ตื่นมาเช้านี้ หน้าตาผมคงดูไม่จืดเลยทีเดียว
สมองมึนตึ้บเหมือนไม่ได้พักผ่อน ภาพจากความฝันเมื่อคืนยังติดตา โดยเฉพาะหญิงสาวเปลือยอกในชุดขนนกสีแดงที่วนเวียนอยู่ในหัวราวกับเทปที่โดนกรอกลับไปมา หลอกให้สมองเชื่อว่าผมอยู่ที่คาบาเรต์โชว์ตลอดทั้งคืน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นมูแลง รูจ ทั้งที่ไม่เคยคิดอยากจะเฉียดตัวไปแหล่งสถานเริงรมย์แถวนั้นเลยสักนิด
ผมซัดยาแก้ปวดไปสองเม็ดก่อนพยายามข่มตานอนต่อตลอดครึ่งเช้า ตื่นมาอีกทีก็ปาไปเกือบเที่ยง (ผมขอโทษมอลลี่อยู่ในใจ) คอยังเจ็บอยู่นิดหน่อยสร้างความรำคาญเป็นช่วง ๆ แต่ยังดีที่ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ผมเปลี่ยนที่สิงสถิตมาอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ นั่งคิดอยู่นานว่าจะอ่านหนังสือต่อ หรือจะเปิดทีวีหาอะไรดู ช่วงนี้หลายช่องน่าจะทยอยฉายหนังคริสต์มาสบ้างแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าสมองไม่พร้อมจะรับข้อมูลสักเท่าไหร่
สุดท้าย ผมก็ไปลงเอยอยู่ที่ครัว แปลกมากที่ป่านนี้กระเพาะยังเงียบ แต่คอที่เจ็บ ๆ คัน ๆ ต้องการของร้อน ๆ มาบรรเทาอาการอย่างด่วน ผมตัดสินใจอยู่พักหนึ่งระหว่างหาร้านอาหารแถว ๆ นี้ หรือจะซื้อของเข้ามาทำเอง (ผมมองกองจานชามที่นอนเขรอะอยู่ในอ่างอย่างละลายใจ) ก่อนจะนึกได้ว่ายังมีไวน์แดง บอร์โดซ์เหลืออยู่ขวดหนึ่งบนชั้นเก็บของ ผมได้มันมาตอนไปปาร์ตี้หลังสอบเสร็จที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งที่คุยกันนับครั้งได้แต่ยังยินดีที่จะแบ่งปันของในคอลเลกชั่นของพ่อเขา (ผมไม่อยากย้อนกลับไปคิดเลยว่าคืนนั้นเขาดื่มไปกี่แก้ว หรือว่าจำได้ไหมว่าทำอะไรลงไปบ้าง) ถ้ามีไวน์คุณภาพเยี่ยมอยู่กับตัวแล้ว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เหลือแค่สูตรอาหารที่ไว้ใจได้
เดิมชั้นวางของที่แถมมากับห้องถูกหนังสือภาพเล่มหนากับนิยายชุดยึดไปหมด บวกกับการที่ผมยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องซื้อชั้นใหม่ (แถมที่นี่ก็ไม่มีอิเกียเสียด้วยสิ) หนังสือบางส่วนจึงต้องอพยพลงไปอยู่ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า ผมหยิบสมุดบันทึกสีน้ำเงินเข้มเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักขั้นที่สอง ใช้มือปัดหน้าปกที่ฝุ่นจับบาง ๆ เหมือนมีน้ำตาลเคลือบ เลียนแบบปฏิกิริยานักล่าสมบัติในหนังเวลาหาขุมทรัพย์เจอในที่สุด
ผมกางมันบนเคาน์เตอร์ ไล่เปิดดูรายการที่บันทึกไว้อย่างเป็นระเบียบ น้ำหมึกปากกาจางลงไปบ้างตามกาลเวลา สูตรบางสูตรผมจำได้จนขึ้นใจเพราะแสดงฝีมือมานักต่อนัก บางอย่างก็ยังไม่โอกาสได้ทำ ผมอดนึกย้อนกลับไปสมัยก่อนที่ชอบแอบมองเจ้าของสมุดเล่มนี้ทำอาหารอยู่ในครัว ตอนนั้นคุณยายแพตตี้ก็อายุมากแล้ว แต่ท่าทางของท่านราวนักเต้นรำโลดแล่นบนเวทีที่มีท่านเป็นนางเอก สมุดเล่มนี้ตกเป็นของผมหลังท่านเสียชีวิต และผมไม่คิดจะทิ้งมันไว้ที่บ้านอย่างแน่นอน
