ฉันหอบหุ้มความหนาวเย็นจากภายนอก กักเก็บไว้ภายใน คงเหลือแต่เพียงรอยยิ้มเจือจาง เพื่อบ่งบอกว่าฉันสบายดี เหมือนกับทะเลยามสงบสุขอันมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งโอบล้อมกันและกันเท่านั้น ทว่า...ความรักของน้ำทะเลกับหาดทรายไม่ได้ยืนยง
เขาผ่านมาในวันที่ฉันคิด
ว่ากำลังจะจากไป
ฉันหอบกระเป๋าเดินทางแบคแพค ถือกระเป๋าคอมพิวเตอร์พกพาที่มือขวา สายตาเหม่อลอยจับจ้องไปยังชานชาลาว่างเปล่า ทิ้งมือถือเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของสัมภาระบนหลัง แม้จะรู้ว่าคงไม่มีใครติดตามกลับบ้านก็ตาม เพราะฉันไม่เหลือบ้านอีกต่อไปแล้ว มันได้ถูกเผาไหม้ไปด้วยรอยน้ำตาและฝ่ามือฝ่าเท้าที่ประทับลงบนร่างกายของฉันราวกับรอยสัก
เขาอยู่ออกไปทางทิศเก้านาฬิกา เบนสายตามามองฉันชั่วครู่ ไม่สิ...สักพัก บางสิ่งบางอย่างอาจจะกำลังรบกวนจิตใจเขา แต่เขาไม่ได้พูดมันออกมา แต่สายตาที่หรุบลงไปที่แขนซ้ายของฉันบอกให้ฉันรู้...มันคือรอยสักสีม่วงคล้ำเกือบจะมองเห็นเป็นรอยฝ่ามือ ของฝากที่ยังไม่ยอมลืมเลือน
ฉันพยายามจะไม่ใส่ใจ ฉันอาจจะปกปิดความลับบางส่วนไว้ใต้ฉาบหน้าสวยงามได้ แต่บางอย่างฉันก็มิอาจปิดบัง มันคือเศษเสี้ยวของความขมขื่นในดวงตา แบบเดียวกับที่ฉันหันไปพบในดวงตาเขา มันยังคงมีรอยคล้ำสีแดงอยู่โดยรอบ
ไม่ทันที่ใครสักคนจะได้วิ่งเข้าหากัน ขบวนรถไฟสองขบวนเกือบจะวิ่งเข้าเทียบท่าในเวลาไล่เลี่ยกัน ระหว่างที่นั่งนับเลขเสี่ยงทายอยู่นั้น เขาก็เดินตรงเข้ามา พร้อมกับตั๋วหนึ่งใบ "ถ้าไม่รู้จะไปไหน ผมให้"
เขาพูดเสียงเรียบ ออกเสียงชัดถ้อยชัดคำทุกตัวอักษรราวกับครูภาษาไทย ฉันไม่ได้มองหน้าเขา แต่มองตั๋วในมืออย่างเดียว โดยไม่ได้สนใจเลยว่าอีกประโยคที่ตามมาจะเจือด้วยความสั่นไหวที่ปลายเสียง
"อย่าปฏิเสธ...ขอร้อง"
ไม่น่าใช่เพราะเสียงที่สั่นเครือ แต่เป็นเพราะปลายทางคือสถานที่น่าพาตัวเองไปทิ้ง มันมีทะเล ห้วงมหานทีแสนกว้างที่คนชอบเอาทั้งความรู้สึก ความทรงจำ และร่างกายอันหลากหลายทิ้งไว้ใต้ผืนน้ำสีคราม รอวันเวลาที่คนจะพานพบ หรืออาจจางหายไปไม่กลับมา
ฉันรับตั๋ว...ปลายนิ้วสัมผัสกับความเย็น เปียก...และชื้นเหงื่อ ก่อนจะได้ความสากของกระดาษหนึ่งใบขนาดเท่าๆ ธนบัตรมาไว้ในมือ แล้วก้าวขึ้นรถไฟตามขบวนที่ระบุทันโดยไม่มีแม้คำขอบคุณใดๆ
ไม่มีความหมาย จะอีกนาที อีกชั่วโมง หรืออีกวัน
ฉันกำลังนับถอยหลังสู่ความสิ้นหวังและพังทลาย
ไม่มีเวลาสำหรับการพูดคุยใดๆ อีก
เขาต่างหากที่เดินตามหลังมาราวกับหมาเชื่องๆ ที่พอมีคนให้ข้าว ก็ยกหางเข้ามาหา หวังจะได้ตักตวงอะไรเพิ่มเติม ฉันนั่งลง เขานั่งตรงข้าม คงเป็นเพราะตั๋ว ฉันไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ที่พอจะทำ...คือวางของให้เรียบร้อย และเบนสายตาออกไปทางหน้าต่าง รอให้ทิวทัศน์เคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ เร็วบ้าง ช้าบ้าง สลับกันจนเมื่อยคอ
