เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Christmas en voyagehappypii
On the third day
  •           ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ กลายเป็นว่าผมต้องถ่อไป เลตัวล์ ถึงสามวันติดกันโดยไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษความใจอ่อนของตัวเองอย่างเดียว 


    ผมตัดสินใจทิ้งผ้าพันคอขี้เหร่นั่นไว้บนห้อง ยอมอดทนฝ่าลมหนาวที่ทำเอาตัวสั่นไปตลอดทางเพื่อภารกิจใหม่ที่โผล่มาไม่มีปี่มีขลุ่ย ถ้าให้คิดในแง่ดี อย่างน้อยเมื่อวานผมก็ไม่ต้องเสียเวลาจัดการอาหารเย็นเอง เมื่อคุณคานาตะแวะมาหาผมช่วงก่อนเวลาปาร์ตี้เล็กน้อย อธิบายอย่างอาย ๆ ว่าตัวเองตื่นเต้นกับการจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ นี่มากเสียจนกะปริมาณของเยอะเกินกว่าที่คาดไว้ ผมรับอาหารที่แพ็คใส่กระอับเป็นอย่างดี พร้อมขอบคุณความเอื้อเฟื้อของเธอ ใช่ว่าคนเราจะได้กินอาหารหรู ๆ กันบ่อย ๆ เสียอยู่อย่างเดียวคือ — ผมก็ไม่อยากยอมรับนักหรอก ซอสแครนเบอร์รี่นั่นทำให้ผมครางออกมาเหมือนพวกผู้หญิงในร้านขนมหวานไม่มีผิด รู้สึกพ่ายแพ้เป็นครั้งที่สองอย่างไม่มีเหตุมีผล 


    ผมถอนหายใจดัง ไอเย็นลอยสลายไปในอากาศ ผมกอดถุงกระดาษสีฟ้าไว้แนบอก หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่ามันจะช่วยให้รู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง ผมมองของที่บรรจุอยู่ข้างใน หวั่นใจว่ามันจะเอียงเละอย่างที่คุณคานาตะกำชับเตือนไว้ 


    “ฉันฝากเอาไปให้พ่อหนุ่มคนนั้นหน่อยนะ และบอกด้วยว่าฉันขอบคุณมาก ๆ เขาช่วยชีวิตฉันไว้เลย ตอนถือก็ระวัง ๆ หน่อยนะ” แถมยังโดนเร่งเร้าให้เอาไปส่งให้เร็วที่สุดอีกต่างหาก “ทานตอนอุ่น ๆ จะอร่อยกว่าน่ะ” เธอว่าอย่างนั้น ในขณะที่มือผมเริ่มจะชาเอา ผมทำเสียงฮึดฮัดคำราญใจ รู้สึกอยากทำตัวเป็นปรปักษ์กับหมอนั่นชะมัด แค่คำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ชนะใจคุณคานาตะแซงผมไปไม่เห็นฝุ่น 


    พอใจลอยคิดไปเรื่อยเปื่อย ผมเลยเผลอเดินไปชนเข้ากับคนที่เดินสวนมา แรงปะทะไม่มากนัก แต่ด้วยความตกใจ ถุงกระดาษจึงร่วงลงจากมือดังตุบ 


    ไอ้ชิบหาย ผมรีบก้มตรวจดูของข้างในอย่างกระวนกระวาย จากหางตาผมเห็นว่าอีกฝ่ายก็นั่งลงอยู่ที่พื้นเหมือนกันจนตระหนักว่าตนเองน่าจะทำสัมภาระของอีกฝ่ายหล่นไปด้วย ผมแทบคลานสี่ขาไปหาเขา


    “ขอโทษจริง ๆ นะครับ เอ่อ”  ใบหน้าของหญิงสูงวัยปรากฏขึ้นแก่สายตา “คุณผู้หญิง ให้ผมช่วยนะครับ” ข้าง ๆ เธอ ตะกร้าใบหนึ่งตะแคงล้ม มวนไหมพรมหลากสีแตกเป็นเส้นพันกันยุ่งไปหมด ผมเลิ่กลักพยายามเเกะปมที่แน่นขัด แต่มือหนึ่งยื่นมาแตะตัวผม