ผมเปิดไล่หาเมนูที่หมายตาไว้ ผมเคยได้ทานแค่ครั้งเดียวในปีก่อนที่ท่านจะเสีย และเป็นเมนูที่ผมเองยังไม่มีโอกาสได้ลองทำเลยสักครั้ง ผมคิดขำ ๆ ว่าถ้าเกิดเผลอทำอะไรผิดขั้นตอน หวังว่าคุณยายจะไม่มาหลอนผมในฝัน แม้ว่าผมจะคิดถึงท่านมากแค่ไหนก็ตาม
ทันใดนั้นเอง แรงพลิกกระดาษก็สะบัดบางอย่างให้ปลิวออกมาจากสมุด ผมก้มหยิบมันขึ้นมา คิดว่าเป็นชิ้นส่วนที่ขาดออกจากเล่ม แต่เมื่อเห็นเต็มสองตาว่ามันคืออะไร ผมแทบขยำมันทิ้ง
มันเป็นรูปถ่ายของภาพสีน้ำมัน ดูเผิน ๆ คล้ายกับโปสการ์ดที่ขายกันทั่วไปในร้านของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ หญิงสาวผมบลอนด์ในเดรสยาวสีฟ้าอ่อนปักเลื่อมลายดอกไม้เริงระบำท่ามกลางหมู่แมกไม้ ใบหน้าสดใส แก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อ ที่หลายคนคิดว่าเป็นเพราะความเขินอายที่ต้องมาเป็นแบบวาดรูป แต่ผมรู้ดีว่าเป็นเพราะความร้อนจากแสงแดด เพราะเธอโอดครวญทุกนาทีว่าเครื่องสำอางกำลังละลาย ผมเลยแกล้งทำเป็นลงพู่กันช้า ๆ โชคดีที่เธอไม่เคยรู้ มันเป็นภาพที่เป็นเหมือนความทะเยอทะยานเด็ก ๆ ของผมที่คิดอยากเลียนแบบงานศตวรรษที่ 18 ซึ่งเธอก็บอกตรง ๆ ว่าตัวเองไม่ใช่แฟนงานแนวโรโคโคแม้แต่น้อย แต่ผมกลับคิดว่าบรรดาศิลปินของยุคต้องต่อแถวมาขอเธอเป็นแบบวาดกันยาวเหยียด
“พวกนั้นจะไปหาผู้หญิงชนชั้นสูง หรือโสเภณีที่ไหนก็เชิญ“ เธอตะโกนบอกผม ก่อนยกมือทั้งสองข้างขึ้น ราวกับหงส์ที่ชูคอ “ฉันจะเป็นนางแบบให้แค่ศิลปินคนเดียวเท่านั้น”
สายลมพัดผ่าน กระโปรงพลิ้วไหวไปตามแรง ภูตน้อยยังคงเต้นรำ ส่วนพู่กันในมือผมหยุดนิ่ง ผมมั่นใจว่านี่อาจเป็นความรู้สึกของนิโกลาส์ ล็องเครต์ ขณะกำลังวาดนักบัลเล่ต์สาวมาดมัวแซลล์คามาร์โก คงจะดีถ้าวัตโต*จะชื่นชอบงานชิ้นนี้เช่นเดียวกันจนรับผมไว้เป็นศิษย์ ผมพูดกับเธอออกไปหวังกลบความประหม่า หัวใจเต้นคร่อมจังหวะการก้าวเท้าของเธอ
“จะไปเป็นศิษย์เขา นายก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาของเขาด้วยสิ” เธอร้องขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเผลอยกเท้าสูงจนรองเท้าหลุดกระเด็นไปข้างหนึ่ง “จะเรียกนายว่าไงดี เบนัวต์ดีไหม” เธอเดินไปที่หายเข้าดงหญ้า ก่อนจะล้มหน้าคะมำลงไปที่พื้น
ผมกับเธอหัวเราะออกมาพร้อมกัน