ทำไมฉันถึงเปรียบเขาเหมือนสุนัข ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "หมา" หากไม่ใช่เพราะฉันเคยรู้จักผู้ชายหมาๆ ฉันก็คงไม่กล้าเรียกหรือเปรียบเปรยได้เช่นนั้น ใช่ว่าผู้ชายหมาๆ จะมีแต่ความหมายในทางไม่ดี เพราะอย่างน้อยหมา...แบบที่เป็นหมาจริงๆ ยังรู้จักซื่อสัตย์กับเจ้าของมากกว่าหมาตัวก่อนหน้าของฉัน
ฉันรู้สึกเหมือนชีวิตนี้ไม่มีดีอะไร
ทุกอย่างแหลกเหลวตั้งแต่เริ่มต้นจำความได้
และเมื่อพยายามสร้างขึ้นใหม่ มันเหมือนก่อปราสาททราย
มันพังทลายลงอย่างรวดเร็วไม่จีรังเพียงชั่ววินาทีคลื่นกระทบฝั่ง
คนเราชอบเอาความเศร้าไปทิ้งทะเล ฉันเองก็เคยคิดโง่ๆ เช่นนั้น แต่ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคนเราไม่สบายใจอะไรต้องหาเรื่องหอบหิ้วตัวเองไปอยู่บนหาดทราย หรือบางทีอยากพักผ่อน อยากสำราญใจ ก็คิดถึงมัน...
คงเพราะความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ความใหญ่โตไร้สิ้นสุดคือภาพความทรงจำที่ก่อตัวในหัวฉันตอนนี้ ทดแทนที่ทัศนียภาพของทุ่งหญ้า หรือต้นไม้ที่ถอยหลังผ่านไปอย่างไม่ช้า ไม่เร็ว
"คุณไม่คิดจะถามอะไรผมหน่อยเหรอ?" เขาพูดขึ้นหลังจากผ่านไปราวชม.เศษ
"ไม่จำเป็น" ฉันตอบ
"คุณไม่คิดจะถามเหรอว่าทำไมผมถึงมีตั๋วสองใบ..."
"คุณอาจจะโง่ซื้อเกินเผื่อใครสักคนที่ไม่มีวันมา" ฉันเสือกสอดรู้เข้าไปจนได้ เขาทำสีหน้าตกใจ
"ทำไมคุณรู้?"
"เพราะถ้ามันไม่มีที่ว่าง คุณจะให้ฉันเข้ามาทำไม?"
"นั่นสินะ"
แล้วบทสนทนาของเราก็จบลงแค่นั้น ในระยะเวลาอีกหนึ่งสถานีเกือบจะถึงปลายทาง ระหว่างที่ฉันกำลังเหม่อ ฉันรู้สึกเหมือนเขาพยายามพูดอะไรยาวๆ ขึ้นมา แทรกขึ้นท่ามกลางเสียงอื้ออึงของเครื่องจักรรถไฟ พยายามจับใจความ แต่ทันได้ยินเพียงคำถามสุดท้าย
"คุณคิดว่าทำไมถึงเป็นคุณ?"
คราวนี้ฉันตอบไม่ได้ จนปัญญาเหลือเกินจะกล่าว ฉันอาจจะดูโง่ ดูไร้เดียงสา เขาอาจจะกำลังล่อลวงฉัน และฉันก็ยินยอม ฉันจึงตอบไปส่งๆ "ฉันไม่รู้"
"ผมเลือกคุณเพราะความสิ้นหวังในตาคุณ" เขาตอบ คราวนี้เราเผลอสบตากันเป็นครั้งแรก
"คุณอย่าพูดเหมือนรู้จักฉัน" หากฉันแยกเขี้ยวได้แบบบรรพบุรุษญาติเราเจ้าลิงกอริลล่า ฉันคงกำลังทำอยู่
"ผมไม่รู้จักคุณ แต่ผมรู้จักความสิ้นหวัง" เขาว่าต่อไปอีก ฉันตั้งใจฟังทุกคำอย่างยากลำบากเพราะเสียงรบกวนจอแจจากผู้โดยสารและคนขายไก่ย่าง "เราซ่อนมันไว้ไม่ได้นานนักหรอก มันจะแสดงชัดผ่านแววตาของคน"
"ฉันไม่คิดว่าฉันมีความรู้สึก"
"แต่คุณมี...คุณมีความสิ้นหวังอยู่ในตัว"
"ฉันไม่มี...ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย"
"มีสิ คุณมีความสิ้นหวัง" ยิ่งฟัง ยิ่งเหมือนพยายามยัดเยียด และฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงได้ขอเป็นฝ่ายตั้งคำถามยากๆ แล้วปล่อยให้เขาได้พล่าม อาทิเช่น...
