ที่ผมเคยพูดไว้ว่ามอลลี่จะมาหาผมทุกเช้านั้นออกจะเกินจริงไปหน่อย ความเป็นแมวใจพเนจรทำให้ผมต้องรอเก้อยังกับหนุ่มที่โดนสาวเบี้ยวนัดอยู่หลายครั้ง แต่มันเป็นภารกิจที่ผมให้ความสำคัญเป็นอย่างมากทีเดียว นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไม ผมถึงตระหนกตกใจเมื่อเห็นว่าตู้เก็บอาหารแห้งนั่นแทบว่างเปล่า
ทำไมเหลืออยู่แค่กระป๋องเดียว ผมยื่นหน้าจนแทบมุดเข้าไปทั้งหัว เป็นไปไม่ได้ เพิ่งซื้อมาเติมไม่นานมานี่เองเนี่ยนะ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือยกขยี้ผมไม่สบอารมณ์ หลังจัดการมื้อเช้าง่าย ๆ ผมก็รีบลงไปข้างล่างเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัด
เจ้าแมวเยื้องย่างมาจากมุมถนน ร้องครางเหมียว ๆ สั่งให้ทาสอย่างผมนำของมาเสิร์ฟให้ ผมนั่งยองมองเธอเพลิดเพลินกับอาหารเช้า มือหนึ่งลูบขนนุ่มฟูเบา ๆ หลับตาพริ้มดูมีความสุขเสียเหลือเกินนะ เจ้าเหมียว เห็นอย่างงี้แล้ว ผมก็เเอบกลัวอยู่เหมือนกันว่าเธอจะเกิดคิดพิเรนทร์ทิ้งเจ้าของตัวเองและตามมาอยู่กับผมเข้าจริง ไม่ใช่เพราะสงสารเจ้าของเธอหรอก แต่ที่ตึกผมเขาห้ามไม่ให้เลี้ยงสัตว์น่ะ เอาเถอะ ผมคงคิดเพ้อเจ้อไปอยู่ฝ่ายเดียว ในเมื่อไม่มีใครเดาใจเจ้าสิ่งมีชีวิตพิศวงนี่ได้อยู่แล้ว
แน่นอนว่านี่คือวาระฉุกเฉิน (เป็นความเลินเล่อที่ให้ไม่น่าให้อภัย) แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองชักกลับมาที่นี่บ่อยผิดหูผิดตา อาจจะเป็นแผนของหมอนั่นก็ได้ เจ้านั่นอาจเป็นพ่อมดชั่วร้ายที่เปิดร้านขายเนื้อไว้บังหน้าและปกปิดแผนการลับอะไรบางอย่าง ลองคิดดูสิ ทั้งเจ้าของร้านคนเก่าที่จากไปอย่างกะทันหัน ท่าทีนิ่ง ๆ ดูสุขุมแอบน่าขนลุก สูตรอาหารอร่อยเวอร์วังที่เรียกลูกค้าให้กลับมาเรื่อย ๆ นั่นอีก
ใครได้ยินเข้าคงหัวเราะเยาะตาย ผมนึก ถ้าคนรู้จักมาฟังเข้าคงปรามผมให้เลิกหมกมุ่นนิยายไซไฟแฟนตาซีกันใหญ่ แต่จินตนาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ได้ทำให้ใครเสียหายสักหน่อย ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับกันในปัจจุบันล้วนมีความคิดพิสดารเป็นตัวจุดประกาย ผมว่าที่ตลกกว่าคือ ในทางกลับกัน เมื่อเราดันเผชิญหน้ากับสถานการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจริงเข้าอย่างจัง ก็ชอบไปสรุปว่ากำลังโดนใครเล่นตลกหรือโดนฤทธิ์สารมึนเมาที่จำได้ว่าไม่ได้ดื่ม เหมือนผมที่ผลักประตูร้านเข้าไปแล้วพบว่าสิ่งที่ต้อนรับผมไม่ใช้คำทักทายเสียงโมโนโทนชินหู แต่เป็นเสียงหัวเราะ