โชคชะตาก็ช่างเล่นตลก ในบรรดาภาพทั้งหมดที่ผมวาดเธอไว้ ต้องเป็นผลงานที่ผมรักที่สุดที่ตามหาผมจนเจอ ความทรงจำน่ากลัวกว่าฝันร้ายที่ทำได้แต่หลอกหลอนในยามค่ำคืน ผมไม่เคยกล้าพูดว่าทำใจได้แล้วแม้เรื่องราวจะผ่านมาปีกว่า ๆ มันคงเป็นคำโกหกคำโต เมื่อยังรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่โดนสะกิด ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่แผลยังสด ผมคงไม่ลังเลที่จะฉีกมันเป็นชิ้น ๆ เพราะหญิงยิปซีขี้ขโมยไม่ได้หวังเอาแค่หัวใจ เธอยังพรากผืนผ้าใบ พู่กันเก่า ๆ หลอดสีที่แห้งกรังไปพร้อมกับไฟปรารถนาของศิลปินที่ดับสูญ
ผมจ้องรูปถ่ายในมือ ผู้ให้กำเนิดเกือบกลายเป็นผู้ทำลาย ทั้งที่ศิลปะไม่ได้ทำผิดอะไร
สายตาเหลือบไปเป็นนิทรรศการขนาดย่อมบนตู้เย็น ผมครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจติดมันไว้ข้างภาพถ่ายหอไอเฟลมืด ๆ เอียง ๆ มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนักหรอก ที่ต้องโดนตอกย้ำอยู่เนือง ๆ ถึงความรักที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ในฐานะงานชิ้นหนึ่ง ผมกล้าพูดว่ามันเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของผม ในขณะที่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป สิ่งที่ผมพอจะทำได้คือให้เธอกลายเป็นภาพวาดชิ้นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ เพียงแค่เฝ้ามองและระลึกถึง แต่มิอาจจับต้องได้อีกต่อไป
❄❄❄
ผมแอบเดินเข้าไปใกล้ ๆ หมอนั่น เขาไม่ตกใจแม้แต่น้อยเมื่อรู้สึกมีอะไรมาประชิดตัว “หวังว่านายจะไม่ได้ซ่อนแส้ไว้แถว ๆ นี้นะ”
“มีมากกว่าแส้อีก” เสียงกรี๊ดดังขึ้นมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงชู่ และเสียงหัวเราะคิกคัก ผมใช้เวลาประมวลผลอึดใจหนึ่งก่อนจะเข้าใจว่าเขากำลังเล่นมุก ผมเผลอยิ้มออกมา โชคดีที่หมอนั่นไม่ได้เงยหน้าออกจากโต๊ะ เขาถามผมว่าอยากได้อะไรไหม เผื่อจะได้เตรียมของพร้อมกันไปเลย ผมบอกว่ากำลังวางแผนทำไก่ตุ๋นไวน์แดง
“โอ้ แบบนี้คงต้องขอตัว ฉันไม่ค่อยชอบไวน์เท่าไหร่” เขาว่าพลางห่อขาหมูรมควันด้วยกระดาษมัน ผมรับคำพูดนั้นไว้เป็นคำท้าในใจ มั่นใจว่าสูตรของคุณยายแพตตี้อาจทำให้หมอนี่ต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน "น่าเสียดาย ฉันก็ได้ลองชิมขวดที่เขาพูด ๆ กันว่าดีหนักหนาตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่เข้าลิ้นเลย" คำพูดของเขาทำให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องครัวเมื่อเช้านี้ รูปถ่ายก็ต่อชีวิตความทรงจำเหมือนจุลินทรีย์ถนอมอาหาร แต่ผมก็ดวงซวยที่ไปเจออันที่เน่าเฟะไปแล้ว
ผมยืนรอหมอนั่นส่งของให้ลูกค้า เสียงกรี๊ดกร๊าดของเด็กผีสามคนดังเป็นแบ็คกราวนด์ พอจะยกกาแฟขึ้นมาจิบ ผมไม่ทันใส่ใจเด็กคนหนึ่งที่วิ่งไม่สนใจหน้าหลังจนกระทั่งรู้สึกว่ามีอะไรมาชนที่ขา พร้อมได้ยินเสียงร้องของหมอนั่นเมื่อกาแฟกระฉอกออกมาสาดใส่แขนทั้งสองข้างเข้าเต็ม ๆ
