เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เด็กฝึกงาน's story (เป็นเด็กฝึกงานมันไม่ง่ายนะคุณ)Meji Tnb'
Day 1: เด็กฝึกงาน เฟิร์สไทม์
  • หมายเหตุ: ชื่อตอนได้รับแรงบันดาลใจมากจากชื่อ "นิวยอร์คเฟิร์สไทม์" ถ้าพี่เบ๊น ธนชาติได้มาเห็น อย่าเก็บค่าลิขสิทธิ์จากหนูเลยนะ หนูไม่มีเงิน T T (ใครยังไม่ได้อ่านลองไปอ่านดู เราว่าสนุกดี)

    ความเดิมจากตอนที่แล้ว: หลังจากตะเวนหาที่ฝึกงานอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนส่งฝาชิงโชคลุ้นทองจากคุณตัน ในที่สุดเราก็ได้ฝึกงานกับสำนักพิมพ์แซลมอน สำนักพิมพ์ที่แม่เข้าใจอยู่พักใหญ่ว่าคือสำนักพิมพ์ปลาวาฬ (ถ้าใครมีมนุษย์แม่ที่ชอบเปลี่ยนชื่อนู่นนี่แบบอัตโนมัติจะเข้าใจ แม่เราก็เช่นกัน)

    ความรู้สึกแวบแรกตอนเราหันไปมองนาฬิกาในคืนวันที่ 30 พฤษภาคมเป็นความรู้สึกที่ตกใจแบบสัส ๆ

    อย่างที่รู้กันดีว่าพอเวลาดำเนินไปจนถึงเที่ยงคืนของวันนั้น เวลาจะถูกเปลี่ยนเป็นวันถัดไปทันที อย่างตอนที่เราดูนาฬิกา ก็น่าจะเป็นช่วงตีหนึ่งตีสองของคืนวันที่ 30 พอเห็นว่ากลายเป็นวันที่ 31 พฤษภาเลยอดตกใจไม่ได้ เพราะวันที่ 1 มิถุนาคือวันที่เราจะต้องไปฝึกงานแล้วจริง ๆ

    สิ่งแรกที่เราบอกกับตัวเองหลังจากเวลาเริ่มใกล้เข้ามาทุกที คือต้องเปลี่ยนเวลานอนได้แล้ว เพราะหลังจากปิดเทอมมาได้พักใหญ่ ตารางชีวิตของเราก็สลับกลางวัน-กลางคืนอย่างสมบูรณ์แบบ เรานอนตอนพระอาทิตย์ขึ้น และตื่นอีกทีตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก เป็นวัฏจักรชีวิตที่พังและเปลี่ยนยากมาก ความโชคดีอยู่ตรงที่คืนก่อนวันฝึกงานเราเริ่มง่วงตั้งแต่ช่วงสี่ห้าทุ่ม ตอนนั้นแอบอมยิ้มเล็ก ๆ แล้วบอกกับตัวเองว่า “ลาก่อนชีวิตกลางคืน”
  • แต่ความตื่นเต้นไม่เคยปราณีใคร...

    ถ้าใครยังจำความรู้สึกตื่นเต้นในคืนก่อนเปิดเทอมได้น่าจะเข้าใจเราดี
    #คืนก่อนฝึกงานก็เช่นกัน

    หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างสำหรับฝึกงานวันแรกเสร็จ เราก็รีบล้มตัวลงนอนทันที ความง่วงค่อย ๆ จู่โจมเราอย่างเงียบเชียบ เงียบจนพ่ายแพ้ให้กับความตื่นเต้นที่มาแรงแซงโค้ง ในหัวของเรามีแต่ความคิดล่องลอยเต็มไปหมดจนนอนไม่ได้ รู้ตัวอีกที แสงของพระอาทิตย์ก็เริ่มปรากฏให้เห็น ท้องฟ้าในวันนั้นสว่างเร็วขึ้นกว่าทุกวัน ความตื่นเต้นค่อย ๆ พ่ายแพ้ให้กับความง่วง ความคิดในหัวเราส่งเสียงยินดี มันบอกว่าได้เวลาที่เราจะได้นอนแล้ว แต่เดี๋ยวก่อนนะความคิด นี่มันเช้าแล้วไง นอนได้ที่ไหนล่ะเฮ้ย! ฝึกงานดิวะ!