เจ้าคนที่มักยืนเป็นประติมากรรมหินอ่อนประดับเคาน์เตอร์กำลังยืนกอดอกในท่าทีผ่อนคลาย ผมที่ใส่เจลตกลงปิดหน้าผาก บางส่วนโดนทัดหูไว้ลวก ๆ ใบหน้าอาบยิ้มเผยฟันขาวที่เรียงตัวอย่างสวยงาม เสียงหัวเราะดังใสไร้ความเอียงอายสะท้อนก้องอยู่ในหู ผมล่ะสงสัยว่านักกวีจะบรรยายความรู้สึกผมตอนนี้ว่าอย่างไรกัน เหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางใจ หรือไง ที่จู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าแต่ร่างกายกลับเย็นเฉียบจนถึงขั้ว มือยกมาทาบอกตอนไหนไม่รู้ตัวเลยสักนิด อะไรกันวะเนี่ย
“ทำอะไรของนายน่ะ” พอรู้ตัวอีกที ผมก็โดนจ้องด้วยสีหน้างุนงง รอยยิ้มนั่นเลือนหายไปอย่างรวดเร็วทิ้งเศษเสี้ยวความเสียดายไว้ในใจ
“เปล่า” ผมปฏิเสธเสียงเรียบอำพรางเสียงเต้นตุบ ๆ ที่แล่นไปทั่วร่างกาย จนไม่ทันสังเกตว่ายังมีอะไรอีกอย่างที่ผิดแปลกไป มีแขกที่ผมไม่เคยเห็นหน้าอยู่ตรงนี้ด้วย และกำลังจ้องมาที่ผมด้วยดวงตากลมโตจนน่าผวา “เอ่อ ถ้านายมีธุระอยู่ ฉันออกไปรอข้างนอกก่อนก็ได้” ผมไม่กล้าสบตาคู่นั้นกลับ แม้สายตาที่ว่าจะเป็นของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ดูไร้พิษสงก็ตาม
“อ้อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอก็กลับแล้ว” หญิงสาวหันขวับกลับไปที่เขา คิ้วขมวดเป็นปม ทั้งคู่จ้องกันเขม็งราวกับกำลังสื่อสารกันทางโทรจิต ผมถือโอกาสนั้นสังเกตเธอจากหางตา น้องสาวเหรอ ไม่น่าใช่ ดูไม่เหมือนกันสักนิด เพื่อนมั้ง รอยยิ้มนั้นกลอกลับเข้ามาในหัว หรือมากกว่านั้น เจ้าหมอนั่นชอบผู้หญิงแบบนี้หรือยังไง แต่นั่นก็ไม่ใช่กงการอะไรของเราอยู่ดี
ผมบอกสิ่งที่ต้องการกับเขา น้ำเสียงที่ออกมาฟังกระด้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ แอบรู้สึกว่าผมเผลอบอกปริมาณของเกินกว่าที่กะไว้ไปหน่อย แต่กันไว้ดีกว่าแก้ คนอย่างผมไม่อยากพลาดพลั้งทำลายความเชื่อใจที่หญิงสาวสี่ขาอุตส่าห์มีให้อย่างแน่นอน
คราวนี้ เป็นหมอนั่นเองบ้างที่ทำหน้าเหวอ
“อ้อ ไม่ใช่ของฉันหรอก อาหารแมวน่ะ”
"นายเอาของที่ร้านฉันไปให้แมวกินงั้นเหรอะ”
จะเรียกว่าโชคดีได้ไหม ที่ได้เห็นหมอนั่นทั้งเวอร์ชั่นผ่อนคลายทั้งเดือดดาลในวันเดียวกัน ผมได้แต่ยืนอ้ำอึ้ง ซึ่งนั่นทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เพราะเหมือนว่าผมกำลังสรรหาข้ออ้างคำโกหกมาแก้ตัว ทั้งที่จริง ๆ ผมไม่ยักเห็นว่าตัวเองทำผิดอะไร (เงินก็จ่าย) ผมเลยตอบอืมอย่างไม่ใส่ใจ หึ คิ้วจะผูกกันเป็นปมอยู่แล้ว และหยิบโทรศัพท์มากดเปิดหน้าจอยื่นให้เขาดู รูปสัตว์ตัวกลมพลุกนอนหลับทำหน้าพริ้มปรากฏขึ้นมาเเก่สายตา หมอนั่นนิ่งไปทันที “นี่มอลลี่ น่ารักใช่ไหมล่ะ”
