เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Christmas en voyagehappypii
On the second day
  • นั่นไง เธอมาโน่นแล้ว


    ขาสี่ข้างย่างกรายเข้ามา ก่อนเอนหัวเข้าคลอเคลียขากางเกงผม ส่งเสียงออดอ้อนราวไถ่โทษที่มาสาย ผมเปิดฝากระป๋องตับบดมาวางไว้บนพื้น เธอก้มดมฟุดฟิดก่อนค่อย ๆ ละเลียดอาหารเช้าราคาแพงที่ผมเชื่อสนิทใจว่ามีคุณภาพดีกว่ายี่ห้อที่เจ้าของตัวจริงจัดหามาให้อย่างแน่นอน ใช่ เธอไม่ใช่แมวจร คอสวมปลอกหนังสีดำห้อยป้ายชื่อทรงกลมสีทองสลักอักษรตัว เอ็ม ผมไม่รู้จักตัวเจ้าของหรอก ไม่รู้ด้วยว่าคน ๆ นั้นอาศัยอยู่แถวไหน เพราะเธอชอบเที่ยวเตร่ไปโผล่ตรงนั้นตรงนี้ที ผมรู้แค่ว่าเธอจะมารอหน้าอพาร์ตเมนต์ผมทุกเช้าประมาณ 7 โมงครึ่ง (นี่ก็จะครบหนึ่งเดือนแล้ว) นิสัยรักการผจญภัยทำให้เธอไม่เหมาะจะเป็นสัตว์เลี้ยงของใครแม้แต่น้อย และเมื่อสัญญะแสดงความเป็นเจ้าของบนคอนั่นช่างไร้ความหมาย ผมจึงถือวิสาสะตั้งชื่อใหม่ให้เธอว่า มอลลี่ และทุก ๆ วันในช่วงเวลาสั้น ๆ ยามเช้า เธอจะเป็นแมวของผม


    เสียงประกาศจากกรมอุตุฯ ในโทรทัศน์รายงานว่าอากาศจะเย็นลงกว่าเมื่อวาน ซ้ำร้ายที่ในตู้เสื้อผ้าดูท่าจะไม่เหลือสิ่งใดมาช่วยปกป้องผมจากสภาพอากาศอันเลวร้ายข้างนอกนี่ได้เลย กลายเป็นว่าตัวเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุดคงจบลงด้วยการหมกตัวอยู่แต่ในห้องตลอดวัน แน่ล่ะว่าน่าเบื่อเป็นบ้า ผมคิดถูกหรือเปล่านะที่ตัดใจไม่หนีลงใต้ไปหลบหนาวให้รู้แล้วรู้รอด ตอนเช้าผมน่าจะแอบพามอลลี่ขึ้นมาบนห้องเผื่อจะช่วยคลายเหงาได้บ้าง แต่ราวกับว่ามีใครได้ยินเสียงผมคร่ำครวญ เพราะขณะกำลังนอนแผ่ร่างอยู่บนโซฟาเก่า ๆ มือกดรีโมตไล่ช่องโทรทัศน์อย่างไร้จุดหมาย เสียงเคาะก๊อก ก๊อกก็ดังขึ้น


    หญิงชราร่างเล็กคนหนึ่งยืนอยู่หลังประตู “สวัสดีพ่อหนุ่ม ฉันมารบกวนอะไรเธอหรือเปล่า”


    คุณคานาตะ (ชื่อจริง — ยังระบุไม่ได้) ห้อง 508 ถัดจากผมไปสองห้องทางด้านซ้าย เป็นชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ที่นี่มานานจนแทบไม่มีใครรู้ประวัติเธอแน่ชัดนัก แต่ทุกคนในอพาร์ตเมนต์ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอต้องอายุมากกว่าที่พวกเราเห็นอย่างแน่นอน 


