่งหันหลังอยู่ตรงบันแค่คนเดียว แถมไฟยังเปิดอยู่ไม่กี่ดวง และที่โต๊ะฝึกงานของกองฯ แซลก็มีโน๊ตบุ๊คไม่ทราบชื่อของใครสักคนวางทิ้งเอาไว้ ซึ่งแม่งไม่คุ้นตาเลย ตอนเห็นเลยเดามั่วไปว่าพี่ในออฟฟิศคงเอามาทิ้งไว้แหละมั้ง

    ด้วยบรรยากาศที่เงียบเหงา เราเลยตัดสินใจนั่งอยู่บนโต๊ะแล้วใส่หูฟังฟังเพลง พร้อมกับหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัว จนทำให้เสียงเรียกของพี่กาย (ที่เป็นหัวหน้างกองฯ ไง) ลอยหายไปกับอากาศเหมือนไม่มีอยู่จริง เดาว่าตอนนั้นพี่กายคงงงที่น้องไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรเลย รู้ตัวอีกที พี่กายก็เดินมาหาเราแล้วบอกว่า "ไปรับเพื่อนที่มาฝึกงานหน่อยสิ เขาอยู่ข้างล่างน่ะ"

    ทันทีที่พี่กายลงท้ายคำว่า น่ะ เราก็รีบวิ่งและสปริงตัวผ่านหน้าต่างลงไปชั้นแรกเพื่อรับเพื่อนฝึกงานทันที (ล้อเล่นน่า) จริง ๆ ตอนนั้นเอ๋อแดกใส่พี่กายไป แถมเพิ่งรู้ด้วยว่าคนที่นั่งหันหลังให้คือเพื่อนฝึกงานในบัน พอรู้ปุ๊ปเลยทักทายเพื่อนก่อน แล้วค่อยหันไปถามพี่กายเพื่อความชัวร์อีกที กว่าจะลงไปชั้นล่างก็ประมาณห้านาทีได้ และนั่นทำให้เราที่กำลังลงลิฟต์ไม่รู้เลยว่า เพื่อนที่ต้องไปรับน่ะ เขาขึ้นลิฟต์สวนขึ้นไปแล้ว ปั๊ดโถ่!


  • ด้วยความที่เพื่อนดันขึ้นไปก่อนแล้ว ชั้นล่างที่ควรจะมีใครสักคนยืนรอเลยว่างเปล่า กลายเป็นว่าเราลงมาเดินโง่ ๆ หาคนที่เขาขึ้นไปอยู่บนออฟฟิศเรียบร้อยแล้ว เออ หนึ่งวินาทีก็ช้าไปจริง ๆ

    พอรู้ว่าเพื่อนฝึกงานที่ต้องไปรับน่าจะอยู่ในออฟฟิศเรียบร้อย เราเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นคนสองคนนั่งอยู่ที่โซฟาของออฟ (ก็ออฟฟิศนั่นแหละ แต่ย่อเอา) และจนถึงตอนนี้ (ซึ่งผ่านมาหลายวันแล้ว) เราก็ยังจำหน้ามึน ๆ ของคนสองคนนั้นได้ติดตา จำได้ว่าหลังจากถามให้มั่นใจว่าใช่เพื่อนฝึกงานไหม เราก็บอกกับเพื่อนไปว่า "ไม่ต้องไหว้เรานะ เราเด็กฝึกงานเหมือนกัน" พร้อมกับมองเพื่อนที่พยักหน้าเออออแบบงง ๆ ปนขำ เป็นอะไรที่น่ารักดี :)

    ไม่นานคนในออฟฟิศก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเหมือนกับทุกวัน พอเด็กฝึกงานมากันทีนึง การแนะนำตัวก็เกิดขึ้นทีนึง จนเด็กฝึกงานมากันครบทุกคน และบรรยากาศในออฟเริ่มเข้าสู่บรรยากาศของการทำงาน

