จาก Casa Batlló เราก็เดินต่อไปอย่างไม่ท้อถอย ตรงมาเรื่อยๆจนเข้าสู่ย่าน El Gòtic หรือ The Gothic Quarter ซึ่งเป็นย่านที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองบาร์เซโลน่า มีสิ่งปลูกสร้างเก่าๆให้ได้ชมมากมาย ซึ่งบางอาคารก็มาตั้งแต่ยุคโรมันโน้น เอาเป็นว่าแค่เดินตามตรอกซอกซอยต่างๆก็ฟินแล้ววววว
ตรงนี้คือสถานี Catalunya เป็นเหมือนสวนกลางเมือง
ในย่าน El Gòtic นี้มีสถานที่สำคัญหลายแห่ง แต่ด้วยเวลาอันจำกัดเพราะฟ้าเริ่มมืดแล้ว เราเลยเลือกไปที่ Catedral de la Santa Creu i Santa Eulàlia หรือ Barcelona Cathedral
วิหารแห่งนี้เป็นศิลปะแบบ Gothic (ยอดแหลมๆและกระจกสีใหญ่ๆ) และเป็นที่บรรจุอัฐิของนักบุญ Eulàlia ซึ่งเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเมืองบาร์เซโลนา
อยากเข้าไปเห็นด้านในมากกกกกกก
และอยากขึ้นไปด้านบนของวิหารด้วย เขาว่าเป็นจุดชมวิวผังเมืองบาร์เซโลน่าที่งดงามอีกจุดหนึ่ง
(พยายามถ่ายให้มันสมมาตรแล้ว เราว่าเราอาจจะตาเอียง ควรไปพบแพทย์)
พอฟ้าเริ่มมืดเราก็เดินกลับ ตามความเชื่อส่วนตัวที่ว่า ยุโรปจะไม่ปลอดภัยเมื่อใกล้ค่ำ แต่ก็ขอแวะซื้อขนมจุ๊งจิ๊งนิดหน่อย
นี่คือ Tortell หรือ King's ring เป็นขนมประจำแคว้นคาตาลูญญาล่ะ จะมีขายเฉพาะช่วงคริสมาสต์เท่านั้น (และแพร่หลายในทางใต้ของฝรั่งเศส เรียกว่า Gâteau des Rois และสเปนโดยทั่วไป เรียกว่า roscón de Reyes) ไส้ข้างในมี 2 แบบคือ Mazipan ที่เราแสนเกลียดหรือวิปครีม
ใน Tortell นี้จะมีของสองอย่างซ่อนไว้เป็นเซอไพร์สคือถั่วแห้งกับรูปพระราชา (โยงไปถึงศาสนาคริสต์ตอนนี้มีกษัตริย์/นักปราชญ์เอาทองคำ กำยาน และมดยอบมากราบนมัสการพระเยซูตอนประสูติไง) โดยคนที่ได้รูปพระราชาจะได้ใส่มงกุฎกระดาษ ส่วนคนที่ได้ถั่วแห้งจะต้องเป็นคนจ่ายค่าขนม ฮาาา
ส่วนอาหารเย็นนั้นเราก็ไปกินที่ร้านอาหารโลคอลใกล้ๆโรงแรม ทดลองกินเมนู La Paella อาหารประจำชาติสเปน (สเปนอ่านออกเสียงว่า เป-อา-ยา คาตาลันอ่านว่า ปา-เอ็ลลล-ยา) มีต้นกำเนิดมาจากแคว้นบาเลนเซีย
รสชาติตามราคา ไม่ได้ฟู่ฟ่ามากขนาดนั้น
(สำหรับอาหารสเปนที่เรารักมากที่สุดคือไข่เจียว
ใช่ค่ะ ดิฉันคือเด็กสามขวบที่ตอบว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วอยากเป็นไข่เจียวเพราะชอบกินมาก)
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่านี่เป็นข้าวผัดสเปน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะจ๊ะ เขาเอาไปหุงกับน้ำสต็อกบนกระทะต่างหาก ไม่ได้เอาไปผัดแต่อย่างใด พอกินอิ่มก็เดินฟ้าลมกรรโชกแรงกลับที่พัก
และระหว่างทางเดินกลับห้านาทีจากร้านอาหารก็เจอผู้หญิงคนนึงร้องไห้ตาแดงวิ่งมาถามว่าเราพูดภาษาอังกฤษมั๊ย เนื้อตัวมีร่องรอยโดนทำร้าย มีพลาสเตอร์ปิดตรงคอนี่นั่น เราก็เออ พูดได้ เขาก็เล่าให้ฟังว่าตัวเองชื่อคิม เป็นคนอังกฤษ (แน่นอน ฟังจากสำเนียงก็ว่าใช่) เขาโดนโจรชิงกระเป๋าไป เพิ่งไปทำแผลที่โรงพยาบาลมา ติดต่อสถานทูตไม่ได้ ทุกอย่างหายหมดเลย เขาต้องเอาใบรับรองแพทย์ไปซื้อยา ช่วยหน่อยได้มั๊ยแล้วก็ร้องไห้โฮ
เราก็ทำอะไรไม่ถูก ถามว่าค่ายาเท่าไร (แปดยูโรกับอีกกี่เซนก็ไม่รู้ ลืม) มีอะไรติดตัวมาบ้างมั๊ย แจ้งตำรวจรึยัง (แจ้งแล้วแต่ทำอะไรไม่ได้ จะขอดูกล้องวงจรปิด) ด้วยความที่ขี้สงสาร (ใช้คำนี้ก็แล้วกัน) ก็ให้เขาไปสิบยูโร บอกว่าให้หายเร็วๆนะ แล้วก็เดินจากไป พร้อมความรู้สึกว่าเอ๊ะ กูโดนหลอกรึเปล่าวะ กูควรเดินไปร้านขายยากับเขาไหมจะได้รู้ว่ามาซื้อยาจริงๆ แต่ถ้าเขาเป็นโจรจริงๆแล้วลวงกูไปปลดทรัพย์หมดตัวจะทำยังไง ฟ้ามืดแล้วด้วย (ยุโรปไม่ปลอดภัยเมื่อใกล้ค่ำ!)
ก็เอาเถอะ... สมมติว่าเขาเป็นโจร เอาสิบยูโรไปดีกว่าหายไปทั้งกระเป๋า เผลอๆตัวเราอาจจะโดนทำร้าย จะเอาเงินไปทำอะไรก็สุดแท้แต่ หรือถ้าเขาเป็นผู้เสียหายจริงๆก็ถือว่าได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ทริปเยือนคาบสมุทรไอบีเรียครั้งแรกของเราก็จบลงแบบพีคๆประมาณนี้แหละ อยากมาเที่ยวอีกเพราะทุกอย่างมันปิดหมดเลย หงิดใจ อยากเข้าไปเห็นและสัมผัสสถาปัตยกรรมและผลงานของเกาดี้ให้มากกว่านี้ อยากไปดูของจริงข้างในเกี่ยวกับช่องแสงต่างๆ โอ้ยยย ต้องฟินมากแน่ๆ
ต้องกลับมาอีกให้ได้ในวันที่ฟ้าใสและทุกอย่างเปิดทำการตามปกติ!
ด้วยรัก...จากเมืองหลวงของแคว้นคาตาลูญญา
ไว้ค่อยมาเที่ยวใหม่นะ!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in