    ผมเองได้รู้จักกับเธอด้วยเหตุบังเอิญแท้ ๆ ในช่วงสองสามสัปดาห์แรกที่ผมย้ายเข้ามา วันดีคืนดี จู่ ๆ เธอก็เดินมาจากไหนไม่รู้มาชนผมที่กำลังยืนไขกุญแจห้อง และวานให้ช่วยหาแว่นสายตาหนาเตอะสุดรักสุดหวงที่จำไม่ได้ว่าเอามันไปวางไว้ตรงไหน (ซึ่งสุดท้ายเราไปเจอมันวางอยู่ในคลังเก็บขยะสุดรกที่เธอเรียกว่าห้องนอน) เธอชอบชวนผมไปดื่มชาที่ห้อง แน่ล่ะ สิ่งที่เธอเสิร์ฟไม่ใช่ชาเบา ๆ สไตล์อังกฤษ แต่เป็นชาเขียวรสเข้มที่ทำลิ้นขมไปทั้งวัน บทสนทนาของเรามักเต็มไปด้วยเรื่องเล่าน่าอัศจรรย์จากโพ้นตะวันออก ทั้งเรื่องครอบครัวเธอที่เคยเข้าร่วมฝ่ายต่อต้านจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก ตำนานดาบซามูไรต้องสาป นักพรตเฒ่าผู้มีฌานสมาธิขั้นสูงและพลังลมปราณอันแกร่งกล้าที่เธอบังเอิญพบเข้าตอนไปปีนเขากับกลุ่มเพื่อน “ว่ากันว่าเขามีตาทิพย์ล่ะ พวกเรารบเร้าให้เขาดูอนาคตกันใหญ่” ท่าทีของเธอตื่นเต้นกว่าผมที่เป็นผู้ฟังเสียอีก ผมก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาน่าบันเทิงใจที่แก้เบื่อได้ดีทีเดียว


    “ไม่ครับ” ผมตอบ “มีอะไรหรือเปล่าครับ” 


    พอได้ยินดังนั้น หญิงชราก็ร่ายแผนการยาวเหยียดของเธอให้ผมฟัง ว่าเธอกำลังเตรียมจัดปาร์ตี้อาหารค่ำต้อนรับเพื่อนฝูงของเธอที่ไม่ได้เจอกันมานาน (ผมสงสัยเหลือเกินว่าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับที่ไปปีนเขาหรือเปล่า) จะมีทั้งอาหารคอร์สเต็มรูปแบบคาวหวานพร้อมไวน์รสเลิศที่เธอใช้เวลาเลือกเป็นชั่วโมง ปิดท้ายด้วยการระบายความกลัดกลุ้มใจเรื่องผู้เช่าคนใหม่ห้องถัดไป ซึ่งเป็นคู่รักวัยรุ่นที่มักส่งเสียงฉาวโฉ่ผิดเวลา เธอภาวนาให้คืนนี้สองคนนั้นหายไปไหนก็ได้ไกล ๆ ท่าทีวิงวอนอันฉุนเฉียวของเธอดูน่าขันไม่น้อย


    “อากาศแบบนี้ทำร่างกายฉันแย่เหลือเกิน ไม่คล่องตัวเหมือนแต่ก่อนเลย“ เธอกระแอมไอ “จะรบกวนเธอมากไหมถ้าเธอจะสละเวลามาช่วยฉันสักหน่อย” รู้แน่ว่ามาถึงขนาดนี้แล้ว คำปฏิเสธคงทำให้ผมดูใจยักษ์ใจมารสุด ๆ ผมจึงได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ยื่นมือไปรับรายการช้อปปิ้งจากเธอ หญิงชรายิ้มร่า พยายามเอาแขนเล็ก ๆ มาโอบผมแทนคำขอบคุณ แต่ก่อนอื่น ผมต้องเล่าเรื่องอับโชคเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อวานให้เธอฟัง เพื่อถามว่าเธอมีเสื้อผ้ากันหนาวที่ผมพอจะยืมได้บ้างไหม 


    คุณคานาตะหายไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าพันคอไหมพรมขนาดยักษ์สีตุ่น ๆ ที่หน้าตาน่าเกลียดที่สุดเท่าที่เคยพบเห็น แน่นอนว่าผมไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ


     “เธอน่ารักจริง ๆ พ่อหนุ่ม” เธอตบแขนผมเบา ๆ และขอตัวลากลับไป



    ❄❄❄


    ประตูไม้โอ๊คขัดมันและป้ายชื่อทำจากเหล็กดัดแบบอารต์นูโวอ่านว่า เลตัวล์ บูชเชอรี - ชาร์กูตเตอรี  ยังคงเป็นภาพเดิม ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงราวกับเวลาไม่เคยมาแตะต้อง ราวกับตัวร้านตั้งอยู่บนพื้นที่บิดเบี้ยวของมิติเวลาบางอย่าง ขนาดเจ้าหน้าใหม่ก็ยังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ตรงจุดเดิมเหมือนไม่ได้ขยับไปไหนตั้งแต่เมื่อวาน 


    “อ้อ สวัสดีครับ คุณผู้ชาย วันนี้จะรับอะไรดีครับ” 