    ผลจากงานที่ยังไม่เสร็จ ทำให้ทอปปิคของเด็กในกองฯ แซลวันนี้เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขต้นฉบับที่เพิ่งแก้กันเสร็จไปแล้วรอบนึงแต่ยังต้องแก้กันต่อ หรือประเด็นต่าง ๆ ที่จะใช้ในการสัมภาษณ์นักเขียน (ในตอนก่อน ๆ เราพูดถึงลักษณะงานน้อยมาก และกว้างมาก เพราะกลัวเป็นการเปิดเผยความลับของบริษัท แต่ตอนนี้เริ่มมั่นใจแล้วว่าถ้าไม่ลงรายละเอียดน่าจะพอพูดให้แคบลงได้ เลยพูดหน่อยแล้วกัน เนอะ) คุยพอหอมปากหอมคอ ความหิวก็มาทักทายพวกเรา การคุยงานเลยถูกพับเก็บไว้ชั่วคราว และเด็กฝึกงานทั้งแซลและบันก็ออกเดินทางไปหาของกินใส่ท้องกันแทน ก็แหม กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องสิ ถูกไหม?
  • พูดถึงเรื่องร้านอาหารหน่อยแล้วกัน เรื่องอาหารในรัชดาซอยสามนี่เป็นอะไรที่เราตั้งใจจะมาเล่าให้ฟังมาก และสำหรับใครที่อยากมาฝึกงานกับแซล (หรือบัน หรือแซลเฮ้าส์ หรือยีราฟ หรือมินิมอร์) เราว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องนึงเลยแหละ ลองอ่าน ๆ กันดูแล้วกันเนอะ

    ก่อนอื่นต้องพูดถึงวันแรกที่เรามาฝึกงานก่อน วันนั้นเราถามพี่ในออฟฟิศไปว่า 'แถวนี้มีข้าวร้านไหนอร่อยบ้าง?' และได้รับคำตอบมาว่า ถ้าอยากกินอะไรอร่อย ๆ จริง ๆ ออกไปนอกซอยเถอะ เพราะในซอยมันไม่มี เป็นคำตอบที่ดูสิ้นหวังแบบบอกไม่ถูก และทำให้ทันทีที่ได้ยินคำตอบ เราเผลอแอบเถียงพี่อยู่ในใจว่า 'ทุกที่มันต้องมีร้านอร่อยซ่อนตัวอยู่หมดแหละ แล้วรัชดาซอยสามจะไม่มีได้ไงกัน?'

    ความคลางแคลงใจในคำตอบของพี่ส่งผลให้วันพฤหัสและวันศุกร์ที่ผ่านมา เราเริ่มใจกล้าไปกินร้านอื่นนอกเหนือจากร้านข้าวตรงข้ามออฟ (ที่แม่งโคตรจะไม่เวิร์คเลย คิดดูแล้วกันว่าขนาดทอดไข่เจียวยังไม่อร่อย แล้วอย่างอื่นจะขนาดไหน)

    ความใจกล้าที่ว่าทำให้เราได้ลองร้านอาหารใหม่ ๆ และลงความเห็นร่วมกับเพื่อนที่ไปกินได้ว่า 'เห้ย มันก็โอเคนี่หว่า' (ตอนนี้มีที่โอเคอยู่สองร้าน คือร้านก๊วยเตี๋ยวต้มยำ กับร้านอาหารตามสั่ง-อาหารอีสาน)

    พอใจกล้าแล้วมันดันเวิร์ค (คือได้กินอาหารที่ไม่เสียดายเงินนั่นแหละ) บรรดาเด็กฝึกอย่างเรา ๆ เลยไม่ย่อท้อต่อการเปลี่ยนร้านไปเรื่อย ๆ ซึ่งจริง ๆ เป็นอะไรที่ขัดกับนิสัยเรามาก เพราะเราเป็นพวกที่ถ้าเจอร้านที่โอเคก็กินร้านเดิมไปตลอด ไม่ค่อยอยากไปเสี่ยงกับร้านใหม่ แต่ครั้งนี้ขอแหกคอกความเป็นตัวเองหน่อยแล้วกัน!
  • จากคำบอกเล่าของพี่ในออฟฟิศคนหนึ่ง ทำให้ร้านก๊วยเตี๋ยวเรือเป็นร้านที่สามที่เราถือโอกาสเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดในช่วงเที่ยงของวันจันทร์

    เที่ยงวันนั้น การเดินแถวของเด็กแซลและบันยาวกว่าทุกวันเพราะมากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนเดินตรงไปยังร้านก๊วยเตี๋ยวดังกล่าวตามพิกัดที่ได้จากพี่ ก่อนจะพบกับร้านก๊วยเตี๋ยวเรือที่มีเรือตั้งอยู่ด้านหน้า เอาล่ะ ถึงเป้าหมายวันนี้ของเราแล้ว!

