-- November 2017
ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เราบินกลับมาเนเธอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อมาเยี่ยม เจ๊น้ำ ผู้เรียนปริญญาโทอยู่ที่นี่ดังที่เล่าให้อ่านกันไปในตอนที่แล้ว และครั้งนี้เราก็มีโอกาสนั่งรถไฟออกมานอกเมืองกับเขาบ้าง อยากสำรวจวิถีชีวิตของชาวดัตช์ที่แท้จริง พอกันทีอัมสเตอร์ดัมที่แสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยกลิ่นที่ทำให้รู้สึกคึกครื้น
เรานั่งรถไฟออกจากสนามบิน Schiphol Airport ประมาณ 15 นาทีมุ่งสู่เมือง Leiden (ไลเดน) เมืองเล็กๆที่เป็นที่ตั้งของ Universiteit Leiden มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของเนเธอแลนด์ ติดมหาวิทยาลัยระดับท็อปของภาคพื้นยุโรป และอัลเบิร์ต ไอสไตน์ก็เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย!
ไปลงที่สถานี Leiden Centraal
แสงแดดอ่อนๆยามบ่าย ก้อนเมฆขาว และทุ่งหญ้าสีเขียว
เจ๊น้ำมายืนยิ้มแฉ่งรอรับเราตรงหน้าสถานี ช่วงปลายของเดือนพฤศจิกายนของที่นี่นั้นหนาวโหดร้ายพอสมควร ที่หนาวไม่ใช่ตัวอากาศแต่เป็นลมเย็นที่พัดมาบาดผิวตลอดเวลา เจ๊น้ำเล่าให้ฟังว่าถ้าฝนตกจะแย่กว่านี้อีกเพราะร่มกันฝนไม่ได้เลย ฝนที่นี่มันไม่ได้ตกเป็นเม็ดใหญ่ๆแบบบ้านเราแต่จะมาเป็นละอองเพราะว่าลมจะแรงพัดตึ่งทุกทิศทาง คือไม่ว่ายังไงก็เปียกแหละ
หน้าสถานีมีแผงขายพวกปลาดองทั้งหลาย
เป็นคล้ายๆกับอาหารประจำชาติแบบบ้านๆของที่นี่แหละ
จักรยานเยอะแยะ เป็นพาหนะประจำชาติที่แท้จริง
เวลาเดินต้องคอยดูดีๆ ห้ามเดินในเลนจักรยานเด็ดขาดเพราะจะโดนตะโกนด่าแบบ aggressive สุด
ที่นี่เงียบสงบมาก เป็นการใช้ชีวิตแบบคนดัตช์ที่เงียบสงบจริงๆไม่เหมือนกับอัมสเตอร์ดัมที่ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด คนค่อยเดิน ปั่นจักรยาน นั่งในร้านกาแฟ เอาเรือมาล่องตามคลองในวันที่อากาศดี (วันนี้ก็เจอหนึ่งลำ ชิวมากทีเดียว) เจ๊น้ำเล่าเสริมว่าจริงๆคนดัตช์ก็ไม่ค่อยชอบอัมสเตอร์ดัมเท่าไรนัก เขาว่าความเป็นอัมสเตอร์ดัมทำให้เนเธอร์แลนด์ดูแย่ ก็คงคล้ายๆกับที่บ้านเรามีพัทยานั่นแหละมั๊ง...
