เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Christmas en voyagehappypii
On the seventh day
  • ผมอยู่ในห้องน้ำ กำลังมองตัวเองในกระจก


    สภาพผมตอนนี้ดูไม่ต่างจากสิงโตทะเลอ้วนฉุ ทั้ง ๆ ที่หุ่นกำยำไร้ไขมันส่วนเกินเคยเป็นสิ่งที่ผมแสนจะภูมิใจ เพราะซิกแพคสวย ๆ เคยทำให้ติดโผรายชื่อหนุ่มฮ็อตของภาควิชามาแล้ว แต่ดูตอนนี้ คงถึงเวลาขจัดตัวขี้เกียจและข้ออ้างสารพัดออกเสียที ไม่งั้นผมคงได้แต่ฝันหวานถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ไปวัน ๆ 


    ผมเดินตัวเปล่าสั่นหงึก ๆ ออกจากห้องน้ำ นั่งหากางเกงวอร์มกับรองเท้าวิ่งที่โยนเข้ากรุตั้งแต่ใบไม้เริ่มร่วงโรย จนไปเจออดิดาสคู่ใจที่ใช้เกินคุ้มแอบอยู่ซอกมุมอับของห้องเก็บของ ส่วนกางเกงวอร์มนั้นคับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อยากลงโทษตัวเองเหลือเกินว่ากล้าปล่อยตัวขนาดนี้ได้อย่างไร ยิ่งคิดถึงปริมาณของกินเมื่อวานแล้วจิตใจก็ห่อเหี่ยวด้วยความสำนึกผิด 


    ผมตบหน้าเพื่อเรียกสติ ไม่ได้สิ ถ้าเราล้มก็ต้องลุกอีกครั้งให้ได้ ผมผูกเชือกร้องเท้าแน่น รวบผมที่เริ่มยาวเกะกะคอไว้เป็นจุก สวมถุงมือไหมพรมที่เริ่มกลายเป็นของติดตัวชิ้นโปรด (แม้ว่าจะหาเสื้อผ้าที่มีสีแมตช์กันยากไปหน่อย แต่ใครสนกัน) เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อม ผมพุ่งไปยังสวนสาธารณะที่อยู่แค่ฝั่งตรงข้ามด้วยจิตใจมุ่งมั่น จะเผชิญกับสภาพอากาศแบบไหน ก็ต้องไม่หวั่น


    ว่าแต่ กลับคำพูดตอนนี้ทันไหมนะ


    ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ได้ออกแรงหนักมานาน ทำให้เดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ไม่ยากนัก ผมสูดหายใจเอาอากาศแห้ง ๆ จนเสียดปอดเพื่อรับออกซิเจนที่มีท่าทีว่าจะไม่มีวันพอ เหงื่อเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ร่างกายปวดหนึบประท้วงให้หยุดทุกวินาทีที่เคลื่อนตัว ผมพยายามก้าวขาให้ไวกว่าเดิม ไม่ยอมอ่อนข้อให้พลังธรรมชาติง่าย ๆ แต่นั่นยิ่งทำให้ลมหนาวตีหน้าแรงจนรู้สึกถึงน้ำเอ่อคลอในดวงตา ความคิดสวนขึ้นมาในหัวว่าผมพาตัวเองมาทำอะไรที่นี่


    เรื่องราวดูเลวร้ายลง เมื่ออยู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างแว่วมาไกล ๆ ผมหันมองซ้ายขวาด้วยความวิตก สวนลุกซ็องบูรก์ในสภาพอากาศและเวลาเเบบนี้ไม่ต่างอะไรกับป่าร้าง ขนาดสัญชาตญาณไม่ได้เรื่องของผมยังเตือนว่าอย่าหันกลับไปมองเด็ดขาด ผมเร่งฝีเท้าขึ้นแม้รู้สึกว่าร่างกายกำลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่เสียงที่ผมเริ่มแยกออกว่าเป็นเสียงน้ำแข็งและกิ่งโม้บดพื้นดังกรอบแกรบกลับได้ยินชัดขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ทันที่ผมจะตั้งคำถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ไหล่ซ้ายผมก็โดนจับหมับเข้าอย่างจัง แรงบีบกดเข้ามาในเนื้อจนต้องข่มตัวเองไม่ให้ร้องอุทานเสียงหลงหรือทำอะไรน่าอายกว่านั้นออกไป ผมตัวแข็ง เมื่อหันหน้าไปปะทะกับดวงตากลมโตราวตากวาง


