เซี่ยงซี เป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางแหล่งเสื่อมโทรมที่เต็มไปด้วยนักเลงและแก๊งต้มตุ๋น ทุกๆวันต้องออกไปลักเล็กขโมยน้อยเพื่อนำเงินและของมีค่ามาส่งให้ ลุงผิง ผู้ที่เก็บเขามาเลี้ยงดูตั้งแต่ยังแบเบาะ เซี่ยงซีใช้ชีวิตเพื่อ 'อยู่' ไปวันๆแต่ในใจก็ยังหวังไว้ว่าสักวันคงจะมีชีวิตที่มีอิสระและหลุดพ้นจากวงจรชีวิตอันเลวร้ายนี้
จากนั้นก็มีเหตุการณ์ทำให้เซี่ยงซีโดนตีจนกระดูกหัก แถมยังใช้ประโยชน์จากอาการบาดเจ็บไปก่อเหตุแกล้งให้รถชนเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายอีก เมื่อมาถึงโรงพยาบาลก็ได้พบกับ เฉิงโป๋เยี่ยน หมอกระดูกพอดี อะไรหลายๆอย่างทำให้โป๋เยี่ยนมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นพวกหลอกลวงมืออาชีพแน่นอน ทว่าแววตาที่ดูสับสนและไร้เดียงสาของเซี่ยงซีนั้นกลับดูเหมือนจริงจนน่าสงสารเหลือเกิน ขณะที่มารักษาแบบจริงจังเซี่ยงซีก็โกหกไปเรื่อย ทั้งเรื่องพ่อป่วย และไม่ยอมนอนโรงพยาบาลเพราะต้องดูแลพ่อ ในใจโป๋เยี่ยนก็ได้ข้อสรุปใหม่ว่าเซี่ยงซีเป็นเด็กที่จำใจมาเป็นนักต้มตุ๋นนี่เอง 555 และการที่เซี่ยงซีเรียกเขาว่า 'พี่' ทำให้โป๋เยี่ยนจมอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ไม่ได้พบเจอมานาน...
จากนั้นก็มีเหตุการณ์ที่นำพาให้เซี่ยงซีและโป๋เยี่ยนเจอกันบ่อยขึ้น เซี่ยงซีนั้นมีเรื่องมีราวตลอด และสารภาพกับโป๋เยี่ยนเรื่องที่เคยหลอกลวงเอาไว้เมื่อก่อนเพื่อแลกกับความช่วยเหลือ แม้จะรู้ว่าเด็กคนนี้เชื่อไม่ค่อยได้ แต่โป๋เยี่ยนก็ยังช่วยเหลือเซี่ยงซีทุกครั้งไป ซึ่งการช่วยเหลือใครคนนึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็น่าจะมีเหตุผลบางอย่างใช่ไหมคะ? ส่วนสาเหตุที่โป๋เยี่ยนดีกับเซี่ยงซีคืออะไร มาติดตามกันนะคะ
ไม่นานก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เซี่ยงซีต้องทิ้งอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดไว้ด้านหลัง ทว่าเขากลับไม่กล้าขอความช่วยเหลือโป๋เยี่ยนมากไปกว่านี้แล้ว เพราะกลัวว่าวันนึงแสงสว่างที่อบอุ่นอย่างโป๋เยี่ยนจะทนไม่ไหวและไปจากชีวิตของเขาอีกคน เซี่ยงซีตัดสินใจเดินบนเส้นทางใหม่ด้วยตัวเอง แมัจะลำบากแต่น้องก็อดทนมากๆ พร้อมๆกับเงามืดในอดีตยังคอยหลอกหลอนน้องอยู่เรื่อยๆ มีเหนื่อยบ้างท้อบ้าง แต่เมื่อมองดูรอบกายก็ยังเห็นโป๋เยี่ยนที่เป็นดั่งแสงสว่างของเขาเสมอ สุดท้ายแล้วน้องจะพบเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเองหรือไม่ หนทางนี้ยังอีกยาวไกล อย่าลืมมาติดตามและเอาใจช่วยให้น้องเซี่ยงซีให้ก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆกันนะคะ ^^
มาแล้วค่านิยายเรื่องแรกของคุณอูเจ๋อในไทย สำหรับ Out of Tune《格格不入》เรื่องนี้บอกเลยว่าประทับใจมากและไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ แรกๆใช้เวลานิดนึงกว่าเครื่องจะติดเนื่องจากต้องปูพื้นเรื่องราวชีวิตของเซี่ยงซี ช่วงร้อยหน้าแรกมันไม่ได้น่าเบื่อแต่จะออกทึมๆมากกว่าเพราะชีวิตของเซี่ยงซีค่อนข้างหดหู่ แต่พอเวลาซีนที่โป๋เยี่ยนออกมาก็จะสัมผัสได้ถึงแสงสว่างที่อบอุ่น ความมั่งคงและปลอดภัยได้ทันทีเลย นี่โป๋เยียนเป็นคนหรือหลอดไฟกันแน่คะเนี่ย 555 และพอเครื่องติดแล้วก็ยาวเลยค่ะ เรื่องนี้จะเป็นแนวอบอุ่นหัวใจ มากกว่าฟินๆแต่เราชอบมาก เพราะรู้สึกว่านี่แหละคือชีวิตจริงของคนปกติ มันสมจริงและมีมิติมากๆ
และเรื่องนี้ดีตรงที่ว่าสอนให้คนปล่อยวางเพราะมีปมที่ไม่ได้มีคำตอบออกมา แต่ตัวละครถือว่าพยามยามทำเต็มที่แล้วกับการหาคำตอบ มองในแง่ดีคือตัวละครเค้าก็ปล่อยวางได้ คนอ่านอย่างเราๆก็ควรปล่อยวางได้เช่นกัน ซึ่งเป็นอีกจุดนึงที่เราคิดว่ามันสร้างเสน่ห์ให้กับนิยายเรื่องนี้ เพราะชีวิตคนเราก็คงไม่สามารถค้นหาคำตอบให้กับทุกๆเรื่องในชีวิตได้…ใช่ไหมคะ?
