' ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช ไม่มีราชรถเลิศเลอ
แต่ฉันมีใจพิเศษ จะพาเธอผ่านคืนนี้ไป
ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ '
....
ความทรงจำสีจาง ...
' พ่อวางแผนให้หนูไว้หมดแล้ว วางแผนไว้ทุกอย่างตั้งแต่หนูอายุ 3 ขวบว่าพ่อจะส่งหนูไปเรียนที่ไหน และส่งหนูให้สูงแค่ไหน ' ...
ฉันรับฟังด้วยความงุนงง ไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพูดเลยสักนิด
' คุณพ่อ '
พ่อรับราชการครูในโรงเรียนชนบทแห่งหนึ่ง การเป็นครูในชนบทนั้นหมายถึง ต้องเป็นมากกว่าคำว่าครู เป็นผู้นำชุมชน มีงานของหมู่บ้านไม่ว่าจะงานราษฎร์งานหลวง พ่อก็ไม่เคยขาด แม้กระทั่งเสาร์-อาทิตย์ จนฉันปรารภกับตัวเองบ่อยๆว่า จะไม่เป็นครูเด็ดขาด ถ้าจะไม่มีเวลาให้ครอบครัวขนาดนี้
ความคิดติดลบเริ่มเข้ามาในหัวเด็กน้อยมากขึ้นๆ
ตอนอายุ 12 ย่าง 13 พ่อให้ฉันไปเรียนโรงเรียนประจำต่างจังหวัดที่อยู่ห่างจากบ้าน 220 กม. การได้กลับบ้านทุก 2 อาทิตย์ถือเป็นโชคลาภมหาศาล ฉันเริ่มคิดว่า พ่อแม่ส่งฉันไปเรียนให้พ้นทาง เนื่องจากไม่มีเวลา บ่อยครั้งที่เราทะเลาะกัน มากขึ้นๆ
เราห่างไกลกันออกไปทุกที ...
ฉันไม่เคยปรึกษาอะไรพ่อกับแม่เลย เพียงเพราะพูดไปแล้วเราก็จบลงด้วยการทะเลาะกัน อาจจะเพราะเราทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจกัน
ไม่เข้าใจ ...
ไม่เข้าใจว่าพ่อแม่ทำงานหนักเพื่ออะไร ?
ไม่เข้าใจว่าเพื่อใคร เพราะฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากเวลาของพ่อกับแม่
ไม่เข้าใจว่าเด็กอย่างฉันจะไปรู้อะไร ว่าพ่อแม่ต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง
เราห่างไกลกันออกไปกว่าเดิม ...
'โอบกอดฉันไว้ หลับตาผ่อนคลายให้สมฤดี
เราจะบินหนี ข้ามน้ำทะเลและแดนกว้างใหญ่
ดาวพราวดั่งฝัน กลางคืนยาวนานร่านหัวใจ
ปล่อยความเหงาไป ทอดทิ้งใจ รักจะพาแต่เราไปสองคน'
บ่อยครั้งที่เจอปัญหาในชีวิต เราย่อมอยากได้ความรักจากพ่อแม่ มาโอบกอด ปลอบประโลมใจ ให้รู้ว่าต่อให้โลกนี้มันโหดร้ายแค่ไหน ก็ยังมีที่แห่งนี้ที่เป็นเกาะคุ้มภัยเราเสมอ ...
........
ในวันที่ฉันเข้าใจทุกอย่าง
ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างที่ฉันมองว่า ทำไมถึงให้เวลาฉันได้แค่นี้ ปมชีวิตที่พ่อแม่มองว่าเราเป็นภาระ จึงให้เรามาอยู่โรงเรียนประจำเสียให้สิ้นเรื่อง ตอนนั้นฉันเรียกร้องจะกลับบ้านแทบทุกอาทิตย์โดยไม่สนใจว่าพ่อแม่จะติดภาระอะไรหรือเปล่า เห็นแก่ตัวแบบสุดๆ เพราะคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก
จริงๆ มันคือทั้งหมดที่ท่านจะให้เราได้ พ่อเริ่มต้นจาก 0 เพราะปู่ก็ไม่มีอะไรให้พ่อเช่นกัน ให้ได้เรียนที่ที่พ่อคิดว่าดีที่สุด ให้ทุกอย่างที่พ่อคิดว่าจะให้ได้ แม้ต้องแลกด้วยเวลาที่จะให้กับครอบครัว พ่อทำทุกอย่าง ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเลยสักคำ
ผิดที่ฉันเองไม่เคยเข้าใจพ่อ จนวันนี้ฉันเข้าใจมันทั้งหมดแล้ว
ฉันเองที่เป็นลูกที่แย่
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของฉัน ตลอด 21 ปีที่ผ่านมาไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจอะไรในตัวฉันได้เลย
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 คงเป็นครั้งล่าสุดที่ฉันมอบของขวัญให้พ่อแม่ดีใจ
พ่อกับพี่ชายช่วยกันทำกับข้าว ฉันชอบเวลาทานข้าวเย็นมากที่สุด แม้เพียงไม่กี่นาทีที่เราจะพร้อมหน้าพร้อมตาในหนึ่งวัน
ฉันไปเที่ยวทะเลกับพ่อแม่ครั้งแรก มีความสุขอย่าบอกใครเชียวล่ะ เพราะฉันเห็นพ่อมีความสุขมากกว่าใคร
พ่อกรีดยางตอนตี 2 ถึงสว่าง พ่อเหนื่อยเลยของีบหน่อย ฉันสงสารจับใจ แต่บอกไปพ่อก็ไม่เลิกทำ
บอกพ่อว่าขออั่งเปาหน่อย พ่อส่งรูปนี้มาแทน ชื่นใจกว่าตังค์เป็นไหนๆ
แม่บอกว่าแม่ไม่เหงา แม่มีแป๊ะซะ(น้องหมา) เป็นเพื่อน
ดูท่าว่าแม่จะรักมันมากกว่าเราเสียอีก มรดกแป๊ะซะคงรับไปเต็มๆคนเดียว
คนสวนจำเป็น ต่อให้พ่อมีเวลาอยู่บ้านพักผ่อนทั้งที นี่คงเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งของพ่อกระมัง
เวลาเราบ่นท้อ แม่จะชอบส่งภาพนี้มาบ่อยๆ เป็นภาพที่พ่อกับแม่ไปงานรับปริญญาพี่ที่เป็นญาติเรา คงอยากสื่อว่า รีบๆจบได้แล้วลูกเอ้ยย
เคยถามพ่อกับแม่ว่า
"ลูกไม่เคยอยู่บ้านเลย ไม่เหงาเหรอคะ ?" พ่อบอกว่า
"จะทำไงได้ เพื่ออนาคต อีกอย่างพ่อแม่ก็อยู่กันจนชินแล้ว "
ในใจลึกๆใครเล่าจะรู้ ...
แต่ที่รู้ คือวันนี้ลูกอยากกราบเท้าพ่อกับแม่ ว่าขอบคุณที่ มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอมา ขอบคุณในความรักที่เป็นลูกเองที่ไม่เคยเข้าใจ วันนี้ลูกเข้าใจหมดแล้ว
รักพ่อกับแม่มากนะคะ
ณัฐริกา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in