    ผมตอบเขาด้วยการวางลิสต์บนเครื่องคิดเงิน


    “มีคนวานมาน่ะ” ผมรีบอธิบาย ไว้ป้องกันเหตุเข้าใจผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ว่าผมไม่ได้จะกว้านซื้ออาหารสดไปกักตุนเก็งกำไรขายให้ประเทศยากจนหรืออะไร ผมซุกหน้าเข้ากับผ้าพันคอ แต่กลิ่นตุ ๆ ที่ระบุไม่ได้ว่าคืออะไรทำให้อยากจะปามันออกไปไกล ๆ ในหัวผม ตรรกะแปลก ๆ อย่าง ‘ยอมหนาวตายดีกว่า’ ฟังดูมีเหตุผลขึ้นมาทันที


    “คุณลูกค้าครับ ถ้าคุณจะกรุณา ผมขออนุญาต—”


    “เรียกฉันด้วยชื่อจริงเถอะ เราจะห่างกันสักกี่ปีเชียว เรียก ‘คุณ ๆ’ อยู่ได้ ขนลุกชะมัด” วินาทีนั้น ผมตกใจตัวเองเหลือเกินที่กล้าหลุดปากบอกชื่อโดยกำเนิดของตัวเองให้กับคนที่พึ่งรู้กันแค่สองวันอย่างง่ายดาย คำสั้น ๆ เพียงแค่พยางค์เดียวทำตัวเป็นนักโทษขังลืมที่รอจังหวะเหมาะ ๆ เพื่อจะแหกคุก หมอนั่นเม้มปากเหมือนกลั้นยิ้ม (คงคิดว่ามันเชยระเบิดไปเลยสิท่า) ก่อนบอกชื่อของตนกลับตามมารยาท ซึ่งฟังดูผู้ดีจนน่าหมั่นไส้ แต่ให้ตายเถอะ ผมเกลียดชื่อหรืออะไรก็ตามที่มีตัว อาร์ อยู่ด้วยชะมัด มันมักเป็นจุดด่างพร้อยที่ทำลายความสมบูรณ์แบบในการใช้ภาษาของผมเสียดิบดี เพราะเวลาออกเสียงทีไร มันฟังเหมือนผมกำลังจะขากเสมหะ


    ผมยืนรออยู่อีกสักพักหนึ่งก็ได้ของมาเสร็จสรรพ ตัวผมพะรุงพะรังไปด้วยถุงพลาสติกใบเล็กใบน้อยราวต้นคริสต์มาสที่เพิ่งประดับเสร็จ และไม่ทันที่จะก้าวออกจากร้านดี  ผมก็ได้ยินเสียงไล่หลังมา


    “ผ้าพันคอสวยดีนะ”


    ❄❄❄


    ผมนั่งพักเอาแรงตรงม้านั่งหน้าอพาร์ตเมนต์ โอเค ถึงผมจะเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นตอนปลายสุขภาพแข็งแรงคนหนึ่งก็เถอะ ภารกิจที่ได้รับมาก็ไม่ใช่เบา ๆ แม้แต่น้อย อีกเดี๋ยวต้องแบกสัมภาระทั้งหมดขึ้นบันไดวนที่ดูไม่รู้จบสิ้นถึงห้าชั้น แม้อาคารที่ผมอยู่จะปรับปรุงให้ดูทันสมัยขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยความเป็นตึกเก่า ยังไงมันก็ไม่มีลิฟต์อยู่ดี (ทางผู้ดูแลก็ไม่เคยคิดว่าจะสร้างอีกต่างหาก คงใช้เงินอื้อ) ผมรู้ตัวเลยว่าตั้งแต่อากาศหนาวเริ่มย่างกรายเข้ามา วินัยการออกกำลังกายของผมหย่อนยานจนน่าละอาย ทั้ง ๆ ที่แค่ข้ามถนนไปก็ถึงสวนสาธารณะลุกซ็องบูรก์อันใหญ่โต แต่ร่างกายผมมันตอบรับกับแสงแดดและกลิ่นต้นไม้ใบหญ้ามากกว่า 


    พอก้มหน้ามองลงไปในถุงของเลตัวล์ บนตัก ผมเห็นซองจดหมายสีขาวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงหยิบมาเปิดอ่านด้วยความสงสัย แล้วก็พบกับชื่อตัวเองเด่นหลาอยู่ริมขอบซ้ายเขียนด้วยลายมือสะอาดประณีตที่คุ้นตาอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น