ดวงตาเป็นประกายราวหญ้ามอสอิ่มน้ำฝนจ้องภาพนางแมวส้มไม่ละ เขากำมือถือผมเสียแน่นจนเสียวจะหักคามือ หญิงสาวที่ยืนเงียบมานานพูดโพล่งขึ้นทำลายความนิ่งสงัด
“งั้นฉันค่อยมาหาใหม่ละกัน นายจะได้ทำงานไปก่อน” เจ้านั่นพยักหน้าอาย ๆ และพูดขอบคุณเธอด้วยโทนเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากเขา เธอเดินจ้ำอ้าวตัดหน้าผมออกไปโดยไม่ชายตามองผมสักนิด
“เอ้า” เขาคืนโทรศัพท์ “และนี่ก็ของของนาย”
หมั่นไส้จริง ทำไมต้องโดนถมึงทึงใส่ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าทำหน้าตาเป็นมิตรกับชาวบ้านก็เป็น
“นายนี่ต้องเป็นพ่อมดแน่ ๆ เลย”
“ว่าอะไรนะ”
“เปล่า” แล้วผมก็เดินออกจากร้านไป ในมือถือถุงใส่อาหารแมวกระป๋องเกรดพรีเมียม กับมุมปากที่เผยอยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ แต่ในวินาทีที่รองเท้ากระทบพื้นถนนด้านนอก หัวใจผมแทบหยุดเต้นเมื่อหันไปเห็นหญิงสาวคนนั้นยืนพิงผนังร้านเหมือนนักล่าที่เฝ้ารอตะปบเหยื่อ เธอมองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับครั้งแรกที่เราเจอกันข้างใน
“ไปกินข้าวกัน”
ง่าย ๆ อย่างนั้นเลย
❄❄❄
ไปหิวมาจากไหนกันนะ
กลายเป็นว่าผมที่ทานส่วนของตัวเองหมดก่อนไปพักใหญ่ต้องมานั่งมองเธอเขมือบเบเกิลชิ้นที่ห้าเข้าไปในคำเดียวอย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนได้เห็นหลุมดำกำลังกลืนกินดวงดาวอย่างไรอย่างนั้น ตลอดมื้ออาหาร เธอไม่สนใจผมเลยแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่เป็นคนลากผมมาที่นี่โดยที่ผมไม่ทันจะตอบตกลงอะไรเลย ตรงแขนยังรู้สึกถึงแรงกดมหาศาลตอนที่มือเล็ก ๆ นั่นคว้าไว้แน่น นี่ล่ะมั้งคือปลายทางของสารอาหารที่เธอบริโภคเข้าไป แม้จะตัวเล็กกว่าขนาดที่ว่าใช้เธอเป็นที่รองแขนได้สบาย ๆ แต่ถ้าต้องให้แข่งพละกำลังกันเอาจริงเอาจังล่ะก็ ยังหวั่นใจว่าตนเองอาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ผมหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ทหวังจะสูบฆ่าเวลา เธอย่นจมูกดูรังเกียจ ปกติผมก็ไม่ได้สูบจริงจังอะไรหรอก แต่ผมคงกำลังปฏิบัติตามที่เขากล่าวว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาม อะไรเทือกนั้น ไม่ก็กลายเป็นเหยื่อตัวเป้งของจิตวิทยาหมู่ไปเรียบร้อย (การสูบบุหรี่แทบเป็นวัฒนธรรมแห่งชาติของที่นี้ไปแล้วมั้ง) แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกถึงข้างในกำลังแผดเผาช่างชวนให้เสพติดเสียเหลือเกิน
“ที่นี่คงน่าอยู่กว่านี้มากถ้าถนนไม่มีแต่ก้นบุหรี่” เธอดื่มน้ำอึกใหญ่ เศษขนมปังหลายชิ้นติดอยู่มุมปากให้อารมณ์พาเด็กน้อยออกมาเที่ยว “แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ฉันที่จะไปตัดสินใครเขา”
