เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
GutshotWorawisuth Chalacheebh
Chapter 2
  • เจเจนั่งหาวอยู่ที่โรงเรียน เขาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นของเย็นเมื่อวานนี้ “ผมจะปิดเฮ้าส์สัก 6-7 วันนะครับ” ไมเคิลบอก “ว่าจะพาแอนกลับบ้านซะหน่อย” คุณแอนมาจากจังหวัดภูเก็ต เหมือนกับว่า ทั้งสองคนเจอกันตอนที่ไมเคิลไปเที่ยวที่ภูเก็ต ทั้งสองคนตกหลุมรักกันเมื่อใช้เวลาด้วยกันสักพัก คุณแอนเป็นพนักงานต้อนรับของโรงแรมโรงแรมนึงที่ไมเคิลไปพัก เธออยากอยู่ที่ภูเก็ต แต่ไมเคิลอยากมาอยู่กรุงเทพฯหลังเกษียรเพราะว่าเขาเคยชินกับความเจริญและเขาไม่ชอบที่ภูเก็ตนักท่องเที่ยวเยอะนัก ไมเคิลมีเงินเก็บและเขาเล่นออนไลน์โป็กเกอร์บ้าง และเขาก็เก็บค่าน้ำจากคนที่มาเล่นที่นี่ด้วย
    “ไม่พาเขากลับลอนดอนหรอครับ” ซันนี่ถาม
    “ผมก็อยากพาไปเที่ยวนะ แต่งบไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น”
    “แหม เอาจริงๆ เป็นแค่เฮ้าส์เดียวในกรุงเทพแบบนี้ เก็บค่าน้ำมากกว่านี้ก็ได้นะครับ” ซันนี่แนะนำ
    “ไมเคิลเขาไม่ชอบเงินน่ะ” จอนบอก
    “ถ้าเก็บค่าน้ำแพงๆ คนก็ไม่เข้ามาเล่นกันพอดี” ไมเคิลอธิบาย
    สำหรับเจเจนี่คือความแตกต่างของไมเคิลกับซันนี่ ไมเคิลเป็นชายวัยเกษียรที่ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ส่วนซันนี่เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ถึงแม้เจเจจะเคารพไมเคิลมากๆ แต่ว่าเขาก็อยากเป็นอย่างซันนี่
    ระหว่างที่ไมเคิลอยู่ภูเก็ต เจเจก็ได้พักผ่อนและได้ทำการบ้านรายงานที่ค้างไว้ แต่ว่าก็คิดถึงการเล่นโป็กเกอร์เหมือนกัน
    “วันนี้จะมีการจับกลุ่ม 5 คนทำงานนะคะ” คุณครูประกาศกับชั้นเรียน เจเจเกลียดการต้องทำงานเป็นกลุ่มงาน สำหรับเขาเพื่อนๆในห้องคือเด็กๆที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรในชีวิต เป็นเด็กๆที่พ่อแม่ดูแลมาตลอด แต่ว่าโชคดีของเขาที่มีเพื่อนกลุ่มนึงที่มักจะชวนเข้ากลุ่ม 5 คนด้วย เพราะว่าสมาชิกกลุ่มที่สนิทกันมีแค่ 4 คน และคนอื่นๆก็มีเพื่อนที่อยากอยู่ด้วยกัน และด้วยความที่เพื่อนกลุ่มนี้มีความตั้งใจสูงเขาเลยไม่ต้องจะทำอะไรนัก
    “เจเจ คราวนี้ก็มาอยู่ด้วยกันอีกนะ ไม่ได้ทำงานด้วยกันนานเลย” เกลเพื่อนสาวเดินเข้ามาทักทาย
    “รอบนี้ทำงานวันหยุดด้วย จะได้เห็นเจเจในชุดไปเที่ยวซะที” เพื่อนเธอเสริม
    “ได้ครับ ผมสะดวกไปได้ทุกที่ครับ” เจเจตอบเงียบๆ