สำหรับ เฉิงโป๋เยี่ยน เป็นคุณหมอกระดูกผู้อบอุ่น มั่นคง จิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และคลั่งความความสะอาดมากถึงมากที่สุด 555 แม้ภายนอกจะดูจริงจัง เรียบร้อย และอ่อนโยน แต่จริงๆแล้วคุณหมอเป็นคนมีอารมณ์ขันและทะลึ่งมาก ท้ายๆเรื่องภาพลักษณ์ของคุณหมอก็ไม่ค่อยจะเหลือแล้ว 555 นอกจากนี้โป๋เยี่ยนยังมีมุมเด็กๆที่ทำให้คนอ่านยิ้มตามไปด้วย น่ารักมาก แม้ว่าชีวิตของโป๋เยี่ยนจะดูเรียบง่ายมาก มีรูทีนเดิมๆวนไปตลอด แต่เขาเป็นตัวละครที่มีมิติทางด้านจิตใจมาก มุมมองและคำพูดธรรมดาๆของโป๋เยี่ยนนั้นสามารถสร้างกำลังใจได้จริงๆค่ะ
ด้วยความที่โป๋เยี่ยนเป็นหมอ แถมยังเกิดในครอบครัวที่ทั้งพ่อและแม่เป็นหมออีก ช่วงแรกเราจะสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวทางใจของโป๋เยี่ยน ทำให้เวลานอนยังไม่ค่อยมีเลย กลับมาบ้านก็ไม่มีใคร ดังนั้นลึกๆในใจโป๋เยี่ยนก็ต้องการใครสักคนมาแชร์เรื่องราวในชีวิต มาคอยดูแลกันและกัน และคิดว่าการมีใครสักคนคงเป็นเรื่องดี
ส่วน เซี่ยงซี 项西 เป็นเด็กหนุ่มที่ถูกเก็บมาเลี้ยงและใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแก๊งค์มิจฉาชีพ ชีวิตของน้องเติบโตมาแบบไม่มีเพื่อนและรักษาระยะห่างกับทุกๆคนที่เข้ามา สิ่งเหล่านี้สร้างความโดดเดี่ยวจนฝังลึกลงไปในตัวตนของน้อง มีเพียงโป๋เยี่ยนเท่านั้นที่เซี่ยงซียอมเปิดใจทีละนิดๆ จนสุดท้ายก็ยอมเล่าเรื่องราวที่ไม่เคยบอกใครให้ฟัง น้องมีจิตใจดี อ่อนโยน และชอบช่วยเหลือคนอื่น มีความมุ่งมั่นและอดทนต่อสิ่งต่างๆ เป็นตัวละครที่มีหลายบุคลิกและมีพัฒนาการที่เด่นชัดดี
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์เกิดจากคนนึงอยากหาที่พึ่งที่จะพาเขาออกจากเงามืด ส่วนอีกคนก็อยากจะชดเชยให้กับความผิดพลาดในอดีต ซึ่งจะมีปมๆนึงในชีวิตของโป๋เยียนที่ทำให้เขาช่วยเหลือเซี่ยงซีตลอด แม้รู้ว่าเซี่ยงซีนั้นเชื่อไม่ค่อยได้แต่เมื่อใช้เวลาอยู่ร่วมกัน พูดคุยกันมากขึ้น เห็นตัวตนของกันละกันมากขึ้น มันจึงกลายเป็นการเอาใจใส่โดยไม่รู้ตัว ปมในใจของโป๋เยี่ยนในตอนแรกก็ค่อยๆเลือนหายไป และมีความรักเข้ามาแทนที่ จากนั้นคุณหมอเฉิงเลยค่อยๆหยอกเย้าและแกล้งน้องมากขึ้นเรื่อยๆ จนเซี่ยงซีต้องเอ่ยถามว่า “ผมก็อยากรู้นะว่าคุณทำแบบนี้กับผมคนเดียว หรือปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว?”
สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ไหนจะทำให้สองคนนี้ลงเอยกันได้ มาติดตามน้า บอกเลยว่าน้องเซี่ยงซีหึงได้เกรี้ยวกราดมาก อิอิ เราคิดว่าถ้าสองคนนี้ไม่ได้มาเจอกัน โป๋เยี่ยนคงต้องอยู่กับขวดแอลกอฮอล์ล้างมือตลอดชีวิตแน่นอน 555 ดังนั้น ดีใจจริงๆที่พวกเขามีกันและกัน พูดถึง NC หน่อยดีไหม อิอิ เรื่องนี้มีพอหอมปากหอมคอไม่แห้งแล้งค่ะ ในเรื่องจะมีวลีแปลกๆที่คุณหมอใช้สื่อถึงกิจกรรมนี้ด้วย ตลกดี 555 น้องเซี่ยงซีขี้อ้อนนะคะ ส่วนคุณหมอก็ทะลึ่งใช้ได้เลย
ในเรื่องก็ยังมีมิตรภาพอันงดงามระหว่างโป๋เยี่ยนกับเพื่อนๆด้วย ทั้งการช่วยเหลือเกื้อกูลและเป็นห่วงเป็นใยกันระหว่างเพื่อนๆ ซึ่งก็มีเผื่อแผ่มายังเซี่ยงซีด้วยอีกคน นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจกันระหว่างคนในครอบครัวของโป๋เยี่ยนด้วย ค่อนข้างซาบซึ้งเลยเพราะพวกเขาเข้าใจในตัวโป๋เยี่ยนมากจริงๆ และก็พยายามยอมรับเซี่ยงซีด้วย ส่วนเซี่ยงซีจะมีไม้เด็ดที่ใช้พิชิตใจพ่อแม่สามีอย่างไร มาติดตามกันนะคะ
และสองคนนี้ชอบทำอาหารมาก แต่ฝีมือนี้บอกเลยว่ากินกันไม่ลงจริงๆ ใช่ค่ะ…กินไม่ค่อยลง 555 แต่ทั้งคู่ก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจมาก หลังๆเซี่ยงซีไปเรียนทำอาหารกับศิษย์พี่ด้วย เอ อยากรู้ว่าศิษย์พี่เป็นใครต้องมาติดตามน้า เพราะโป๋เยี่ยนหึงคนนี้มากบอกเลย อิอิ บางซีนนี่ฮาดี แบบว่าคนนึงอยากแสดงฝีมือทำให้กิน แต่อีกคนก็บอกว่าไปกินข้างนอกกันเถอะ ไม่รู้สงสารใครดี แต่ข้อดีคือเราอ่านเรื่องนี้แล้วเราไม่หิวเลยจริงๆ
หากจะเปรียบเทียบกับเรื่อง คุณผู้ช่วยสถาปนิก ที่มีโทนเรื่องในด้านการผลักดันชีวิตของตัวละครให้ก้าวไปข้างหน้า ในความคิดเรา Out of Tune ซาบซึ้งและกินใจมากกว่า เพราะโป๋เยี่ยนเปรียบดั่งแสงสว่างที่ให้ชีวิตใหม่แก่เซี่ยงซีได้เลย เขาเป็นทุกอย่างให้แล้วจริงๆ ตัวเซี่ยงซีเองก็พยายามและตั้งใจมากที่จะใช้แสงสว่างนี้นำทางไปสู่ชีวิต ’ที่ดี’ บนเส้นทางใหม่ ส่วนกู้เซียวจะเป็นในแนวชี้ทางเดินชีวิต รวมถึงการมีปณิธานในสายอาชีพมากกว่า แต่ด้วยต้นทุนชีวิตของตัวละครที่ค่อนข้างแตกต่างกันมากด้วย ชีวิตของเซี่ยงซีเรียกได้ว่าเริ่มจากติดลบ ไม่มีอะไรสักอย่าง หนังสือก็ไม่ได้เรียน แต่เขามุ่งมั่นและดิ้นรนออกไปสู่แสงสว่างและอยากมีชีวิตใหม่ ส่วนจางซืออี้ นั้นมีครบทุกอย่าง ขาดแค่ความมั่นคงทางจิตใจและความมั่นใจในการก้าวไปข้างหน้า
เรื่องนี้แม้ว่าพล็อตจะไม่ได้แหวกแนวหรือมีสีสันอะไรมาก แต่เรื่องราวที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมานั้นมันเป็นเรื่องราวธรรมดาๆที่มีมิติมากจริงๆ เราให้เต็มสิบเลย ซาบซึ้ง อ่อนไหว ทั้งการทบทวนชีวิตที่ผ่านมา และการมองไปข้างหน้า หากคุณกำลังท้อ สับสน และต้องการกำลังใจในชีวิต หรืออยากเป็นแสงสว่างให้ชีวิตใครสักคน ลองอ่านนิยายเรื่องนี้ดูนะคะ คุณจะได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตหลายอย่างไม่มากก็น้อย และเรายังเชื่อเสมอว่าหนังสือบางเล่มจะเข้ามาในช่วงเวลาที่ถูกที่ควร และเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ ^^
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in