เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Christmas en voyagehappypii
On the eighth day
  •           แสงสีสาดส่องมาจากทุกหนแห่ง ทั้งไฟสปอตไลท์และเครื่องเพชรเปล่งประกายระยิบระยับ เสียงเครื่องดนตรีดั่งกระหึ่มส่งให้นักร้องสาวเสียงทรงพลังได้เฉิดฉาย เมื่อสิ้นเสียงโน้ตสุดท้าย เสียงปรบมือสลับเสียงผิวปากไม่ปล่อยที่ว่างให้ความเงียบเข้าแทรกแม้เพียงเสี้ยววินาที และบทเพลงใหม่เริ่มบรรเลงขึ้นอย่างไม่รีรอ กลิ่นโคโลญจน์และน้ำหอมราคาแพงหลากยี่ห้อปนกันมั่วชวนให้ปวดหัว รสซาบซ่าของแชมเปญคุณภาพเยี่ยมยังติดลิ้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผ่านไปกี่โชว์แล้ว แม้กระทั่งว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงกี่ยาม เพราะรู้สึกว่าเหมือนตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้มาตลอดทั้งชีวิต โลกเริ่มหมุนคว้างจนอยากจะอาเจียน ไม่แน่ใจว่าเพราะประสาทสัมผัสทั้งห้าโดนโจมตีอย่างหนักหน่วงในคราวเดียวกัน หรือเพราะปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มตลอดทั้งคืนกันแน่


    ข้างบนนั้น หญิงสาวยืนเรียงแถวในชุดกระโปรงขนนกสีแดงโปรยยิ้มสวย ออกลวดลายพลิ้วไหวไปตามจังหวะดนตรีไม่เคอะเขิน ใบหน้าผมร้อนผ่าว (น่าจะไม่ใช่เพราะแชมเปญ) นี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะมีโอกาสเห็นหน้าอกเปลือยเปล่าของสตรีมากที่สุดในชีวิตอย่างแน่นอน ใบหน้าประโคมเครื่องสำอางทำให้ทุกคนหน้าตาเหมือนกันไปหมด เสี้ยววินาทีหนึ่ง ผมสะดุดเข้ากับรอยยิ้มหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่มันก็หายลับสายตาไปอย่างรวดเร็วในดงขนนกสีแดงและหน้าอกนับสิบ


    สติผมเลือนลางเต็มทน ผมไม่สนใจการแสดงบนเวทีอีกต่อไป ผิดกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่นั่งโต๊ะเดียวกัน เธอจับจ้องไปข้างหน้าราวกับโดนสะกด ผมคงรู้สึกผิดมากถ้าเธอคือเดทของผมในค่ำคืนนี้ เพราะว่าเดรสยาวสีฟ้าอ่อนปักเลื่อมลายดอกไม้นั่นสะกิดอะไรบางอย่างในสมอง แต่ถ้าต้องให้นึก ก็คงล้มเหลวไม่เป็นท่า มีเพียงแค่ประกายความสงสัยที่อีกสักประเดี๋ยวก็คงมอดดับไปอย่างรวดเร็ว ทำไมผมจำได้ว่าเพิ่งคุยกับสุภาพบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งข้าง ๆ ช่วงทานอาหารเย็นไปเอง และโต๊ะของผมก็เป็นสำหรับสองที่เสียด้วยสิ



    ❄❄❄


    ผมมองนาฬิกาข้อมือชี้เวลาหนึ่งทุ่มตรง อาหารเย็นถูกเสิร์ฟตามหมายกำหนดเป๊ะ ๆ


    เนื่องจากผมจองไว้แค่ที่เดียว จึงโดนจับมานั่งกับสุภาพบุรุษที่มาเพียงลำพังเช่นกัน รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่ต้องร่วมโต๊ะคนแปลกหน้า แต่ยังดีที่เขาไม่ได้พยายามชวนคุย พวกเรานั่งทานอาหารคอร์สกันเงียบ ๆ ผมสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่ค่อยรู้สึกหิวสักเท่าไหร่ เหมือนว่าได้ทานอะไรรองท้องมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ยักจะนึกออก ผ่านไปสักพักหนึ่ง บริกรหนุ่มเริ่มเดินเสิร์ฟอาหารจานหลัก มนต์ขลังความเงียบสงบก็โดนทำลาย