"คุณว่าทำไมคนชอบเอาความเศร้าไปทิ้งทะเล?"
"คุณว่าฝนกับทะเลเหมือนกันตรงไหน?" เขาตอบกลับมาด้วยคำถาม ชวนหงุดหงิดใจ
"มันเป็นธาตุเดียวกัน...มันเป็นน้ำ แค่องค์ประกอบกับที่อยู่ต่างกัน" ฉันตอบ
"คุณเคยร้องไห้เวลาฝนตกไหม?" เขาถามอีก
"ฉันเคยรู้สึกเศร้าเวลาฝนตก..." ฉันตอบ "แต่บางครั้งฉันก็รักสายฝนเพราะมันเย็นฉ่ำหัวใจ"
"ผมว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะตอบได้แล้วว่าทำไมคนเราถึงชอบ 'เอาความรู้สึกไปทิ้งทะเล' "
ราวกับเขากับฉันมีจิตวิญญาณเดียวกัน และเขากำลังเรียกคืนความคิดก่อนหน้านี้ของฉันตอนที่เห็นปลายทางบนตั๋ว ไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรต่อ เราก็มาถึงแล้ว
"ผมจะพาเราไปที่ๆ หนึ่ง" เขาชวน
"ทำไมต้องเป็นฉัน?" ฉันถามอีกครั้ง คราวนี้คำตอบเปลี่ยนไป
"เพราะเราเหมือนกัน"
เขาเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ปล่อยให้ฉันซ้อนท้าย แรกๆ พาฉันวิ่งตรงบนถนนเป็นชั่วโมงราวกับไร้จุดหมาย และฉันก็เพิ่งพบว่าทางตรงที่วิ่งมาตลอดทางนั้น ไม่ใช่แค่เส้นทางตรง มันมีตรอก มีซอย มีการเลี้ยว และพากันไปสู่วังวนไม่รู้จบราวกับนิรันดร์
หยดน้ำหนึ่งหยดที่ไม่รู้ที่มากระเด็นลงมาบนหน้าฉันบนส่วนที่เลยจากหมวกกันน็อกออกมา
จากตอนแรกที่ดูไร้จุดหมาย เขาพาฉันมุ่งสู่ยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีผาริมทะเล บนนั้นมีวัด...หรือสำนักธรรมเล็กๆ ที่เหมือนไม่มีคนรู้จักตั้งอยู่ ตอนนั้นฟ้ามืดแล้ว เริ่มมองเห็นดาวอยู่เหนือแนวเส้นขอบฟ้าสีแดงของไฟเมือง หากเป็นผู้หญิงธรรมดา การถูกพามาที่เปลี่ยวกับคนแปลกหน้า คงจะต้องพาลให้คิดไปถึงเรื่องล่อลวงข่มขืนกระทำชำเรา หรือกระทั่ง...ฆาตกรรมเลือดเย็น
ทว่ากับคนที่ไม่มีความรู้สึก...ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย
ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ
เขาจอดรถ ฉันจึงยกตัวลง เขาตามลงมา และเป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสตัวฉัน เขาจับมือฉัน และเริ่มถามคำถามที่คราวนี้แปลก...ฉันไม่รำคาญ
"คุณว่าเราเหมือนฝนกับทะเลไหม?"
"ฉันไม่เข้าใจ"
"เรามาจากคนละที่ แต่เราเหมือนกัน"
"เราเหมือนกันตรงไหน?" ฉันถามกลับ
"ความสิ้นหวัง"
"ฉันไม่มีความรู้สึก..."
