ความโชคร้ายมักจู่โจมโดยไม่ให้ทันได้ตั้งตัวเสมอ หรือเพราะผมเองเป็นมนุษย์จำพวกไร้ประสาทรับกลิ่นภัยอันตรายโดยสิ้นเชิง แต่ใครจะไปคิดว่าขณะกำลังจิบกาแฟอุ่น ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศแสนสงบของคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวจากความวุ่นวายช่วงเทศกาลวันหยุด ความซวยก็อุตส่าห์แวะมาหาถึงที่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ‘เทลงมา’ เลยทีเดียว เมื่อบริกรที่กำลังเดินเสิร์ฟอาหารเกิดเสียสมดุลไปดื้อ ๆ ทำเอาบรรดาจานที่วางพาดไว้เต็มแขนร่วงหล่นส่งเสียงดังทำลายมนตร์เสน่ห์ความเงียบจนหมดวด ผมที่นั่งอยู่ห่างบริเวณเกิดเหตุเพียงนิดเดียวก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อรู้สึกถึงของเหลวร้อนมาปะทะกับไหล่ขวา
เวร ผมเบิกตามองรอยเปื้อนสีขาวเป็นวง ๆ บนโค้ทดำตัวโปรด กลิ่นนมเนยของซอสขาวฉุนแตะจมูก ขณะบริกรหนุ่มนิ่งชะงักไปจากอาการช็อก ไม่ทันไร ชายวัยกลางคนท่าทางเคร่งขรึมคนหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาจากหลังบาร์และวิ่งหน้าตื่นมาทางพวกเรา
“ขอประทานโทษเป็นอย่างสูงนะครับคุณผู้ชาย ผมสัญญาว่าทางเราจะชดใช้ให้คุณเอง และเขาจะได้รับโทษจากความสะเพร่าครั้งนี้” โทนเสียงดุเดือดมลายหายไปอย่างรวดเร็ว มืออวบทั้งสองข้างประสานกันแน่น ทั้งโค้งตัวทั้งขอโทษขอโพยยกใหญ่จนผมต้องบอกให้หยุด พร้อมยืนกรานด้วยว่าการลงโทษที่ว่านั่นไม่จำเป็นเลยสักนิด ผู้จัดการร้านทำสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่ก็รับปากอย่างจำนน
เรื่องราวทั้งหมดดูจะจบลงด้วยดี ทางร้านจะเอาเสื้อผมไปทำความสะอาดพร้อมบริการส่งคืนถึงบ้าน แถมยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงค่าอาหารด้วย (ผมพยายามปฎิเสธแล้วนะ สาบานได้)
❄❄❄
น้ำเสียงไม่คุ้นเคยกล่าวคำทักทายเรียบโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะมองหน้าผมด้วยซ้ำ ผมจ้องเจ้าคนแปลกหน้าตาเขม็ง พยายามประมวลสมมติฐานที่เป็นไปได้ทั้งหมดว่าทำไมผมถึงเปิดประตูร้านขายเนื้อที่ตัวเองเป็นลูกค้าประจำตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาแล้วไม่พบกับบุรุษท่าทางเป็นมิตรคนเดิม
“คุณเป็นใคร“
ผมรู้ นั่นฟังดูโง่มาก
เฮย เดี๋ยว ๆ
“จะเป็นไปได้ยังไง เมื่อสองสามวันก่อนยังเจอกันอยู่เลย”
“คุณพ่อเสียเมื่อวาน ผมเลยต้องเข้ามาดูแลร้านแทน“ ผมนึกภาพอดีต (แล้วสินะ) เจ้าของร้านร่างสูงใหญ่ผมสีดอกเลาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมานาน เมื่อห้านาทีก่อนเขายังไม่มีลูกชายอยู่เลย ผมไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาแต่งงานแล้ว ที่เขาว่ากันว่า ‘ความคุ้นเคยมักทำให้ลืมข้อเท็จจริงที่ว่าเราอาจไม่รู้จักกันเลยสักนิดเดียว’ ถ้าจะจริง
