เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Christmas en voyagehappypii
On the first day
  •           ความโชคร้ายมักจู่โจมโดยไม่ให้ทันได้ตั้งตัวเสมอ หรือเพราะผมเองเป็นมนุษย์จำพวกไร้ประสาทรับกลิ่นภัยอันตรายโดยสิ้นเชิง แต่ใครจะไปคิดว่าขณะกำลังจิบกาแฟอุ่น ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศแสนสงบของคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวจากความวุ่นวายช่วงเทศกาลวันหยุด ความซวยก็อุตส่าห์แวะมาหาถึงที่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ‘เทลงมา’ เลยทีเดียว เมื่อบริกรที่กำลังเดินเสิร์ฟอาหารเกิดเสียสมดุลไปดื้อ ๆ ทำเอาบรรดาจานที่วางพาดไว้เต็มแขนร่วงหล่นส่งเสียงดังทำลายมนตร์เสน่ห์ความเงียบจนหมดวด ผมที่นั่งอยู่ห่างบริเวณเกิดเหตุเพียงนิดเดียวก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อรู้สึกถึงของเหลวร้อนมาปะทะกับไหล่ขวา 


    เวร ผมเบิกตามองรอยเปื้อนสีขาวเป็นวง ๆ บนโค้ทดำตัวโปรด กลิ่นนมเนยของซอสขาวฉุนแตะจมูก ขณะบริกรหนุ่มนิ่งชะงักไปจากอาการช็อก ไม่ทันไร ชายวัยกลางคนท่าทางเคร่งขรึมคนหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาจากหลังบาร์และวิ่งหน้าตื่นมาทางพวกเรา


    หลังจากแขวนเสื้อไว้กับเก้าอี้ ผมยืนดูชายหนุ่มโดนเอ็ดตะโรชุดใหญ่จนรู้สึกสงสารแทน ความเร็วแต่ละคำที่ออกมาจากปากผู้จัดการร่างท้วมน่าจะพอ ๆ กับปืนกล ทั้งที่ทักษะภาษาของผมก็จัดอยู่ในระดับใช้ได้ แต่กลับจับสาระได้แค่บางประโยค ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำด้วยความอับอาย 


    “ขอประทานโทษเป็นอย่างสูงนะครับคุณผู้ชาย ผมสัญญาว่าทางเราจะชดใช้ให้คุณเอง และเขาจะได้รับโทษจากความสะเพร่าครั้งนี้” โทนเสียงดุเดือดมลายหายไปอย่างรวดเร็ว มืออวบทั้งสองข้างประสานกันแน่น ทั้งโค้งตัวทั้งขอโทษขอโพยยกใหญ่จนผมต้องบอกให้หยุด พร้อมยืนกรานด้วยว่าการลงโทษที่ว่านั่นไม่จำเป็นเลยสักนิด ผู้จัดการร้านทำสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่ก็รับปากอย่างจำนน 


    เรื่องราวทั้งหมดดูจะจบลงด้วยดี ทางร้านจะเอาเสื้อผมไปทำความสะอาดพร้อมบริการส่งคืนถึงบ้าน แถมยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงค่าอาหารด้วย (ผมพยายามปฎิเสธแล้วนะ สาบานได้) 


    ก่อนออกจากร้าน บริกรคนนั้นก็ยังวิ่งเข้ามาขอโทษซ้ำ ๆ เหมือนตุ๊กตาไขลานใกล้พัง จนต้องปรามเขาไปอีกคน กว่าผมจะผละตัวออกมาจากร้านได้ก็เล่นจนเหนื่อย และเมื่อเสียงสะท้อนสุดท้ายของกระดิ่งประตูแว่วหายไป ผมก็โดนปล่อยให้เผชิญกับอากาศยามเย็นของฤดูหนาวโดยมีเพียงเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์เก่า ๆ ตามลำพัง


    จู่ ๆ ก็มีเรื่องให้ต้องวุ่นวาย ผมพร่ำบ่นในใจขณะรีบสาวเท้าไปตามฟุตบาท ไม่ทันสังเกตว่าต้นไม้ริมทางที่เคยแผ่กิ่งก้านรับแสงแดดโกร๋นเกลี้ยงไปคล้ายเส้นประสาทที่แห้งกรัง รวมทั้งเหล่าอาคารต่าง ๆ เริ่มมีของประดับสีแดงเขียวให้เห็น โดยเฉพาะตามทางเข้าและระเบียงริมหน้าต่าง ผมพยายามเป่ามือที่เย็นเฉียบ พร้อมสวดภาวนาให้ถึงที่หมายโดยเร็วก่อนที่จะกลายร่างเป็นซอมบี้น้ำแข็งสุดโหดในซีรีส์โทรทัศน์ชื่อดัง