    “เธอทำบ้าอะไรเนี่ย นี่มันอันตรายรู้ไหม” ผมหอบถี่จนพูดติดขัด แต่มาร์เกอริตยืนนิ่งเหมือนไม่ได้เพิ่งวิ่งไล่จับผู้ชายตัวใหญ่กว่าเธอเกือบครึ่ง เธอทำหน้ามุ่ยที่โดนเอ็ด “ก็ฉันเรียกนายแล้วไม่ยักหันมา” 


    ตอนไหนวะ ผมอยากตอกเธอกลับเต็มประดา ถ้าลื่นหกล้มแข้งขาหักขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ แต่ยังเหนื่อยเกินจะโต้ทัน  


    “เอาน่ะ ใช่ว่าฉันจะทำนายหัวคะมำซะที่ไหนกัน” เธอตีหน้าทะเล้น “แล้วนั่นแต่งตัวอะไรของนายน่ะ คิดว่าใส่เสื้อวิ่งแขนยาวอย่างเดียวแล้วจะพอรึไง อากาศแบบนี้ทำไมไม่ใส่แจ็คเก็ตด้วย เดี๋ยวก็หนาวตายกันพอดี" 


    “เปลืองตังค์” ผมพูด พยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น


    หญิงสาวถลึงตาใส่ ทำให้ผมคิดถึงหมาชิวาวา “มันมีเหตุผลนะว่าทำไมเสื้อผ้าถึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ร่างกายเกิดช็อกขึ้นมาอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ตลกดีที่ท่าทางจุ้นจ้านของเธอทำให้ผมคิดถึงแม่ได้ เพราะรูปร่างเล็ก ๆ กับนิสัยขี้บ่นเหมือนกันล่ะมั้ง ผมพลันสงสัยว่าเธอวิ่งที่นี่ทุกเช้าเป็นปกติหรือเปล่า เพราะผมที่มาที่นี่แทบตลอด (เว้นกรณี 1. หน้าหนาว 2. ถ้าไม่สลบเหมือดจนตื่นสายโด่งเพราะทำงานโต้รุ่ง) ไม่คุ้นว่าเคยเจอเธอเลยสักหน 


    เธอพยักหน้า ส่งเสียงอื้มหนักแน่น “ฉันจะโกหกนายไปทำไมกัน ใช่ว่านายจะจำคนแถว ๆ นี้ได้หมดซะหน่อย” ผมหรี่ตา รำคาญน้ำเสียงจิกกัดนั่นเล็กน้อย 


    กลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนทอดทิ้งภารกิจเพื่อสุขภาพกันทั้งคู่ และเดินทอดน่องไปตามถนนร้างคนในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมกับกิจกรรมสักเท่าไหร่ ความร้อนสะสมในตัวเริ่มถูกแทนที่ด้วยความเย็น ผมพยายามไม่สนใจ ไม่อยากเสียภาพลักษณ์ว่ากำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าต่อหน้ายัยจอมเขมือบ 