    ฉันเห็นว่านายกำลังรีบ เลยคิดว่าเขียนออกมาน่าจะง่ายกว่า (และป้องกันไม่ให้นายตัดบทฉันด้วย) สังเกตจากข้าวของที่นายซื้อมาและรายการวัตถุดิบ เดาว่าคนที่วานนายกำลังเตรียมอาหารฟูลคอร์ส น่าจะเป็นคอร์สเล็กแบบเสิร์ฟ 4 อย่าง สำหรับประมาณ 5 คน ออร์เดิร์ฟเป็นแตรีนเสิร์ฟเย็น เครื่องในเป็ดพวกนี้น่าจะเอาไปทำสลัด ส่วนอกเอาไปย่างทานกับซอสส้มตามธรรมเนียม คลาสสิก แต่ขาดจินตนาการไปหน่อย เข้าเรื่องก็คือ พอดีเห็นนายซื้อแครนเบอร์รี่ถุงใหญ่มาถุงสองถุง ฉันเลยคาดการณ์ว่าของหวานน่าจะเป็นเชอเบท ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เป็ดซอสส้มเป็นเมนูที่เปรี้ยวนำอยู่แล้ว รสชาติจะไปซ้อนกับเชอเบทได้ ฉันเลยอยากแนะนำว่าให้เปลี่ยนซอสจานหลักเป็นซอสแครนเบอร์รี่เพื่อเพิ่มความหวาน ส่วนของหวานก็เสิร์ฟของที่มีรสเข้มปิดคอร์สเพื่อให้คอร์สมีรสชาติที่หลากหลายขึ้น ถ้าเกิดเสียดายแครนเบอร์รี่ จะทำมูสช็อคโกแลตง่าย ๆ ราดด้วยซอสที่ยังเหลือก็ได้  


    ป.ล.       โชคดีที่ฉันจดวิธีการทำซอสแครนเบอร์รี่ไว้ด้วย ฉันแนบสูตรไว้ในให้ซองแล้ว

    ป.ล.ล.    ฉันจะเงียบปากไว้ล่ะกันว่าเห็นนายเเอบกินแครนเบอร์รี่ไปเป็นกำ


    สุดท้ายนี้หวังว่ามื้อเย็นเมื่อวานจะผ่านไปด้วยดีงั้นเหรอ ขี้โอ่เป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่เป็นข้อความดูอวดดี แต่กลับทำให้สมองเกิดความคิดพิลึกพิลั่นว่ากำลังอ่านจดหมายลับที่แอบส่งไว้ให้รู้กันเพียงสอง ร่างกายผมคงล้าจนเสียสติไปแล้ว แม้จะเป็นจดหมายที่เขียนถึงตนเองอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะ แถมว่าด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผมสักนิด อย่างที่ว่า ผมคงเหนื่อยจนสมองเอ๋อ เพราะตอนนี้ผมเองยังหยุดยิ้มไม่ได้


    แต่ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงโหวกเหวกที่ทำผมหลุดจากภวังค์ ผมหันไปทางต้นเสียงและเจอะกับชายหญิงคู่หนึ่งที่จำได้ทันที่ว่าคือคู่รักที่อาศัยอยู่ถัดจากห้องคุณคานาตะ ผมจำผู้ชายไม่ได้ ส่วนหญิงสาวผมบลอนด์หน้าตาสะสวยนั้น เราเคยทักทายกันอยู่ครั้งสองครั้ง เธอเป็นคนน่ารักเลยทีเดียว แต่หวานแหววเกินสเป็คผมไปหน่อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของทั้งคู่ช่างห่างไกลจากที่หญิงชราชาวญี่ปุ่นเคยร้องทุกข์ไว้เหลือเกิน


    “มันจบแล้ว เลิกพยายามเสียเถอะ คุณจะทนเจ็บปวดไปแบบนี้ทำไมกัน”


    “แล้วคุณคิดว่าจะเดินออกไปง่าย ๆ อย่างนั้นเลยเหรอ มันยังไม่จบหรอกนะจนว่าเราจะตายกันไปข้างนึง คุณ  กลับมานี่เดี๋ยวนี่นะ”


    อา ผมหลับตาลง บทสนทนาอันแสนคุ้นเคย


    เมฆก้อนดำก่อตัวขึ้นในใจ อีกทั้งความไม่อยากใคร่รู้เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของชาวบ้านสักเท่าไหร่ ผมจึงรวบรวมเรี่ยวแรงฮึดสุดท้ายรีบยกข้าวของเดินตรงรี่เข้าอพาร์ตเมนต์ ในใจคิดหวังว่าคุณคานาตะจะยอมแบ่งแครนเบอร์รี่บางส่วนมาให้ผมบ้างเป็นค่าตอบแทน



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in