    ❄❄❄


    ดูเหมือนว่าโชคยังเข้าข้างผมอยู่บ้าง เมื่อสามารถปฏิบัติภารกิจพาร่างอันหนาวเหน็บมาถึงจุดหมายโดยไม่แข็งตายกลางทางไปเสียก่อน ผมไม่รอช้ารีบผลักประตูไม้เก่า ๆ เข้าไปข้างใน ตอนนั้นเอง ที่ผมตระหนักว่าตัวเองชะล่าใจเหลือเกินที่คิดว่าวันนี้ไม่น่าจะมีอะไรให้ผมประหลาดใจได้อีก


    “สวัสดีตอนเย็นครับ คุณผู้ชาย”


    น้ำเสียงไม่คุ้นเคยกล่าวคำทักทายเรียบโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะมองหน้าผมด้วยซ้ำ ผมจ้องเจ้าคนแปลกหน้าตาเขม็ง พยายามประมวลสมมติฐานที่เป็นไปได้ทั้งหมดว่าทำไมผมถึงเปิดประตูร้านขายเนื้อที่ตัวเองเป็นลูกค้าประจำตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาแล้วไม่พบกับบุรุษท่าทางเป็นมิตรคนเดิม 


    “คุณเป็นใคร“


    ผมรู้ นั่นฟังดูโง่มาก


    ทีนี้เขาก็หันหน้ามาหาผมทันที


    “ผมก็เป็นเจ้าของที่นี่ไงครับ” 


    “แล้วผู้ชายตัวใหญ่ ๆ ล่ะ” อันที่จริงเจ้าหน้าใหม่ก็ไม่ใช่เตี้ย ๆ หรอก มองจากระยะนี้ก็เดายากเสียหน่อย แต่ถ้าจับมาวัดกันตัวต่อตัวหมอนั่นอาจสูงเกือบเท่าผมเลยก็ได้ แต่เพราะเสื้อเชิ้ตขาวพอดีตัวทำให้เห็นหุ่นลีบ ๆ ขัดกับร่างบึกบึนของเจ้าของคนเก่าอย่างชัดเจน ยิ่งผมที่ตัดสั้นโดนประโคมเจลจนเรียบแปล้ และท่าทีถือตัวนั่นให้ภาพของคนรับใช้ในคฤหาสน์ของครอบครัวผู้ดีเก่าที่พบได้ตามนวนิยายศตวรรษที่ 19 มากกว่าเจ้าของร้านขายเนื้อ จะมีอย่างเดียวที่เข้าเค้าก็คงเป็นสีผมที่แทบกลืนไปกับขาหมูรมควันที่แขวนไว้รอบ ๆ เคาน์เตอร์ยาวราวโมบาย ตัดกับดวงตาที่ชวนให้นึกถึงป่าสน


    “เขาตายแล้ว” น้ำเสียงนั้นเป็นโทนเดียวกับตอนพูด ‘สวัสดีตอนเย็นครับ คุณผู้ชาย‘ เป๊ะ เป็นการแจ้งข่าวคนตายที่เย็นชาเหลือเกิน


    เฮย เดี๋ยว ๆ 


    “จะเป็นไปได้ยังไง เมื่อสองสามวันก่อนยังเจอกันอยู่เลย”


    “คุณพ่อเสียเมื่อวาน ผมเลยต้องเข้ามาดูแลร้านแทน“ ผมนึกภาพอดีต (แล้วสินะ) เจ้าของร้านร่างสูงใหญ่ผมสีดอกเลาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมานาน เมื่อห้านาทีก่อนเขายังไม่มีลูกชายอยู่เลย ผมไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาแต่งงานแล้ว ที่เขาว่ากันว่า ‘ความคุ้นเคยมักทำให้ลืมข้อเท็จจริงที่ว่าเราอาจไม่รู้จักกันเลยสักนิดเดียว’ ถ้าจะจริง


    ผมตอบรับอืมอย่างใจลอย ทั้งที่มีคำถามมากมายผุดขึ้นในใจ เป็นต้นว่าเขาเสียเพราะอะไร ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ไปอยู่มา ทำอะไรมาก่อน จะมีพี่น้องคนอื่น ๆ โผล่มาอีกไหม แล้วแม่เขาล่ะ แต่ผมคิดว่าผมคงไม่ได้คำตอบไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว ช่างเป็นครอบครัวที่พิลึกจริง ๆ เพราะคนพ่อก็ไม่เคยพูดถึงลูกชายให้ผมฟังมาก่อน แต่เอาเถอะ ผมเป็นใครกันที่จะไปตัดสินพวกเขา ถึงอย่างนั้น การปรากฏตัวของเจ้าหน้าใหม่สร้างความรำคาญใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนรอยเปรอะสีขาวบนเสื้อโค้ท สิ่งผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มาวุ่นวายกับกิจวัตรประจำวันที่เคยราบรื่น