"คุณมี" เขายืนยันหนักแน่น
"ฉันไม่มี" ฉันเองก็เช่นกัน ยังคงหนักแน่น แม้จะแอบแผ่วใจ
"คุณมีความสิ้นหวัง...นั่นก็เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ? ความรู้สึกที่เหมือนไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีความสุข ไม่มีความเศร้า ไม่มีความทุกข์ หมดสิ้นทุกสิ่ง...ทุกอย่าง..."
ระหว่างที่เขาพูด เขาก็พาฉันเดินมาตรงศาลาชมวิวซึ่งเป็นระเบียงริมผา ฟ้าเริ่มครึ้มหนัก เมฆลอยตัวต่ำ ฉันเคยชินกับมัน อีกไม่นานฝนจะมาเยือน
"คุณว่าฝนกับทะเลเหมือนกันไหม?" เขาถามอีกครั้งเหมือนบนรถไฟ
"เหมือน มันเป็นน้ำเหมือนกัน" ฉันเกือบจะทวนคำตอบ
"แต่มันมาจากคนละที่ และจบลงคนละที่ แม้ว่ามันจะเป็นน้ำเหมือนกันใช่ไหม?"
"ในทะเลไม่มีที่สิ้นสุด"
"แต่มันมีวันที่ฝนหยุดตก..."
ทันใดนั้น โดยที่ไม่ทันคาดคิด เขาก็ปล่อยมือฉัน ทิ้งตัวลงไปด้านล่างต่อหน้าต่อหน้า วินาทีนั้นฉันกลับเอื้อมมือออกไปแม้ในสมองจะว่างเปล่า ราวกับปฏิกิริยาอัตโนมัติ สัญชาตญาณคงประมวลผลถึงอะไรบางสิ่งได้ในสมอง...อะไรบางสิ่งที่เรียกว่า "ความเมตตา" "น้ำใจ" หรือ "การช่วยชีวิต"
แต่มันก็ไม่ทัน...ร่างของเขาร่วงหล่น
ราวกับเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาตอนนี้
พื้นน้ำที่เริ่มไม่สงบแหวกออกเป็นวงกว้าง
ราวกับเปิดประตูเพื่อต้อนรับเพื่อนใหม่
ฉันจึงรับรู้ได้ว่าหยดน้ำเมื่อตอนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์นั้น...คือ "น้ำตา" ฉันและเขา...เราต่างหอบหุ้มความสิ้นหวังเอาไว้เป็นอารมณ์หรือความรู้สึกสุดท้าย แต่ถึงแม้เราจะเหมือนกัน ฝน...กับทะเล แต่การคงอยู่ของเราต่างกัน ฝนมีวันหยุดตก แต่ทะเลยังคงอยู่ มันเคลื่อนไหวตลอดเวลาแม้ในยามสงบราบเรียบเบื้องบนผิวน้ำที่อยู่ไกลลิบตา
ฉันจึงตระหนักได้ว่าแม้ฉันจะไม่เหลืออะไร แม้แต่ความรู้สึก...ไม่! ฉันยังเหลือความรู้สึก ฉันเหลือความสิ้นหวัง ความสิ้นหวังที่ทุกคนก็มี เพียงแต่ว่าแสดงออกมา หรือต้อนรับมันด้วยวิธีต่างกันเหมือนฉันกับเขา...เราเหมือนกัน
เหมือนน้ำฝนกับทะเล...เราต่างสิ้นหวัง
เราต่างประกอบด้วยธาตุเดียวกัน และถูกดึงดูดเข้าหากัน
แต่ใครว่าในทะเลจะไม่มีฝนเพราะหยาดน้ำที่ร่วงพรูลงไปบนผิวน้ำธาตุเดียวกันสุดท้ายก็กลายตัวเป็นระลอกคลื่นขยายตัว รวมกัน และพัดพา...เป็นวงจร เป็นวัฎจักร และหอบหุ้มกันเอาไว้...
ในทะเล...มีฝนในทะเล...ฝนตกเป็นคลื่นทุกสิ่งล้วนเป็นของกันและกันแม้แต่ฉันกับเขาเราจะมาจากคนละที...แต่ในทะเล...ก็ยังมีฝน
ในทะเล...ฝนตกเป็นคลื่น
ปัจฉิมลิขิต; มอบแด่ดวงจิตทุกดวงที่เลือกปล่อยความสิ้นหวังไปพร้อมกับการจมดิ่งของตัวเอง และขอเป็นกำลังใจให้คนที่ยังสู้อยู่ เพราะฉัน...จะยังสู้ต่อไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in