‘เหมือนเดินอยู่ใต้กระโปรงโสเภณี’
ไม่แน่ใจว่าผมไปจำประโยคนี้มาจากที่ไหน หนังสักเรื่อง อาจารย์สักคน บทวิจารณ์ที่เคยอ่านหรือแว่วเสียงนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมา ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไง แต่มันก็ไม่ผิดสักทีเดียว อันที่จริงศิลปะมันไม่มีถูกมีผิดอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเป็นที่จงเกลียดจงชังไม่น้อยโดยเฉพาะกับคนท้องที่ ก็ต้องเห็นใจพวกเขาหน่อย เมื่อจู่ ๆ ก็เหมือนมีคนมาสร้างลึงค์จำลองขนาดตึก 80 ชั้นไว้ในสวนหลังบ้าน นอกจากจะบดบังทัศนียภาพเสียหมด ไอ้แท่งที่คิดว่าจะอยู่แค่ชั่วคราว ก็เปลี่ยนสถานะเป็นอนุสรณ์ถาวรเพราะไม่คุ้มกับงบรื้อถอนบานเบอะ คิดเล่น ๆ ว่าถ้าสัญลักษณ์การต้อนรับอารยธรรมตะวันตกเข้าสู่ ‘โลกใหม่’ เป็นอวัยวะเพศชายขึ้นมาจริง ๆ ผมว่ามันก็สมเหตุสมผลดี
เมื่อเช้านี้ ผมได้เสื้อโค้ทคืนในที่สุด (บอกลาผ้าพันคออัปลักษณ์นั่นไปได้เสียที) และเมื่อพยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้จะมีแดด ผมก็รีบคว้ากล้องที่วางแช่อยู่บนโต๊ะทำงานเสียนานจนฝุ่นจับ (ผมไม่ได้แตะมันเลยตั้งแต่สอบเสร็จ) และพุ่งตัวออกจากห้อง ดูเหมือนว่าโชคของผมจะกลับมาแล้ว ผมกระโดดลงบันไดเกิดเสียงตึงตังแถมด้วยเสียงตะโกนด่าจากโถงทางเดิน ข้างนอกนั่น ผมได้กลิ่นไอแดดจาง ๆ ผสมกับกลิ่นดอกไม้สะอาด ๆ จากเสื้อซักใหม่สร้างมายาที่ปลอบประโลมใจว่าฤดูใบไม้ผลิใกล้จะมาถึง ผมนั่งรอรถประจำทางสาย 87 ที่ป้ายแซงต์ ซุลปิส เพื่อมุ่งสู่ราปป์ - ลาร์บูร์ด็องแนส์
❄❄❄
เบื้องหน้าผม สวนสาธารณะที่เคยเขียวชอุ่มบัดนี้กลายเป็นทุ่งหิมะร้างผู้คน แต่ถัดจากตรงนี้ไปเพียง 500 เมตร แค่คิดสภาพความวุ่นวายก็พลันให้หงุดหงิดใจได้ง่าย ๆ คำว่าหอไอเฟลวันอาทิตย์ให้ภาพที่แจ่มชัดเสียเหลือเกิน
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ผมเองยังไม่เคยได้สัมผัสกับประสบการณ์จริง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาย่านนี้ด้วยซ้ำ ฟังดูไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่สำหรับคนที่อยู่ที่นี่มาเกือบปี มันเป็นความหยิ่งพิลึก ๆ ของผมเองที่คิดว่ามันโคตรจะคลิเช่ ไม่ใช่แค่เรื่องบรรยากาศอึดอัดจอแจของนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ ผู้คนต่อแถวรอเพียงเพื่อเสียเงินขึ้นไปชมวิวพาโนรามาและถ่ายเซลฟี่ป่าวประกาศให้รู้ว่าตนมาเยือนแล้ว ไหนจะพวกเร่ขายพวกกุญแจไอเฟลจิ๋วที่คอยตามตื๊อไม่เลิกนั่นอีก เธอเคยพูดไว้ว่าถ้าเกลียดใครก็ให้ซื้อไอ้นั่นให้น่ะแหละ พลางหัวเราะคิกคัก พร้อมอวดความสามารถในการต่อราคาของตนจนได้มาทั้งพวงในราคาแค่ยูโรเดียว
อา ผมเผลอคิดถึงเธออีกแล้วสินะ