สำหรับเมืองไลเดนอันแสนเงียบสงบแห่งนี้มีประชากรส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษาทั้งนั้นเลย ทั้งนักศึกษาชาวดัตช์เองและนักศึกษาต่างชาติจากหลากหลายประเทศรอบโลก ส่วนชาวเมืองอื่นๆนั้นย้ายออกไปอยู่เขตชานเมืองเป็นส่วนใหญ่เพราะค่าครองชีพแพงโดยเฉพาะค่าเช่าบ้าน
Windmill museum De Valk เป็นกังหันลมแรกที่เราเดินมาเจอ
ถนนที่เราเดินผ่านเป็นถนนเส้นหลักของเมือง ผ่าตรงกลางแบ่งเมืองออกเป็น 2 ฝั่ง ที่นี่มีคูคลองมากมายเช่นเดียวกันกับอัมสเตอร์ดัม จุดนี้เป็นเหมือนโซน shopping street มีร้านคาเฟ่น่ารักมากมาย ซุปเปอร์มาร์เก็ต ส่วนร้านเสื้อผ้าไม่ค่อยมีเท่าไร ต้องนั่งรถไฟไปอัมสเตอร์ดัมหรือเฮกเพื่อซื้อของ
ที่นี่มีร้านอาหารจีนที่รสชาติเชี่ยทุกร้านรับประกันโดยนักศึกษาจีน มีร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Shabu Shabu ที่ไม่ได้ขายชาบูแต่ขายซูชิ (อย่างงี้ก็ได้หรอ) และก็ร้านอาหารสไตล์ยุโรเปียนทั่วไป มีอาหารแขกนิดๆหน่อยๆ นี่คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงต้องบินมาส่งเสบียงเดือนเว้นเดือน เรากลัวเพื่อนเราไม่มีอะไรกิน ฮา
ส่วนนี่เป็นลานกว้างกลางเมือง เมื่อก่อนเก่าก็เป็นตลาด เป็นแหล่งชุมนุมของชาวเมือง
ร้านนี้ดูดี น่ากิน แต่จริงๆแล้วไม่อร่อย ที่คนเยอะเพราะ free wifi จ้า
เราเดินมาถึงฝั่งตะวันออกของเมือง เป็นที่ตั้งของประตูน้ำของเมืองและกังหันลมที่เราจำชื่อไม่ได้ ซึ่งกังหันลมตรงนี้้จะเปิดให้เข้าชมภายในเฉพาะวันสำคัญหรือช่วงเทศกาลเท่านั้นจ้ะ
อากาศทรงแบบนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบดัตช์แท้ๆเลยล่ะ
บ้านแถบนี้เป็นบ้านคนรวยทั้งสิ้น มีอาคารหลังนึงที่เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์แห่งเนเธอร์แลนด์ เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยไลเดนด้วย
หลังสีขาวนี้นี่ไง!
แล้วเราก็เดินไปที่มหาวิทยาลัยกัน ไม่สิ... จริงๆไปที่คือตึกคณะนิติศาสตร์ต่างหาก เพราะตึกของคณะต่างๆที่นี่กระจัดกระจายอยู่ตามตึกต่างๆรอบเมืองอยู่แล้ว เช่น ด้านขวานี้จริงๆคือตึกของคณะอักษรศาสตร์จ้ะ
ที่เห็นไกลลิบสุดซอยนั่นคือตึกคณะนิติศาสตร์นั่นเอง
ด้วยความที่เป็นคณะอันดับหนึ่งเลยได้รับแต่ตึกดีๆ ยึดตึกนู้นตึกนี้ของชาวบ้านเขาไปหมด
อะไรที่ดีที่สุดจะเป็นของคณะนิติศาสตร์ล่ะ
ข้ามคลองไปก็ถึงแล้ว
ตึกคณะยามเย็น
ข้างๆเป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่บึ้มที่ทุกอย่างแห้งๆเหี่ยวๆเพราะอากาศหนาว
เราเดินลัดเลาะไปตามถนนและคูคลองเรื่อยๆ จุดหมายคือตึกคณะใหม่
ที่นี่มีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นซุกซ่อนอยู่มากมาย
สาเหตุเพราะเมืองนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้นและยาวนาน
เราผ่านเข้าไปชมในโบสถ์ Pieterskerk ที่มีความสำคัญของเมืองไลเดนและประวัติศาสตร์ของเนเธอแลนด์ (ซึ่งเราจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่) เอาเป็นว่าปัจจุบันนี้ทางเมืองไลเดนได้เปลี่ยนโบสถ์แห่งนี้ให้เป็นที่ให้เช่าจัดนิทรรศการไปแล้ว (โบสถ์อื่นๆก็เช่นกัน เปลี่ยนฟังชั่นก์การใช้งานไปหมดแล้ว)
ภายในถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโถงโล่งๆ
ตรงพื้นก็เป็นจุดฝั่งศพของบุคคลสำคัญต่างๆ
ด้านนอกมีคาเฟ่น่ารักๆและจุดขายของที่ระลึกของเมือง
อ้อ ลืมบอกไปว่าค่าเข้าชม 3 ยูโรนะจ๊ะ เป็นที่เดียวในไลเดนที่เก็บค่าเข้า แฮ่
เจอร้านขายของเล่นกุ๊กกิ๊กด้วย น่ารักมากเลยยยยยยย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in