    พวกเราเดินมาถึงสระน้ำขนาดใหญ่หน้าพระราชวังลุกซ็องบูรก์ที่ปัจจุบันใช้เป็นอาคารวุฒิสภา ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทา แต่ผมเดาว่าตอนนี้น่าจะเป็นเวลาช่วงสายแล้ว (ผมภาวนาให้มีแดดมาสักนิดก็ยังดี แต่ดูท่าจะไม่มีโชคสุด ๆ) ตรงลานกว้างหน้าวังแลเห็นครอบครัวพาเด็ก ๆ มาเล่นปาหิมะส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันสนุกสนาน คู่รักนั่งเคียงกันเงียบ ๆ บนม้านั่ง คนพาสุนัขมาเดินเล่น ผมมองน้ำในสระที่นิ่งสงบ ทั้งที่ในฤดูร้อนมันเป็นดั่งสวรรค์ของนกน้ำ และคอยต้อนรับกองทัพเรือใบของเด็ก ๆ ผมอดเศร้าใจไม่ได้ บรรยากาศของฤดูหนาวมักอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความตายขับไล่ความมีชีวิตชีวาของธรรมชาติไปเสียหมด ทั้งที่คริสต์มาสอยู่ใกล้แค่เอื้อม 


    แต่นั่นก็คงเป็นแค่ความคิดของผมคนเดียว เพราะข้างนอกนั่น จิตวิญญาณของผู้คนที่หลับใหลจะตื่นขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ ไฟประดับจะสว่างจ้า และเสียงเพลงจะกึกก้องไปทั่วทุกมุมถนน จนต้องประหลาดใจว่ามหานครที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ยังเปล่งประกายได้มากขึ้นอีก น่าเสียดายที่การอยู่ท่ามกลางแสงสีเหล่านั้นไม่เคยทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาสักนิด


    “เธอเคยสงสัยไหมว่าพวกเป็ดหายไหน” ผมเคยถามคำถามเดียวกันกับพี่เลี้ยงของผมในฤดูหนาวปีหนึ่งตอนยังเป็นเด็กชายวัยกระเตาะขณะเดินเล่นในสวนสาธารณะที่ใหญ่โตกว่าที่นี่หลายร้อยเอเคอร์ แต่กลับไม่เห็นฝูงเป็ดแมนดารินสีสันสดใส หรือแม่หงส์กับลูก ๆ ของเธอในทะเลสาบเหมือนอย่างเคย พี่เลี้ยงผมดูงุนงง คงคิดแค่ว่าเป็นคำถามไร้เดียงสาของเด็กน้อย จึงได้แต่ปลอบใจว่าพวกมันต้องมีที่พักอุ่น ๆ อย่างแน่นอน หญิงสาวเองก็มีสีหน้าเดียวกันเป๊ะ สงสัยต้องจัดให้เป็นอีกหนึ่งปัญหาโลกแตกเสียแล้ว


    “ไม่รู้สิ แต่จะว่าไปก็ใจหายเหมือนกัน” ผมหันมองมามองเธอที่กำลังพูด ดวงตากลมโตคู่นั้นดูเหม่อลอย “เวลาอะไรที่เราคุ้นเคยจู่ ๆ ก็หายไปเสียอย่างงั้น”


    ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอมีพลังอ่านใจคนได้หรือเปล่า เพราะผมกำลังนึกถึงจูบอรุณสวัสดิ์ตอนแปดโมงเช้า กลิ่นเบค่อนไหม้ ๆ เสียงติ๊งจากเครื่องปิ้งขนมปัง รถไฟใต้ดิน โรงละคร สตูดิโอ โอเปร่า ผืนผ้าใบ เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม — ฉันรักนาย 


    “ความคุ้นเคยคือสัญญาณบอกว่าชีวิตยังคงดำเนินไปตามปกติ” ผมเอ่ยขึ้น “ ไม่มีใครชอบความเปลี่ยนแปลงนักหรอก ”


    มาร์เกอริตเอียงคอมองผม “เป็นคนที่ดูชอบทำตัวบ้าบิ่นแต่เสพติดความจำเจ“ ก่อนจะยิ้ม “นายนี่น่าสนใจจริง ๆ” 


    ความเงียบเข้าปกคลุม ผมรู้สึกว่าประสาทสัมผัสเริ่มชา ร่างกายสั่นเกร็งจนเจ็บ จนสุดท้ายก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้ ผมเอ่ยปากชวนเธอไปหาอาหารเช้าทาน แต่ขอแวะอพาร์ตเมนต์เปลี่ยนเสื้อสักครู่ เธอตอบตกลง ออกจะกระตือรือร้นไปหน่อยตอนได้ยินคำว่าอาหาร เมื่อถึงหน้าที่พัก ผมให้เธอรอตรงโถงชั้นล่างสุดขณะที่ผมรีบขึ้นไปอาบน้ำ (ผมยอมจ่ายค่าน้ำร้อนแพงลิบลิ่ว) 