สวนชองป์ เดอ มารส์ กล่าวว่าเป็นที่ที่เหมาะแก่การถ่ายรูปหอไอเฟลที่สุด ด้วยสภาพเป็นพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ ยิ่งฤดูหนาวได้ลบสีสันของต้นไม้ใบหญ้าและชาวเมืองที่เคยมาพักผ่อนจนหมด โครงเหล็กสูงเสียดฟ้าจึงลอยเด่นตัดกับท้องนภาเช้าวันอาทิตย์ที่สดใสขึ้นหน่อยเพราะแสงแดด (แต่ดูท่าว่าจะย้อนแสงไปบ้าง) ผมเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวยืนจับกลุ่มกันอยู่ตรงตีนหอ คงแห่มากันตั้งแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงความโกลาหลในช่วงสาย ผมหลุดยิ้มออกมา ถ้านโปเลียน โบนาปาร์ตสร้างประตูชัยเพื่อฉลองชัยชนะสงครามที่เอาสเทอร์ลิทซ์ หอไอเฟลก็เหมือนประตูชัยแด่การปฏิวัติอุตสาหกรรม เรื่องจู๋ยักษ์ของผมจึงอาจไม่เป็นที่ยอมรับสักไหร่ เพราะบรรดานักคิดหัวก้าวหน้าน่าจะอยากเดินลอดใต้กระโปรงโสเภณีเสียมากกว่า นักท่องเที่ยวพวกนั้นก็คงคิดเหมือนกัน
หลังกดชัตเตอร์ไปสองสามภาพ ผมรู้สึกว่าถึงหิมะรอบตัวเริ่มละลาย กลุ่มเมฆถอนกำลัง อาทิตย์ส่องจ้าจนต้องหยีตา ผิวที่แสบเเดงจากแดดเผา ในหน้าร้อนปีที่ 3 ที่เธอได้มาฝึกงานที่นี่ ผมนอนเปลือยเปล่าบนเตียงชุ่มเหงื่อ แอพทวิตเตอร์ส่งเสียงเป็นว่าเล่นเมื่อเธอส่งข้อความพร่ำบ่นมาเป็นชุด — ‘ถนนมีแต่ก้นบุหรี่’ ‘ผู้คนไร้มารยาทสิ้นดี’ ‘สะพานปงเนิร์ฟมีแต่กลิ่นฉี่’ ‘วิวบนซาเคร-เกอร์ก็งั้น ๆ แหละ’ ที่พูดไป ไม่ได้หมายความว่าเธอเกลียดที่นี่หรอก แค่นิสัยชอบจับผิดของเธอกำลังทำงาน เหมือนเป็นการประกาศชัยชนะที่ได้เห็นข้อบกพร่องในสิ่งที่กล่าวกันว่าไร้ที่ติ ผมนึกสงสัยว่าเธออยากให้อนุสรณ์ฉลองความปราชัยของเธอเป็นเหมือนโสเภณีหรืออวัยวะเพศชายมากกว่ากัน
‘อยากให้นายมาถ่ายรูปที่นี่จัง’
‘ไปแต่ที่เขาเที่ยวกันเกร่อ ไม่เอาด้วยหรอก’
เธอโต้กลับแทบจะทันที จนมีคำสะกดผิดเต็มไปหมด ‘ที่ใคร ๆ เขาอยากไปกันเพราะวีามันสำคัญต่างหากเล่า ใช่ว่าคุณค่ามีนจะลดลงซะหน่อย เจ้างั่ง เป็นนักเรียนศิลปะภาษษอะไร‘ จะห้ามไม่ให้ยิ้มก็สายไปเสียแล้ว ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง ทำหน้ามู่ทู่เป็นหมาอยู่แน่เลย ยัยนั่น สายตาเหลือบไปเห็นเครื่องเล่นวิดีโอมุมห้องเปล่งแสงสีแดงกระพริบบอกเวลาตี 1 แม้ช่วงเวลาจะแตกต่างกันถึง 6 ชั่วโมง ผมกลับไม่รู้สึกว่าเราอยู่ไกลกันแม้แต่น้อย
ประตูถูกเปิดออก น้ำก็ยิ่งไหลทะลัก กระแสความทรงจำพัดพาผมให้จมลึกลงไป ณ ก้นบึ้งที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ในฤดูใบไม้ผลิปีที่ 2 งานเทศกาลศิลปะของสถาบัน การแสดงอุปรากรที่จำไม่ได้ว่าตัวเองไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร เสียงเครื่องสาย — เชลโล่ เล่นทำนองคุ้นหูที่ทุกคนรู้จักแต่ไม่มีใครรู้ชื่อ เร ลาฟา ลา เร ยิปซีสาวผมดำในชุดสีแดงเพลิงเดินย่างกรายออกมาอย่างเย้ายวน เสียงใสกังวานแต่เต็มไปด้วยพลังเริ่มขับร้องเนื้อที่ผมไม่เข้าใจ (รวมถึงผู้ชมเกินกว่าครึ่งที่นั่งฟังอยู่ตรงนั้น ผมมั่นใจ) แต่ไม่มีใครมองไปทางอื่นสักคน ทุกสายตาถูกสะกดไว้ตรงกลางเวที