    “ถ้าจะทำงานให้ดีก็น่าจะต้องนัดที่บ้านใครสักคนนะ” เกลพูด ทุกคนทำหน้าเหมือนไม่อยากให้ใครมาที่บ้าน
    “ย่าเปิดหน้าบ้านขายข้าว พาเพื่อนไปคงไม่สะดวกเท่าไหร่” เกลรีบแก้ตัวออกมา เท่าที่เจเจจำได้เหมือนกับว่าเธอคนนี้เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก เขาไม่ทราบสาเหตุการตายเหมือนกัน เธอถึงจำเป็นต้องมาอยู่กรุงเทพฯกับย่า ถ้าเทียบกับเด็กคนอื่นๆแล้วเธอคือว่าเป็นคนที่เขาเข้าใจมากที่สุด ตั้งแต่เจเจมาอยู่กรุงเทพฯ เขาอยู่เหมือนกับไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน พ่อแม่เขาเปิดร้านขายของชำที่บ้านและมักจะเปิด 24 ชั่วโมง จริงๆเขาออกจากบ้านมาเพราะว่าที่นั้นเหมือนอึดอัดเกินไปสำหรับเขา เขาอยากมาอยู่ที่ที่เขาจะมีอิสระมากกว่านั้น มีอนาคตมากกว่านั้น ถึงเขาจะเข้าใจว่ามันไม่เหมือนกับการที่พ่อแม่ตายไป แต่ว่าในความเหงา ในความที่ต้องอยู่คนเดียวมันน่าจะคล้ายๆกัน
    “งั้นที่ห้องเจเจละกัน” เสียงของเกลปลุกเขาขึ้นมาจากผวังค์ความคิดของเขา
    “หือ”
    “ก็ทุกคนไม่สะดวกเลย แล้วก็จำได้ว่าเจเจเคยบอกว่าอยู่คนเดียว” เจเจจำไม่ได้หรอกนะว่าเคยบอกไปตอนไหนแต่ว่าแค่นี้มันก็ทำให้หัวใจเขาสะดุดไปนิดนึง เขาคิดว่ามาตลอดว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีตัวตนที่นี่ ในความเป็นจริงแล้วเขาพยายามทำตัวเหมือนเป็นคนไม่มีตัวตนมากกว่า สำหรับเขาการใช้ชีวิตที่โรงเรียนมันไม่ได้จำเป็นเลย แต่ว่าเธอมักจะให้ความสนใจกับเขาเสมอ
    “ก็ตามนั้นเลยนะ” ก่อนที่เจเจจะตอบอะไรไป เพื่อนๆในกลุ่มเหมือนตกลงกันแล้วว่าจะทำตามนั้น เจเจไม่รู้สึกเหมือนว่าเขากำลังโดนแกล้งหรอก เขาเข้าใจว่าการกระทำของเขาของเขาคือการตามใจเพื่อน
    เจเจจัดการเก็บของในห้องเรียบร้อยแล้วเขาก็มองไปรอบๆ “ห้องเรานี่มันดูเหมือนไม่มีอะไรเลยนะ” เขาเห็นแค่เตียงนอน หมอน โต๊ะกับเก้าอี้ หนังสือเรียน ตู้เย็นอันเล็กๆที่มีแม่เหล็กสองอันแปะอยู่ เขาใช้อันนึงเอาไว้แปะสิ่งที่ต้องทำ เช่นการบ้าน หรือ สิ่งที่เขาต้องซื้อ ที่เขาต้องซ่อนมีอย่างเดียวคือสมุดบัญชีของเขา