    “ไม่ต้องหรอกพ่อหนุ่ม เอามันใส่ไว้ตะกร้าอย่างเดิมนั่นแหละ ลุกขึ้นเถอะ” ต่างจากคุณคานาตะ เธอเป็นผู้หญิงสูงวัยที่ตัวสูงจนยืนคุยกับผมได้สบาย ๆ การแต่งตัวของเธอทำให้เธอแทบกลืนหายไปกับบรรยากาศฤดูหนาว ทั้งโค้ทขนสัตว์สีขาวสะอาดสะอ้านและผ้าโพกศีรษะผ้าไหมสีครีม อีกทั้งรองเท้าบูทส้นสูงขาวมุกไม่หวั่นถนนที่ลื่นแฉะเพราะหิมะ เหมือนตัวละครจากนิทานที่เคยอ่านสมัยเด็กปลอมตัวออกมาใช้ชีวิตปะปนกับมนุษย์ จะใช่แม่มดขาวจากอลิซในดินแดนมหัศจรรย์หรือเปล่ากัน ผมรู้สึกว่าตัวเล็กลงไปทันตา


    ผมอยากไถ่โทษที่ทำของเธอเสียหาย อีกฝ่ายยิ้มออกมา “งั้นเธอมาเดินเป็นเพื่อนฉันล่ะกัน ฉันมีนัดกับพี่สาวน้องสาวไว้” 


    เมื่อคิดว่าของอาจเย็นชืดพอดีตอนถึงมือหมอน่ั่น ผมก็ตอบรับทันที ผมอาสาถือตะกร้าให้เธอ ก่อนเราทั้งคู่จะออกเดินเคียงกันไปเงียบ ๆ มีช่วงหนึ่งที่เธอขอตัวไปซื้อบุหรี่กับหนังสือพิมพ์ ผมแอบชำเลืองตาอ่านเนื้อหาข่าวที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่สักเท่าไหร่ อนาคตขุ่นมัวของประเทศมหาอำนาจภายใต้ผู้นำคนใหม่ สโมสรฟุตบอลผู้ไร้พ่ายจนน่าเบื่อ ข่าวพิศวาสฆาตกรรมจิปาถะที่หาได้เกลื่อนตามสื่อทั่วไป พบศพหญิงสาวถูกแทงเสียชีวิต คาดว่าฆาตกรคือแฟนหนุ่มของเธอหลังเหตุทะเลาะวิวาทอะไรเทือกนั้น กลิ่นบุหรี่ราคาแพงลอยแตะจมูกผสมกับกลิ่นอากาศแห้ง ๆ ทิ้งรสขมเฝื่อนไว้ในคอ เธอป้องปากขอโทษเมื่อเห็นผมสำลักไอ


    “เธอเป็นนักเรียนหรือ” เธอพ่นมันออกมา ไอหมอกที่เป็นทั้งลมหายใจและควันบุหรี่ ความตายและชีวิตที่แยกจากกันไม่ออก 


    พอได้มาสังเกตใกล้ ๆ ผมพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ ปอยผมสีบลอนด์แพลตินัมไล้ไปกับใบหน้าที่ดูร่วงโรยตามกาลเวลาแต่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณเสรีที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนต้องการ จะว่าเป็นแม่พิมพ์ของผู้หญิงที่นี่ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมถูมือที่เย็นเฉียบไปมาก่อนตอบเธอว่าใช่


    “ไม่เหงาแย่เหรอ ออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้” เธอเอ่ยเสียงเรียบราวกับมองผมออกทะลุปรุโปร่ง ผมส่ายหน้า รู้สึกขนลุกซู่ที่ไม่ใช่เพราะความหนาว “อาจจะไม่ค่อยรู้ตัวกันสักเท่าไหร่ แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตขี้เหงานะ พวกเขามักวิ่งตามหาความสัมพันธ์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม” 


    เธอเหลือบสายตามองตะกร้าไหมพรมที่พันกันยุ่งเหยิงในมือผม “เธอไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไปหรอก มันพันกันอยู่อย่างนี้ตั้งนานแล้วล่ะ”


    เราเดินกันมาถึงหน้าวิหารปงเตองอันเป็นย่านที่ผมคุ้นเคยดี ลานกว้างหน้าสิ่งปลูกสร้างสไตล์นีโอคลาสสิกขนาดใหญ่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ใกล้ ๆ กับทางขึ้นวิหารผมเห็นผู้หญิงสองคนโดดเด่นออกมาจากฝูงชน 