เมื่อม่านถูกดึงลง ความทรงจำหลังจากนั้นก็พร่าเลือนเหมือนมองผ่านม่านน้ำ เรื่องราวที่ว่าเรามาทำความรู้จักกันได้อย่างไร ผมบุกไปหาเธอถึงที่ห้องแต่งตัว หรือเธอเองที่บังเอิญมาเจอผมที่กำลังชมงานศิลปะกลางแจ้ง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสุดท้าย เราทั้งคู่ก็จบลงบนโซฟาขาดวิ่น รายล้อมไปด้วยขวดเบียร์ที่ว่างเปล่า ร่างกายร้อนผ่าวทั้งกอดรัดทั้งตักตวง ต่างฝ่ายต่างกลายเป็นโอเอซิสของกันและกัน ผมเคยคิดว่ามันน่าแปลกสุด ๆ ที่เราสนิทสนมกันรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ อาจเพราะผมเป็น ‘เจ้าเด็กขบถ’ ส่วนเธอเป็น ‘โบฮีเมียน’ ผู้หาญกล้าที่มีความจริงใจสุดบ้าบิ่น นั่นล่ะ คือสิ่งที่ทำให้เธอครองใจผู้ชมอย่างอยู่หมัดในฐานะนักแสดง ผมด้วยเช่นกัน
เย็นวันหนึ่งผมแอบขึ้นหอพักของเธอ เรานอนเคียงกันบนเตียงแคบ ๆ ในห้องฉุนกลิ่นน้ำหอมและเครื่องสำอางราคาถูก พูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย ผมเอ่ยปากถามถึงเพลงที่เธอร้องในวันนั้น
“‘อันความรักเปรียบดังวิหคป่า’ รู้ไหมว่าฉันทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เล่นบทนี้เลยนะ” เธอยกมือลูบผมที่เริ่มเห็นสีธรรมชาติของเธอกลางกระหม่อม ท่าทีประหม่าอย่างที่ไม่เคยเห็น ผมเลยโพล่งออกไปว่าผมชอบผู้หญิงผมบลอนด์ เธออมยิ้ม ดวงตาฉายแววซุกซนอยู่ในความมืดเหมือนสาวยิปซีที่เธอเคยสวมบทบาท ก่อนเริ่มท่องเนื้อร้องคลอไปเบา ๆ
‘ความรักเป็นเช่นเด็กชาวยิปซี
กฎไม่มี เคยยอมรับเสียที่ไหน
หากเธอไม่รักฉัน จะเป็นไร
รักเธอได้ ถ้าฉันรัก จงระวัง*‘
เหมือนเด็กน้อยที่โดนกล่อมนอน ผมผล็อยหลับไป เป็นอันว่าได้อยู่กับเธอที่นั่นทั้งคืน
และปล่อยให้ตัวเองขาดอากาศหายใจอยู่ใต้ท้องน้ำอันมืดมิดอีกครั้ง
กว่าจะว่ายกลับขึ้นพ้นน้ำได้ ก็มีเมฆจากไหนไม่รู้มาบังแสงอาทิตย์ไปเกือบหมดเสียแล้ว ผมเลื่อนดูภาพที่ตัวเองถ่ายไปด้วยแรงกดที่มากกว่าปกติเพื่อข่มอารมณ์ที่กลั่นจากความโกรธ 100% จนไม่เหลือที่ว่างสำหรับความเสียใจ และพบว่าไม่มีภาพไหนใช้ได้เลยสักภาพ แต่มีอยู่รูป ๆ หนึ่ง มันไม่ใช่ภาพที่สวยเลย ฟ้าก็หม่นไปแล้ว ตัวหอกลายเป็นสีเทาดั่งเถ้าถ่าน แถมออกจะดูเอียง ๆ ด้วยซ้ำ ยังกับฉากในหนังวันสิ้นโลก ผมเกือบจะลบมันทิ้งไปแล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย เพราะมันสะท้อนภาพหัวใจที่ถูกทิ้งร้างได้เถรตรงเสียเหลือเกิน
* บทเพลง Habanera หรือ L’amour est Un Oiseau Rebelle จากอุปรากรเรื่อง Carmen ประพันธ์โดย George Bizet ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันโดย Prosper Mérimée แปลโดย บัญชา สุวรรณานนท์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in