    สุดท้าย ภารกิจวันนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมเดินคอตกออกมาจากน้ำห้องควันฉุย ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากความไม่เจียมตัวของผมเองด้วยนั่นแหละ แต่ก็กลับได้เพื่อนกินมื้อเช้าอย่างงง ๆ เรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน


    ผมลงมาข้างล่าง เห็นเธอกำลังยืนคุยอยู่กับใครคนหนึ่ง ในหัวผมเปิดไฟฉุกเฉินเตือนสัญญาณอันตรายดังลั่น คุณคานาตะหันมามองผมที่ยืนอ้ำอึ้งบนบันได้ด้วยสายที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีเวลาเธอได้ข้อมูลใหม่ ๆ ไว้นินทากับเพื่อนฝูง (ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันคือเรื่องอะไร) ก่อนจะโบกมือลาขอตัวออกไป ผมกุมขมับ ส่วนหญิงสาวทำหน้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น 


    ❄❄❄


    เราอยู่ในร้านขนมปังที่ผมเป็นลูกค้าประจำ หอมกลิ่นขนมหวานและกลิ่นแป้งอบอุ่น ๆ จนอยากเป็นหมีจำศีลที่นี่ไปตลอดกาล มาร์เกอริตเคี้ยวครอกเมอร์ซิเออร์ดูเอร็ดอร่อย ผมจิบกาแฟร้อน พลางเดาว่าเธอคิดจะกินอะไรต่อจากนี้อีกไหม เสียงเธอก็แทรกความคิดขึ้นมา 


    “ฉันมาคิดดูนะ — กร้วม กร้วม — ชีวิตที่วนลูปก็ทำให้สมองไม่ฟุ้งซ่านดีอยู่หรอก” เธอพูด “แต่ใครมันจะไปทนใช้ชีวิตแบบนั้นไปได้ตลอดกัน นายว่าจริงไหม” ผมใช้เวลาประมวลข้อมูลพักหนึ่งกว่าจะเข้าใจสิ่งที่เธอกำลังสื่อ ใช่ ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้ทีเดียวเชียว แม้ผ่านมาจะครบปีแล้ว ผมยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองกล้าที่จะหนีออกมาจากวังวนนั้น  ในช่วงเวลาที่จิตใจโหยหาที่พึ่งพิงอย่างถึงที่สุด ผมกลับเลือกส่งตัวเองไปลอยแพท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำที่ไม่มีทางรู้ว่ามันจะซัดผมไปไหน มันน่ากลัวเป็นบ้า แต่ผมรู้แค่ว่าผมต้องการปุ่มรีเซ็ตชีวิตอย่างเร่งด่วนที่สุด ก่อนที่จะพลั้งมือทำอะไรที่บ้าบิ่นมากกว่าซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวข้ามมาอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก 


    “ความเปลี่ยนแปลงน่ะ ที่จริงมันก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก ชีวิตเราก็เจอเซอร์ไพร์สอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว บางเรื่องก็ต้องใช้เวลากว่าจะรู้ว่ามันคือของขวัญ ไม่ใช่ถ่านหิน“ จากสีหน้าของหญิงสาว ผมไม่แน่ใจว่าเธอกำลังพูดกับผมอยู่หรือเปล่า แต่คำพูดเหล่านั้นค่อย ๆ ซึมซาบเข้ามาในจิตใจของผม และจะอยู่ตรงนั้นไปอีกนานเลยทีเดียว


    “วันนี้ฉันว่าจะเเวะไปที่ เลตัวล์ ซะหน่อย นายจะไปกับฉันด้วยไหม”


    ผมตอบตกลง


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in