    “ว่าแต่คุณลูกค้าจะรับอะไรไหมครับ หรือคุณแค่แวะมาหาคุณพ่อ แต่ท่าทางคุณดูไม่น่าใช่คนที่คุณพ่อจะรู้จัก” ผมเลิกคิ้วสูง ก่อนชูลิสต์จ่ายตลาดจากกระเป๋ากางเกงใส่หน้าเขาเป็นคำตอบ ก่อนเท้าคางมองร่างเพรียว ๆ นั่นเตรียมรายการหลังเคาน์เตอร์


    “วันนี้ที่ร้านเราได้นกกระทามาด้วย คุณลูกค้าสนใจไหมครับ จะเอาไปยัดไส้แล้วอบหรือไปทำซุปก็ดี เหมาะกับอากาศหนาวแบบนี้มากนะครับ”


    ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเขาเลยสักนิด แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายยังคงไม่รู้ตัว “ว่าอย่างไรดีครับ” เขายื่นถุงบรรจุวัตถุดิบที่ห่ออย่างประณีต เนื้อสันนอก 6 ขีด ตับบด 4 กระป๋อง ซาลามี่เนื้อบด 2 ท่อน แนบด้วยกระดาษเเข็งสีครีมขนาดเท่านามบัตรเขียนว่า ‘สตูว์นกกระทา‘ ด้วยปากกาคอแร้ง ด้านหน้าบ่งบอกของสำหรับเตรียมอาหาร อีกด้านอธิบายวิธีการทำอย่างละเอียด มุมซ้ายบนขอบบัตรมีดอกจันตัวจิ๋วและข้อความ ‘สำหรับหนึ่งที่’


    “เผื่อคุณยังไม่มีไอเดีย นี่เป็นสูตรดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคกลาง เป็นเมนูที่นิยมทานกันทั้งในหมู่ชาวบ้านและชนชั้นสูง ปรากฏอยู่ในตำราอาหารเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ผมดัดแปลงสูตรเองเล็กน้อยโดยใช้ลูกแพร์แทนแครอทเพื่อเพิ่มความหอม ไม่ยากหรอกครับ มือสมัครเล่นก็ยังทำได้” ตอนแรกผมคิดว่าเจ้านี่คงเป็นแค่มือใหม่ แต่ผมคงประมาทสัญชาตญาณการทำธุรกิจของเขาเกินไป ฉะนั้นบทสรุปของการท้าทายทางจิตวิทยานี้จะลงเอยอย่างไร คงเดาได้ไม่ยาก



    ❄❄❄


    ขณะกำลังวิ่งกลับบ้าน (ถ้าผมยังเดินอ้อยอิ่งก็ยิ่งกลัวว่าขาจะไม่อาจขยับได้อีกต่อไป) ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับผม เมื่ออยู่ ๆ ความทรงจำสมัยเรียนก็ผุดขึ้นมาในหัว คลาสวาดรูปเเสนน่าเบื่อ ภาพนิ่งของชาร์แด็ง*ที่ใช้เป็นแบบฝึกวาดฉายขึ้นจอโปรเจคเตอร์ ร่างนกกระทาโชกเลือดจากการถูกล่าแน่นิ่งข้างลูกแพร์สีแดงช้ำเขียวบนโต๊ะหิน เสียงอาจารย์แก่ ๆ ที่เลคเชอร์ไปเรื่อยไม่สนใจว่ามีใครฟังแกอยู่หรือเปล่า เสี้ยวหนึ่งของการบรรยายดังแจ่มชัด ‘ความตายคือจุดสิ้นสุดของความเจ็บปวด‘


    ผมกัดฟันกรอด ฮีตเตอร์ต่างหากคือจุดสิ้นสุดของความเจ็บปวด


    ❄❄❄


    เมื่อก้าวเข้ามาในอพาร์ตเมนต์ กระเพาะก็เริ่มส่งเสียงประท้วง ผมลากสังขารอันอิดโรยและหิวโซไปที่ครัวเพื่อเตรียมทำมื้อเย็น สตูว์อาจเป็นเมนูที่ใช้เวลาเยอะไปหน่อย แต่ก็คุ้มอยู่ ทั้งให้ร่างกายได้รับซุปร้อน ๆ ทั้งได้พิสูจน์ให้ไอ้เจ้าคนวางมาดได้เห็นดีกัน และเมื่อน้ำสต็อกเดือดปุด ๆ ในอุณหภูมิที่เนื้อกำลังเปื่อยได้ที่ ผมตักชิ้นลูกแพร์หั่นเต๋าเข้าปาก อยากรู้เหลือเกินว่ารสชาติที่ให้มันต่างจากแครอทยังไง เพื่อที่จะพบกับเรื่องประหลาดใจเรื่องสุดท้ายของวัน


    หลังทำความสะอาดครัวและโต๊ะอาหารจนเอี่ยมอ่อง ผมหยิบกระดาษแข็งสีครีมนั่นขึ้นมา และแปะมันไว้กับแม่เหล็กติดตู้เย็น



    * Jean Siméon Chardin, Perdrix morte, poire et collet sur une table de pierre, 1748, Städel Museum, Francfort 



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in