    ต้องเป็นเพราะสีชุดเเน่ ๆ ผมมองพวกเธอที่กำลังยืนคุยกันในท่าทีสบาย ๆ เพิกเฉยความเป็นไปของโลกรอบตัว หญิงชราที่มากับผมพลันสาวเท้าเร็วขึ้นมุ่งหน้าไปนั้น และเมื่อพวกเธอทั้งสามเห็นกัน ก็ต่างสวมกอดและหอมแก้มกันฟอดใหญ่ เธอ (ผมได้ยินพวกเธอเรียกเธอว่า ลูเเครซ) แนะนำผมให้กับพี่สาว — โคลตีลด์ที่ดูมีอายุกว่าเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะแว่นตาทรงเล็กสีแดงที่เธอสวม และไอชา น้องสาวผู้มีใบหน้าเข้มดุแต่ดูมีชีวิตชีวา มือหนึ่งกำลังถือกรรไกรตัดผ้าอันจิ๋วที่หยิบมาจะจัดการด้ายที่รุ่ยออกจากแขนเสื้อ เธอหัวเราะเสียงดังหลังฟังเรื่องราวซุ่มซ่ามของผมที่ดูไม่ค่อยจะน่าขันสักเท่าไหร่ พลางบ่นกลาย ๆ ถึงคนสมัยนี้ที่ชักจะไร้มารยาทขึ้นทุกวัน เห็นท่าทีมีน้ำโหนั่นแล้วผมกลัวเหลือเกินว่าเธอจะเผลอเหวี่ยงของมีคมอันตรายนั่นไปโดนคนอื่นเข้า


    “น่าเสียดายจังที่เราคงต้องลากันตรงนี้  ฉันอยากล่ะจะเห็นงานถ่ายภาพของเธอสักครั้งอยู่หรอกนะ” เธอจรดริมฝีปากบนแก้มผมเบา ๆ เกิดไออุ่นที่แผ่ทำลายความหนาวเย็นบนใบหน้าไปวาบหนึ่ง “เธอเป็นเด็กน่ารักจริง ๆ พ่อหนุ่ม” 


    และแล้วเธอก็เดินหายเข้าไปในฝูงชนกับพี่น้องของเธอ ตอนนั้นเอง ผมรีบคว้าโทรศัพท์ที่เสียบไว้ในกระเป๋ากางเกงมาบันทึกภาพที่อยู่ตรงหน้าทันที สามพี่น้องที่ยืนเรียงกัน — โคลตีลด์ที่สวมผ้าคลุมไหล่สีแดงเลือดหมู ชุดขนสัตว์สีขาวของลูแครซและคาร์ดิแกนสีกรมท่าของน้องสาวคนเล็กสร้างองค์ประกอบที่ชวนให้ทั้งน่าขันแต่ตราตรึงใจเป็นที่สุด ‘ภาพถ่ายที่ดีเกิดจากการหาความเป็นระเบียบที่ซุกซ่อนอยู่ในความบังเอิญ’ เป็นคติประจำตัวของผมก็ว่าได้ เลยภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่ฉวยจังหวะจนได้รูปเจ๋ง ๆ มาทันพอดี 


    ผมสำรวจถุงกระดาษของผมอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความเสียหายใหม่เพิ่มขึ้น พลางคิดสงสัยว่าผมบอกหญิงชราคนนั้นไปตอนไหนกันว่าผมเรียนถ่ายภาพ แต่นอกจากจะพบว่าสิ่งที่บรรจุมายังอยู่ในสภาพไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิมแล้ว ตรงก้นถุง มีถุงมือไหมพรมสีแดงคู่หนึ่งวางซ่อนอยู่


    ❄❄❄


    กว่าจะเดินมาถึงที่ร้านก็ใกล้ถึงเวลามื้อกลางวันพอดี ผมรีบเดินเข้าไปข้างในเพื่อหลบหนาว แต่เครื่องทำความร้อนก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเมื่อตู้โชว์เนื้อขนาดยักษ์ยังปล่อยไอเย็นแผ่ซ่านไปทั่ว หมอนั่นไม่ได้ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ แต่กำลังยืนทำความโต๊ะอยู่อีกด้านหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาเต็ม ๆ ทั้งตัว ผอมกะหร่องยังกับคนขาดสารอาหารทั้ง ๆ ที่เป็นลูกเจ้าของร้านเนื้อเนี่ยนะ คราวนี้ผมเป็นฝ่ายทักเขาก่อนบ้าง (เสียดายที่เจ้านั่นไม่สะดุ้งเลย) และยื่นถุงกระดาษสีฟ้าเปรอะดินให้เขา 