ผมเงียบและพ่นควันบุหรี่ออกมา เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “นายคิดว่าจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม”
ไม่ใช่คำถามที่คาดว่าจะได้ยินแม้แต่น้อย ดูท่าว่าเธอคงรู้เรื่องของผมมาบ้าง หมอนั่นดูยังไงก็ไม่ใช่คนชอบนินทาลูกค้าให้ใครฟัง ฉะนั้นความสัมพันธ์ของสองคนนี้ต้องใกล้ชิดกันมากอย่างที่ผมคิดไว้ หรือก็เป็นไปได้ว่าเจ้านั่นมีอาชีพเสริมเป็นพ่อสื่อคอยจัดนัดบอดให้เพื่อนสาวผู้เปลี่ยวเหงา ฟังดูหลงตัวเอง ใช่ แต่สมมติฐานนี้ยังปัดตกไปไม่ได้สักทีเดียว เพราะมันเคยเกิดขึ้นกับผมมานักต่อนักหลังจากเหตุการณ์นั้น (โดยฝีมือแม่ตัวเองด้วยนะ เอาไงล่ะ) ผมบอกเธอไปตามจริง
มาร์เกอริต — ใช่ นั่นชื่อของเธอ พยักหน้าตอบรับ หญิงสาวเขี่ยเศษขนมปังในจาน ผมไม่ได้ยินที่เธอพึมพำกับตัวเองต่อ
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของผู้คนที่นั่งทานอาหารกันนอกชานไม่หวั่นลมหนาว ราวกับพวกเราเห็นพ้องต้องกันที่จะเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา และนั่นทำให้ผมรู้จักเธอเพิ่มขึ้นเยอะทีเดียว เช่นว่าเธอเป็นนักเรียนวิศวะเครื่องกลที่โปลีเทคนิค (นั่นอธิบายเรื่องพละกำลังมหาศาลได้เป็นอย่างดี) “คิดว่าคนอย่างฉันเรียนไม่ได้หรือยังไง” เธอเลิกคิ้ว หวังว่าเธอจะไม่คิดว่าผมมีเจตนาดูแคลนเธอ โชคดีที่ทีท่าของหญิงสาวออกจะไปทางขบขันเสียมากกว่า
จากเรื่องสัพเพเหระวกเข้าสู่การถกประเด็นการเมืองอย่างเผ็ดร้อน ผมพบว่าเธอสนับสนุนฝ่ายซ้ายหัวชนฝา เป็นนักอนุรักษ์ต่อต้านภาวะโลกร้อนที่เดินสายประท้วงเป็นประจำ และไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ศิลป์กับปรัชญาตะวันออกแม้แต่น้อย แต่เรากลับมีมุมมองเรื่องชีวิตที่ใกล้เคียงกันจนน่าประหลาดใจ แต่ที่ประหลาดใจกว่า คือผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะสนุกกับบทสนทนาระหว่างกันมากขนาดนี้ (ครั้งล่าสุดมันช่างนานเสียเหลือเกิน)
พอเห็นว่าไหน ๆ เริ่มคุยกันถูกคอ ผมลองยกเรื่องเจ้าหมอนั่นขึ้นมาเผื่อเธอจะหลุดข้อมูลน่าสนใจ แต่หญิงสาวกลับนิ่ง จนบุหรี่ในมือผมกัดกินตัวเองเกือบสุดปลาย ผมเตือนตัวเองว่าจะไม่เผลอทิ้งมันลงกับพื้น
“หมอนั่นน่ะ“ เธอมองตาผม “ถึงจะดูเข้าหายากหน่อย แต่ก็เป็นคนดีมาก ๆ เลยนะ”
เสียงนาฬิกาตีบอกชั่วโมงใหม่ดังลั่นมาจากที่ไหนสักแห่งไล่ตะเพิดฝูงนกพิราบที่มายืนหาอาหาร เธอลุกขึ้นขอตัว และเดินหายเข้าไปในซอยสุดริมถนน ผมยังงุนงงกับประโยคที่เพิ่งได้ยิน ส่วนก้นบุหรี่นอนอยู่บนพื้นถนนที่เย็นเฉียบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in