    โอเค สารภาพก่อนว่าตอนแรกเราก็ว่าจะงีบสักพักนั่นแหละ ก็แหม พี่เขานัดตั้งสิบโมงครึ่ง แถมตอนนั้นยังเพิ่งเช้าได้ไม่กี่ชั่วโมงเอง ดูจากเวลาก็ยังพองีบทัน แต่ก่อนที่ตาของเราจะเริ่มปิด เสียงฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาเหมือนฟ้าถล่ม เออ รีบอาบน้ำเตรียมไปฝึกงานก็ได้วะ - -

    ตอนตัดสินใจไปอาบน้ำ ตอนนั้นเราเข้าใจว่าฝนตกคงทำให้รถติดหนัก เวลาเดินทางจากที่เผื่อไว้หนึ่งชั่วโมง เลยถูกเพิ่มเป็นสองชั่วโมง (จากปกติถ้ารถไม่ติดจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเอง) เราอาบน้ำ แต่งตัว เช็คของ และเปลี่ยนกระเป๋าใส่ของถึงสามรอบ (พอดีพี่บอกมาว่าให้เอาโน๊ตบุ๊คไปด้วย ตอนแรกเรากะเอาใส่เป๋าผ้า แต่กลัวขาดเลยเปลี่ยน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายมาจบลงที่กระเป๋าเป้เฉยเลย) ก่อนออกจากห้อง อยู่ ๆ แม่ก็ทักมาประโยคนึงว่า ใส่ชุดนี้ไปทำงานได้หรอ?
  • พูดถึงเรื่องชุด ถ้าใครอ่านตอนที่แล้วจะจำได้ว่าฝึกงานครั้งนี้ค่อนข้างเป็นทางการ ชุดที่ใส่ต้องเป็นชุดนิสิตถูกระเบียบ กรณีเดียวที่จะทำให้เราไม่ต้องใส่ชุดนิสิตไปฝึกงานได้ คือที่ฝึกงานเป็นคนบอกมาเองว่าไม่ต้องใส่ชุดนิสิตนะ

    ซึ่งแซลมอนคือที่ฝึกงานแบบนั้น แบบที่บอกมาว่าไม่ต้องแต่งชุดนักศึกษามานะ

    ทีนี้ก็สบายสิครับ วันแรกเราเลยใส่เสื้อยืดกางเกงขายาวกับรองเท้าหุ้มส้นไปอย่างดี ก่อนออกจากบ้าน เราหันไปตอบคำถามแม่ด้วยความมั่นใจ “ใส่ได้สิมี้ เขาให้ใส่ชุดธรรมดาได้” พร้อมเดินออกจากห้องด้วยเวลาอันเหลือเฟือ

    เวลาเหลือเฟือจริง ๆ ด้วย...

    รถที่คิดว่าจะติดหนักจนเผื่อเวลาเป็นสองชั่วโมงกลับทรยศเรา เป็นครั้งแรกที่ภาวนาให้รถติดบ้างเถอะ ติดนานกว่านี้หน่อยเถอะ แต่แรงภาวนาจากคนอื่นในรถน่าจะรุนแรงกว่า เราเลยมาถึงก่อนเวลาในเช้าวันแรกของการฝึกงานไปเกือบชั่วโมง โชคดีที่มัวแต่อ้อยอิ่งหาข้าวกิน จนได้เข้าออฟฟิศไปตอนสิบโมงนิด ๆ พอดี

    ภาพแรกที่เราเห็นในออฟฟิศเป็นอะไรที่เซอร์ไพร์สมาก เพราะคนในออฟฟิศเป็นเด็กฝึกงานด้วยกันทั้งนั้น มีพี่อยู่บ้างประปราย แต่เด็กฝึกงานก็ยังดูเยอะอยู่ดี เยอะจนแอบคิดในใจว่าจะมีที่นั่งไหมวะ?
  • หลังจากนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวในออฟฟิศได้สักพัก เพื่อน ๆ ที่มาฝึกงานก็เริ่มกระจายตัวไปตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนจากฝ่ายกราฟฟิคดีไซน์ที่ไปนั่งทำป้ายชื่อให้กับเด็กฝึกงานทุกคน เพื่อนจากฝ่ายพิสูจน์อักษรที่ไปนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ หรือเพื่อนจากบันบุ๊คที่แยกย้ายไปอยู่กับพี่ ๆ ในบัน ยกเว้นเรากับเพื่อนอีกคนที่อยู่กองฯของแซล (จากนี้ไปจะเรียกบันบุ๊คว่า บัน เรียกแซลมอนว่า แซล นะคะ)