ผมทิ้งกาแฟลงพื้น ขว้าแขนอีกฝ่ายอัตโนมัติ ความร้อนฉ่าสัมผัสผิว และลากตัวไปยังอ่างล้างจานหลังเคาน์เตอร์ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต่อต้านผมนักตอนผมจะเลิกแขนเสื้อที่เปียกชุ่ม ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาพยายามดิ้นตัวเองให้หลุดจากผมราวกับสัมผัสไฟ ผมจึงเผลอใช้พละกำลังที่เหนือกว่าดึงแขนเสื้อเขาขึ้นอย่างเต็มแรง หมอนั่นเลี่ยงสายตาผม ใบหน้าแสดงอาการหวาดกลัวสุดขีด ซึ่งในวินาทีต่อมา ผมก็เข้าใจว่าทำไม
ตลอดท่อนแขนขาวซีดทั้งสองข้าง เต็มไปด้วยรอยแดงเป็นเส้นลึกลงไปในเนื้อ เส้นเลือดที่แตกหลงเหลือสีเขียวม่วงช้ำจาง ๆ เหมือนถูกพู่กันสะบัดสีใส่ ผมยืนนิ่ง ราวเพิ่งสบตาอสุรกายกอร์กอน
“ไม่ ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ” เขาหยุดขัดขืนในที่สุด รีบป้องปฏิเสธเสียงสั่นเครือจนผมฟังแทบไม่ได้ศัพท์ แต่อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดอีกต่อไป
ทันใดนั้น เด็กชายคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา น้ำเสียงไร้เดียงสาน่าขนลุก
“แม่ฮะ งั้นพี่ชายคนนั้นก็ต้องทำตัวไม่ดีเหมือนกันใช่ไหม ดูสิ เขาโดนคุณพ่อจอมหวดลงโทษไปแล้ว”
* Jean-Antoine Watteau จิตกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 18 บิดาแห่งศิลปะแนวโรโคโค ผู้มีลูกศิษย์เป็นศิลปินมีชื่อร่วมสมัยหลายคน
** คุณพ่อจอมหวด (Le Père Fouettard หรือ The Whipping Father) ตัวละครที่เป็นคู่หูของนักบุญนิโคลัสตามตำนานของชาวยุโรป ซึ่งจะมีชื่อเรียกและประวัติที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องที่ ในวันนักบุญนิโคลัส (วันที่ 6 ธันวาคมของชาวคาธอลิก) ในขณะที่นักบุญนิโคลัสจะมอบให้ของขวัญกับเด็กตอบแทนที่ประพฤติตัวดี คุณพ่อจอมหวดจะมีหน้าที่ลงโทษเด็กเกเรด้วยการเฆี่ยนตีด้วยแส้ และให้ของที่เด็ก ๆ ไม่ต้องการอย่างเช่น ถ่านหิน ในฝรั่งเศส ตำนานของคุณพ่อจอมหวดได้รับความนิยมอย่างมากในแคว้นทางตอนเหนือและตะวันออกของประเทศ เช่นในแคว้นอาลซัส กล่าวกันว่าเรื่องราวของเขาปรากฏขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12 แต่ก่อนเป็นชายเจ้าของโรงเตี๊ยม บ้างว่าเป็นคนขายเนื้อ ที่ร่วมมือกับภรรยาฆาตกรรมเด็กสามคนจากครอบครัวร่ำรวย ขณะเด็ก ๆ กำลังเดินทางไปโรงเรียนหวังจะปล้นทรัพย์ เมื่อเรื่องถึงหูนักบุญนิโคลัส เขาก็คืนชีพเด็ก ๆ ขึ้นมา เจ้าของโรงเตี๊ยมรู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองก่อ และกลายมาเป็นผู้ช่วยของนักบุญนิโคลัส บางตำนานก็กล่าว่านักบุญนิโคลัสบังคับให้เขามาทำงานด้วยเพื่อชดใช้ความผิดที่กระทำลงไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in