    ทันทีที่นั่งลงในร้าน เมนูที่เราสั่งอย่างไม่ลังเลคือเส้นเล็กเนื้อเปื่อยแบบใหญ่พิเศษในราคาเพียง 40 บาท (ที่นี่จะมีสามขนาด คือ ธรรมดา 15 บาท ใหญ่ 35 บาท และใหญ่พิเศษ 40 บาท โดยธรรมดาเนี่ยจะเป็นไซส์ประมาณก๊วยเตี๋ยวต่อชามที่อนุฯ เขา)

    ตั้งหน้าตั้งตารอได้สักพัก บะหมี่หมูรวมร้อน ๆ ในชามกาไก่ก็มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าเพื่อนเราเป็นคนแรก เราเหลือบมองไปยังชามที่เพื่อนสั่ง ในใจกระหยิ่มยิ้มย่อง 'เออ ที่นี่เขาให้เส้นเยอะดีว่ะ เวิร์คอยู่ ๆ' เราคิด

    จากนั้นไม่นาน เส้นเล็กเนื้อเปื่อยของเราก็เดินทางตามมาติด ๆ สายตาเป็นประกายเมื่อครู่หายไปแทบจะทันทีที่เห็นปริมาณเส้นเล็กในชามตัวเอง

    ไอ่สัส ทำไมของกูน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยวะ?!
  • หลังจากคีบเส้นไปได้ไม่กี่รอบ ชามก๊วยเตี๋ยวของเราก็ว่างเปล่า บรรดาเส้นเล็กจำนวนเล็กน้อยถูกสูบเข้ากระเพาะไปอย่างรวดเร็ว เราที่ตั้งใจจะไม่สั่งเพิ่มเลยได้แต่นั่งซดน้ำซุปเหงา ๆ พร้อมมองเพื่อนซู๊ดบะหมี่เข้าปากอย่างออกรสชาติ เหตุการณ์วันนั้นทำให้เรารู้แล้วว่า คนเรามันมีบุญไม่เท่ากันจริง ๆ นั่นแหละ...

    (สรุปคือร้านนี้โอเคนะ ปริมาณค่อนข้างเหมาะกับราคา น้ำซุปอร่อยดี สั่งหมูน่าจะคุ้มกว่าเนื้อ เพราะเนื้อไม่ได้ดีเว่อวังอะไรมาก และถ้าจะให้คุ้มสุดคือมึงต้องสั่งบะหมี่ ซู๊ดบะหมี่วนไปค่ะ ปฏิบัติ!)

    สิ้นสุดมื้อกลางวัน พวกเราลงความเห็นกันว่าถ้ามีครั้งหน้าที่มาร้านนี้ ทุกคนคงสั่งบะหมี่กันแทน เพราะบรรดาคนสั่งเส้นเล็กแม่งไม่มีใครอิ่มเลยสักคน น่าสงสารมาก /ร้องไห้

    พอกลับเข้ามาในออฟฟิศ เวลาช่วงบ่ายก็เริ่มขึ้น เราทำงานนู่นนี่นั่นไปตามประสา บรรยากาศช่วงบ่ายดำเนินไปอย่างราบรื่น เพื่อนในกองฯ ที่มาใหม่เริ่มเข้ากับทุกคนได้ดีขึ้น (สังเกตว่าตอนเช้านางจะเน้นเออออไว้ก่อน แต่ตอนบ่ายเริ่มพูด เริ่มเล่นกันแทนแล้ว) รู้ตัวอีกทีก็เริ่มมืด และท้องเริ่มร้องอีกครั้ง โชคดีที่วันนั้นพี่ในออฟฟิศชวนไปกินข้าวเย็นต่อ เรากับเพื่อนใหม่ในกองฯ เลยได้มีโอกาสไปกินร้านรัชดาเจ้าดัง ที่มันดังคงเป็นเพราะอร่อยจนต้องโทรสั่งก่อน เป็นความอร่อยที่เด็กฝึกงานอย่างเราขอเก็บไว้เป็นแค่มื้อเย็นก็พอ เพราะเท่าที่ดู ถ้าจะกินเป็นมื้อกลางวัน น่าจะต้องโทรตั้งแต่มาถึงออฟฟิศแน่นอน (ป้าแกทำได้ช้ามาก ช้าในแบบที่เดาว่าแกอาจเป็นญาติกับแฟลชในเรื่องซูโทเปีย)

    วันจันทร์แรกของการฝึกงานเลยจบลงที่เรากลับมาถึงบ้าน และทำนู่นนี่นั่นจนไม่ได้นอน ส่วนสภาพในวันอังคารจะออกมาซอมบี้แค่ไหน เอ๋อพอ ๆ กับวันแรกของการฝึกงานหรือไม่ ไว้ติดตามตอนต่อไปแล้วกัน วันนี้พอแค่นี้ก่อน ต้องรีบไปสะสางงานแล้ว ไว้มาต่อนะ :)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in