    “เจเจ” เสียงตะโกนเข้ามาในห้องของเขา เขาเปิดประตูให้เพื่อนสี่คนเดินเข้ามา “ว้าว ห้องโล่งมาเลย” “นี่คือแอบเช่าห้องใหม่เพราะเพื่อนจะมาหรือเปล่า” เพื่อนๆแซวเขาเรื่องห้อง เขาเขินมากกว่าที่เขาคิดไว้ เขาคิดว่าคำพูดคนอื่นก็สื่อถึงเขาเหมือนกัน “เราไม่ค่อยอยู่ห้อง” เจเจตอบเพื่อนๆ เพื่อนผู้ชายเริ่มแอบมองเข้าไปที่ใต้เตียงหรือว่าลิ้นชักโต๊ะ “อย่าไปยุ่งกับเขา” เกลดึงเพื่อนออกมา แล้วเธอกับเพื่อนก็หัวเราะกัน ทุกครั้งที่เจเจเห็นเธอยิ้มออกมาเขาจะรู้สึกว่าการยิ้มของเกลมันออกมาจากในจริงซึ่งมันทำให้เขาสับสนตลอด “เธอแค่ไม่เข้าใจในความทุกข์ละมั้ง เธอแค่ปฏิเสธที่จะรับรู้ถึงมัน” นั้นคือสิ่งที่เจเจบอกตัวเองเกี่ยวกับเกล
    เจเจพยายามร่วมมือทำงานกับเพื่อนให้เต็มที่แต่ว่าทุกคนก็ต้องกลับมาทำให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ “เอาของไว้ที่นี่ก่อนได้ไหม”เกลถามก่อนออกไป เจเจพยักหน้าตอบ เจเจนึกถึงระหว่างทำงาน เกลให้เขาเลือกรูปสติ๊กเกอร์เพื่อแปะลงไปบนชิ้นงาน ปกติแล้วเขาไม่เคยมีใครถามความรู้สึกเขาเท่าไหร่ โดนเฉพาะเพื่อนร่วมห้อง แต่ว่าเขาก็คิดว่าเธอคงถามเป็นมารยาทละมั้ง เขาก็เลยสุ่มหยิบไปชิ้นนึง
    เช้าวันต่อมามีเสียงเคาะประตูก่อนเวลาที่นัดกันไว้ “ขอโทษนะ ตอนแรกว่าจะรอคนอื่นมาถึงก่อน แต่ว่าอยากเอาอันนี้มาให้ก่อน” เธอยื่นต้นไม้ต้นนึงมาให้เขา “อะไรน่ะ” เจเจไม่เข้าใจปฏิสัมพันธ์แบบนี้ “ก็เมื่อวานเห็นเลือกสติ๊กเกอร์กระบองเพชร แล้วเค้ามีที่ปลูกไว้เลยเอามาแบ่งน่ะ ที่นี่มันจะได้ดูเหมือนบ้านบ้าง” เจเจรับกระบองเพชรมาแบบงงๆ “ก็ลดน้ำไม่ต้องบ่อนแล้วก็วางมันไว้ตรงที่โดนแดดหน่อยนะ” เจเจฟังเธอพูดแล้วก็จำแต่ว่ามันก็ไม่เชิงคำอธิบายที่เขาอยากได้นัก แต่ว่าเขากลับรู้สึกถึงความอุ่นที่มันแร่งเข้ามาที่หน้าอกของเขา มันทำให้เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เหมือนตอนที่ได้แฮนด์ดีดีตอนเล่นโป็กเกอร์แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ต้องพยายามสงบจิตสงบใจของเขา
    หลังตกเย็นและงานเสร็จแล้วเพื่อนในกลุ่มบอกลาเขาแล้วก็กลับบ้านไป เจเจนั่งมองที่กระบอกเพชรสีเขียวที่ตัดกับสีแดงของพระอาทิตย์ตกข้างหลัง “เธอชอบชั้นหรอ” เจเจที่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นมาบ้างก็เลยคิดแบบนั้น “หรือว่าปกติแล้วเพื่อนเขาทำกันอย่างงี้” เขาคิดถึงตอนที่เกลซื้อของมาฝากเพื่อนๆทุกคน แต่สิ่งที่ทำให้เขาใจเต้นมากที่สุดคือ เธอสนใจและจำในสิ่งที่เขาพูด ไม่ได้สักแต่ถามๆเพื่อเป็นมารยาท ถึงมันจะทำให้เขาสับสนแต่เขาก็ชอบที่มันทำให้เขารู้สึกว่าห้องนี้มันเหมือนบ้านมากขึ้น “บางทีเราไม่ต้องรู้คำตอบของทุกอย่างก็ได้หนิ แค่รู้ว่ามันทำให้เรารู้สึกยังไงก็พอ”
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in