    “มูสชาเขียวกับแครนเบอร์รี่ คนที่วานฉันเขาฝากมาขอบคุณ” หมอนั่นทำหน้าตาตกใจแต่ก็รับไปเงียบๆ เมื่อเห็นว่าภารกิจลุล่วงด้วยดีผมก็เตรียมลากลับ


    “นายน่ะ เป็นนักศึกษาเหรอ” การได้ยินประโยคเดิมถึงสองครั้งในวันเดียวทำให้นึกว่าตัวเองหูฝาดไป แต่ท่าทีรอคำตอบของเขากลับชี้ไปในทางตรงข้าม ท้องผมเริ่มส่งเสียงโครกคราก ผมตอบอืมสั้น ๆ หวังให้เขาหยุดอยู่แค่คำถามนั้น หมอนั่นกลับทำอีกครั้ง — ในสิ่งที่ตรงกันข้าม “ซอร์บอนน์เหรอ”   


    “ใช่” ผมโกหก “ลุคให้ขนาดนั้นเลยเหรอ”


    “เปล่า ตรงกันข้ามเลยต่างหาก” เขาพูด ผมอ่านเขาไม่ออกจริง ๆ “ทำไมนายไม่กลับบ้านล่ะ”


    ผมไม่แน่ใจว่าบ้านที่เขาพูดถึงมีนัยยะในเชิงความหมายทั่ว ๆ ไปหรือว่าเขามีสมมติฐานบางอย่างเกี่ยวกับผมในหัว แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ทุกอย่างในตัวผมแทบจะป่าวประกาศว่า ‘ผมเป็นชาวต่างชาติ’ อยู่แล้ว น่าเสียดายที่ความเป็นเลิศทางภาษาไม่ได้ช่วยปกปิดลักษณะทางชาติพันธุ์ได้เลย ถึงกระนั้นก็ตาม แม้จะเป็นคำถามที่ฟังดูไร้เดียงสา แต่จิตใจสั่งการให้ผมตัดจบบทสนทนาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ธุระอะไรของนาย ประโยคนิ่งอั้นอยู่ในลำคอราวลูกตะกั่วที่รอพร้อมในปากกระบอก ผมรั้งตัวเองไม่ให้เหนี่ยวไกได้ทัน


    “อ๋อ อยากอยู่ดูคริสต์มาสที่นี่น่ะ” ผมรู้ว่ามันเป็นข้อแก้ตัวที่เห่ยแสนเห่ย และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อที่ผมพูดเลยสักนิด แต่หมอนั่นก็ไม่พูดอะไรต่อ ช่วยให้ผมไม่ต้องสร้างสรรค์เรื่องโกหกแสนมหัศจรรย์ขึ้นเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงคำถามง่าย ๆ เพียงคำถามเดียว เรากล่าวลากันเรียบ ๆ พร้อมเสียงปิดประตูฟังที่ดูดังกว่าที่เคย


    ❄❄❄


    ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้อง ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยอ่อน และความหิวทำให้ความนึกคิดพร่าเลือนเหมือนภาพสีน้ำที่โดนละลาย ผมพยายามทบทวนเหตุการณ์เมื่อเช้า แต่ความทรงจำหลงเหลือเพียงสีขาว กลิ่นบุหรี่และถุงมือไหมพรมขนาดพอมืออย่างเหลือเชื่อ อันเป็นหลักฐานเชิงรูปธรรมหนึ่งเดียวที่พิสูจน์ว่าผมไม่ได้จินตนาการทุกอย่างขึ้นมาเอง แม่มดขาวคนนั้น เธอชื่ออะไรนะ แค่นี้ก็ยังนึกไม่ออก ไม่มีแม้กระทั่งพยัญชนะหรือสระสักตัวที่อาจติดอยู่ปลายลิ้น ผมล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ฝากความหวังไว้ที่รูปถ่ายที่แสนภาคภูมิว่าอาจกระตุ้นภาพความทรงจำเหล่านั้นให้ย้อนคืนมาได้บ้าง แต่ต่อให้กดหาเท่าไหร่ ผมก็หาภาพนั้นไม่ยักเจอ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in