    เรากับเพื่อนนั่งเมาท์อยู่บนโซฟาได้พักนึง พี่ที่ฝึกงานก็มานั่งคุยกับเราด้วย ก่อนจะมอบหมายภารกิจที่สำคัญ คือ “อ่านหนังสือของแซลมอนบุ๊ค”

    จุดประสงค์หลักของการให้อ่านหนังสือ คงเป็นเพราะเรากับเพื่อนค่อนข้างรู้เกี่ยวกับแซลมอนน้อยมาก อย่างเราเองก็อ่านหนังสือของแซลแทบนับเล่มได้ ดังนั้นการบอกให้ไปอ่านหนังสือเลยเป็นอะไรที่เหมือนเปิดโอกาสให้เราทำความรู้จักกับงานที่เราต้องทำ แถมการอ่านครั้งนี้ยังไม่ใช่การอ่านเฉย ๆ ด้วยนะ แต่เราต้องอ่านแล้วมาวิจารณ์หนังสือเล่มนั้นให้พี่ฟัง เออ เป็นอะไรที่สนุกดี ชอบตรงที่ได้อ่านหนังสือฟรีนี่แหละ

    เรานั่งอ่านหนังสืออยู่พักใหญ่ ก่อนลงไปกินข้าวพร้อมกับพี่ ๆ แล้วกลับมาอ่านหนังสือต่ออีกรอบ จนกระทั่งพี่เรียกไปคุยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งพี่ในแซลและเด็กฝึกงานของแซลทุกคน

    การคุยกันของพี่ ๆ เป็นการคุยเพื่อทำความรู้จักกันและบอกข้อตกลงเบื้องต้นของการมาฝึกงาน สำหรับใครที่ทนรับความกดดันไม่ค่อยได้ก็ต้องเตรียมใจไว้ก่อนเลย เตรียมใจไว้ว่าจะไม่โดนกดดันน่ะนะ :p เพราะบรรยากาศชิวมากจริง ๆ

    นอกจากอ่านหนังสือและคุยกันเบื้องต้น ภารกิจที่สำคัญอีกอย่างของวันนี้ก็คือ "การทำนิ้ว"
  • คือที่แซลเนี่ย เขาจะเข้าออกกันโดยใช้นิ้วสแกนเอา แล้วถ้าให้เด็กฝึกงานเข้าออกด้วยการตามติดพี่ ๆ ที่สแกนนิ้วได้ก็คงทุลักทุเลพอตัว ดังนั้นเด็กฝึกงานทุกคนเลยต้องทำนิ้วเพื่อให้นิ้วตัวเองสามารถสแกนเข้าออฟฟิศได้ เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับเรา เพราะการมีนิ้วทำให้เรารู้สึกเหมือนกับเราเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่จริง ๆ

    ระหว่างรอสแกนนิ้ว (ซึ่งใช้เวลานานกว่าที่คิดไปมาก) เรากับเพื่อนในกองฯก็เริ่มมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนคนอื่น ๆ เช่นเพื่อนจากแซลมอนเฮ้าส์ (ที่ต่อไปจะเรียกย่อ ๆ ว่าแซลเฮ้าส์) เลยทำให้ได้รู้ว่าคนอื่นเริ่มได้ทำงานนู่นนี่แล้ว พอรู้แบบนั้นก็อดเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราทำกันมาเกือบทั้งวันคือแค่อ่านหนังสือจริง ๆ จำได้ว่าก่อนไปทำนิ้ว เรากับเพื่อนพูดกันว่า “เออ พวกเรานี่ว่างกันจังเนอะ”

    บางทีเราก็สงสัยว่าพี่ในกองฯได้แอบมาฟังเราพูดกันหรือเปล่า เพราะหลังจากทำนิ้วเสร็จและกลับมาที่ออฟฟิศ พี่ในกองฯก็ลากเก้าอี้มาหาเราสองคนที่โซฟา พร้อมมอบหมายงานชิ้นแรกทันที และเมื่อมีคำว่า ชิ้นแรก ก็ไม่แปลกที่จะมีชิ้นที่สองและสามตามมา สรุปว่าวันแรกเราได้งานมาสามงาน พร้อมกับเสียงในหัวที่ค่อย ๆ กระซิบกับเราว่า “หายว่างสมใจอยากไหมล่ะมึง”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in