ผมตอบรับอืมอย่างใจลอย ทั้งที่มีคำถามมากมายผุดขึ้นในใจ เป็นต้นว่าเขาเสียเพราะอะไร ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ไปอยู่มา ทำอะไรมาก่อน จะมีพี่น้องคนอื่น ๆ โผล่มาอีกไหม แล้วแม่เขาล่ะ แต่ผมคิดว่าผมคงไม่ได้คำตอบไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว ช่างเป็นครอบครัวที่พิลึกจริง ๆ เพราะคนพ่อก็ไม่เคยพูดถึงลูกชายให้ผมฟังมาก่อน แต่เอาเถอะ ผมเป็นใครกันที่จะไปตัดสินพวกเขา ถึงอย่างนั้น การปรากฏตัวของเจ้าหน้าใหม่สร้างความรำคาญใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนรอยเปรอะสีขาวบนเสื้อโค้ท สิ่งผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มาวุ่นวายกับกิจวัตรประจำวันที่เคยราบรื่น
“ว่าแต่คุณลูกค้าจะรับอะไรไหมครับ หรือคุณแค่แวะมาหาคุณพ่อ แต่ท่าทางคุณดูไม่น่าใช่คนที่คุณพ่อจะรู้จัก” ผมเลิกคิ้วสูง ก่อนชูลิสต์จ่ายตลาดจากกระเป๋ากางเกงใส่หน้าเขาเป็นคำตอบ ก่อนเท้าคางมองร่างเพรียว ๆ นั่นเตรียมรายการหลังเคาน์เตอร์
“วันนี้ที่ร้านเราได้นกกระทามาด้วย คุณลูกค้าสนใจไหมครับ จะเอาไปยัดไส้แล้วอบหรือไปทำซุปก็ดี เหมาะกับอากาศหนาวแบบนี้มากนะครับ”
ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเขาเลยสักนิด แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายยังคงไม่รู้ตัว “ว่าอย่างไรดีครับ” เขายื่นถุงบรรจุวัตถุดิบที่ห่ออย่างประณีต เนื้อสันนอก 6 ขีด ตับบด 4 กระป๋อง ซาลามี่เนื้อบด 2 ท่อน แนบด้วยกระดาษเเข็งสีครีมขนาดเท่านามบัตรเขียนว่า ‘สตูว์นกกระทา‘ ด้วยปากกาคอแร้ง ด้านหน้าบ่งบอกของสำหรับเตรียมอาหาร อีกด้านอธิบายวิธีการทำอย่างละเอียด มุมซ้ายบนขอบบัตรมีดอกจันตัวจิ๋วและข้อความ ‘สำหรับหนึ่งที่’
“เผื่อคุณยังไม่มีไอเดีย นี่เป็นสูตรดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคกลาง เป็นเมนูที่นิยมทานกันทั้งในหมู่ชาวบ้านและชนชั้นสูง ปรากฏอยู่ในตำราอาหารเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ผมดัดแปลงสูตรเองเล็กน้อยโดยใช้ลูกแพร์แทนแครอทเพื่อเพิ่มความหอม ไม่ยากหรอกครับ มือสมัครเล่นก็ยังทำได้” ตอนแรกผมคิดว่าเจ้านี่คงเป็นแค่มือใหม่ แต่ผมคงประมาทสัญชาตญาณการทำธุรกิจของเขาเกินไป ฉะนั้นบทสรุปของการท้าทายทางจิตวิทยานี้จะลงเอยอย่างไร คงเดาได้ไม่ยาก
❄❄❄
เมื่อก้าวเข้ามาในอพาร์ตเมนต์ กระเพาะก็เริ่มส่งเสียงประท้วง ผมลากสังขารอันอิดโรยและหิวโซไปที่ครัวเพื่อเตรียมทำมื้อเย็น สตูว์อาจเป็นเมนูที่ใช้เวลาเยอะไปหน่อย แต่ก็คุ้มอยู่ ทั้งให้ร่างกายได้รับซุปร้อน ๆ ทั้งได้พิสูจน์ให้ไอ้เจ้าคนวางมาดได้เห็นดีกัน และเมื่อน้ำสต็อกเดือดปุด ๆ ในอุณหภูมิที่เนื้อกำลังเปื่อยได้ที่ ผมตักชิ้นลูกแพร์หั่นเต๋าเข้าปาก อยากรู้เหลือเกินว่ารสชาติที่ให้มันต่างจากแครอทยังไง เพื่อที่จะพบกับเรื่องประหลาดใจเรื่องสุดท้ายของวัน
* Jean Siméon Chardin, Perdrix morte, poire et collet sur une table de pierre, 1748, Städel Museum, Francfort
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in