    “พวกเขาเรียกนักแสดงที่นี่ว่าเหล่า ‘ภูติน้อย’ ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมจริง ๆ คุณว่าไหม”


    ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจานอาหารตรงหน้า “อะไรนะครับ” อกไก่ชิ้นใหญ่ยังเสียบคาอยู่บนส้อม เพื่อนร่วมโต๊ะของผมหัวเราะพลางทวนคำถาม เสียงของเขาทุ้มต่ำให้รสชาติของคอนญัก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด


    “อ้อ ครั้งแรกของคุณสินะ” เขาแนะนำตัวเองพร้อมยื่นมือมาให้ผมจับ “เรียกผมว่าหลุยส์ก็ได้” มือเขาอุ่นจนไม่อยากจะปล่อย


    “ผมเรียกคุณว่าเบนัวต์ได้ไหม” ผมเลิกคิ้ว เป็นชื่อที่ฟังไม่เลวเลยทีเดียว “มันเป็นชื่อแฟนเก่าผมน่ะ เห็นคุณแล้วก็นึกเขาขึ้นมา” เขาพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ช่างประจวบเหมาะเหลือเกินที่หนุ่มโสดสองคนโดนจับให้นั่งด้วยกันในค่ำคืนที่สัญญาว่าจะมอบแต่ความเริงรมย์ปลอบประโลมใจ 


    “ผมมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วนจนผมลืมนับไปแล้ว” เนื้อชิ้นสุดท้ายลงท้อง แต่เขายังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพูด “ถ้าให้ติดอยู่ที่นี่ไปตลอดการจนกลายปิศาจแห่งโรงคาบาเรต์ ผมก็ยินดี ”


    ผมคิดว่าถ้าเขาโกนหนวดออกอีกสักหน่อย ภาพเขาใส่หน้ากากแฟนธ่อมดูเหมาะสมอย่างไม่น่าเชื่อ ผมอยากรู้เสียจริงว่าเขาร้องเพลงเป็นไหม น่าเศร้าที่คริสตีนของเขาได้จากไปแล้ว สิ่งที่ปีศาจร้ายพอจะทำได้ก็มีเพียงเฝ้ามองโรงละครที่ยังต้องแสดงต่อไปและภาวนาให้เธอกลับมาสักวันหนึ่ง ผมเข้าใจเขาสุดซึ้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป


    นาทีนี้พวกเราต่างอยู่ในโลกอีกใบ โลกที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีเคล้ากลิ่นแอลกอฮอล์ อาหารเลิศรส และ ‘เหล่าภูติน้อย’ ความเป็นจริงข้างนอกนั้นจึงยิ่งพร่าเลือนราวกับความฝัน


    อีกไม่นาน โชว์ก็เริ่มขึ้น


    ❄❄❄


    ผมสูดน้ำมูกฟืดฟาดขณะตั้งไฟ คิดว่าตัวเองโชคดีขนาดไหนที่ไม่ได้ป่วยหนักจากความคิดพิเรนทร์ ๆ เมื่อวาน ตอนนี้ผมมีไข้รุม ๆ และจมูกก็แดงแข่งกับรูดอล์ฟได้สบาย ๆ เพราะตอนขากลับจากธุระ จู่ ๆ ฝนก็ลงเม็ดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยังดีที่เดินเกือบถึงอพาร์ตเมนต์แล้ว ไม่อยากจะคิดว่าถ้าขืนอาการสาหัสขึ้นมาจริง ความเบื่อคงฆ่าผมตายคาห้องไปก่อนไวรัสแน่ ๆ ผมโยนผักที่หั่นเตรียมไว้ลงในหม้อ (ในตู้เย็นเหลือแต่แครอทที่อยู่มาเป็นชาติ ซาลารี่สองสามก้าน มันฝรั่ง และหัวหอม) ตามด้วยเบค่อนหั่นเต๋าและมะเขือเทศกระป๋องแบบสับละเอียด โรยพริกไทยลงอีกนิดหน่อยและผัดให้นิ่ม


    ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวจนอยากวิ่งเข้าห้องไปซุกผ้าห่มนุ่ม ๆ บนเตียงนอนอุ่น ๆ เสียเดี๋ยวนั้น แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเพียงแค่ทุ่มตรง แต่ความหิวจากการลืมกินมื้อกลางวันทำให้ผมยังต้องยืนหาววอดอยู่หน้าเตาแก๊ส กลิ่นหอมเริ่มโชยขึ้นมาจากหม้อ ผมบี้เนื้อมะเขือเทศเพื่อดูว่าเละได้ที่หรือยัง จากนั้นก็ค่อย ๆ เติมน้ำสต็อกไก่ลงไป ความร้อนที่พวยพุ่งไปทั่วบริเวณทำผมแทบอยากลงไปนอนกองกับพื้นครัวให้รู้แล้วรู้รอด 


    ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง มิเนสโตรเนก็พร้อมเสิร์ฟ ผมลากเสียงอายาวเมื่อน้ำซุปไหลลงคอที่แสบแห้ง มือหยิบหนังสือที่เพิ่งซื้อมาเมื่อตอนบ่ายนั่งอ่านไปด้วย แต่กลายเป็นว่าความเพลียค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา ตัวหนังสือในแต่ละบรรทัดเริ่มเบลอเข้าหากัน ผมรู้ว่าคงต้องยอมแพ้ จึงทิ้งอุปกรณ์ครัวเรือนทั้งหมดไว้ในอ่างล้างจาน หนังสือไว้บนโต๊ะกาแฟ และตรงเข้าห้องนอน


    เมื่อหัวสัมผัสหมอน ผมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว ภาวนาให้เป็นค่ำคืนที่ปราศจากความฝัน



    ❄❄❄


    ผมมองแผงหนังสือมือสองที่ทอดยาวไปตลอดริมแม่น้ำแซนที่ส่องประกายระยิบระยับจากแสงแดดยามบ่าย ผมกำชับกับตัวเองว่าวันนี้ต้องได้หนังสือสักเล่มหลังจากล้มเหลวมาแล้วถึงสองวัน เจ้าของร้านต่างพากันต้อนรับผมเสียดิบดีจนน่าอึดอัดใจ ผมชมสินค้าที่มีตั้งแต่ของที่ระลึกอย่างโปสเตอร์ โปสการ์ด จนไปถึงหนังสือเก่า และภาพวาดจนเพลินตา ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีชายคนหนึ่งเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร

       
    “เธอเป็นนักเรียนศิลปะใช่ไหม สนใจงานชิ้นไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า“ ถึงจะเป็นประโยคที่ได้ยินคนทักจนชินหู ผมไม่เคยมีโอกาสถามว่าทำไมทุกคนถึงคิดเช่นนั้นกัน


    ผมถามว่ามีหนังสือเกี่ยวกับศิลปะน่าสนใจแนะนำสักเล่มไหม เจ้าของร้านยิ้มโชว์ฟันที่มีคราบดำจากบุหรี่ เขาตบบ่าผมดังตุบ “ฉันมีของที่คิดว่าเธอต้องชอบแน่ ๆ“ เขาหายวับไปสักพักหนึ่งก่อนยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผม ดูจากหน้าปกบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นหนังสือเก่า แต่สภาพโดยรวมถือว่ายังดีอยู่ไม่น้อย


    ‘ศิลปะและจิตวิเคราะห์’ เขียนไว้อยู่กลางปก แต่ชื่อคนเขียนกลับไม่ใช่ฟรอยด์อย่างที่คิด คงเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ศิลป์คนหนึ่งที่ผมไม่เคยได้ยินชื่อ ผมเคยเรียนทฤษฎีของนายแพทย์ชาวออสเตรียผู้นี้ในวิชาวิจารณ์งานศิลป์อยู่บ้าง แต่อาจารย์ของผมมักกล่าวหาความคิดเหล่านั้นว่าไร้สาระ คำโปรยด้านหลังเขียนพาดไว้เด่นชัด ‘งานศิลปะ ในสายตาของฟรอยด์ ล้วนประกอบสร้างจากความปรารถนาอันแรงกล้าที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตไร้สำนึก เฉกเช่นเดียวกับความฝัน‘


    ผมรู้สึกถึงสายตาคาดหวังจากเจ้าของร้านที่มองมา ผมพยักหน้าอย่างพอใจ และควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายเงินให้เขา รู้สึกเหมือนกำลังลงเงินเดิมพันแปดยูโรว่าความฝันของฟรอยด์ไร้สาระอย่างที่เขาว่าจริงไหม


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in