เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
ฝ่าสายฝนในเมลเบิร์น | โอ๊คแลนด์ครั้งที่หก


  •  28 June 2017



    เรามาเมลเบิร์น-โอ๊คแลนด์อีกแล้วล่ะ มาทุกเดือนเลยจนทุกคนสงสัยว่าทำไมถึงชอบไฟล์ทนี้นักหนา แอบซุกกิ๊กเป็นหนุ่มออสซี่เลี้ยงหมารักธรรมชาติและการผจญภัยรึเปล่า ตอบตามตรงว่าไม่มี (ถ้าเจอซักคนจะดีมาก เอาแบบคริส เฮมส์เวิร์ธนะ) แต่เรามีเหตุผลง่ายๆสามสี่ข้อว่าทำไมเราถึงรักที่นี่นัก



    1. เราเป็นทีมไม่บินยูเอส(และยูเค หากทำได้) จึงต้องบิดไฟล์ทไปออสเตรเลียทุกเดือน ถ้าไม่บิดไม่ไปนั่นหมายความว่าไฟล์ทยูเอสจะมาประทับลงในตารางบินแน่ๆ และถึงแม้ว่าไฟล์ทจะย๊าวยาวถึง 13 ชั่วโมง มี 3 เซอร์วิส แต่สำหรับเราถือว่าง่ายเพราะผู้โดยสารชาวออสซี่และกีวี่ส่วนใหญ่น่ารักกุ๊กกิ๊ก พูด Please และ Thank you ต่อเวลา มันดีต่อใจกว่าการไปทำไฟล์ทยูเอสที่เหมือนทำไฟล์ทไปอินเดียยาวนานถึง 14 ชั่วโมง
    2. ไฟล์ทยาว เงินเยอะดี แม้ว่าจะมีอาการ Jet lag
    3. เรารักเมลเบิร์น เมืองนี้เป็นเมืองที่รู้สึกว่าเราสามารถมาใช้ชีวิตอยู่ได้ตลอดชีพ(รองจาก Seattle ที่มีความหลังงดงามมากมาย) ผู้คนคูลๆ น่ารัก เป็นมิตร เอเชียนมาชุมนุมมากมายจึงมีร้านอาหารให้เลือกเยอะแยะ เป็น Home away from home ที่แท้จริง
    4. เรารักโอ๊คแลนด์มากเช่นกัน มีทั้งทะเลและภูเขาให้เราสูดอากาศหายใจได้อย่างเต็มปอด อาห์



    แต่ด้วยความที่เรามาเมลเบิร์นเป็นครั้งที่ 4 และโอ๊คแลนด์เป็นครั้งที่ 6 มันก็มีอารมณ์แอบเบื่อๆเนือยๆนิดหน่อย เลยพยายามหาอะไรทำ ไปๆมาๆทริปนี้เลยกลายเป็นทริปหาของกิน (อีกแล้วววววว)














  • เมลเบิร์น โดนัท และข้าวหมูกรอบ


    เรามาถึงเมลเบิร์นในช่วงเช้า หอบร่างที่เหนื่อยอ่อนและจิตใจที่แสนล้าเพราะซีเนียร์บ้าๆบอๆตรรกะประหลาดแถมเหยียดเอเชียนมาถึงโรงแรมแบบครึ่งคนครึ่งซอมบี้ ก็กะว่าจะนอนพักซักสองสามชั่วโมงแล้วค่อยออกไปเดินเล่นหาของกิน ไปๆมาๆกลายเป็นผัก ตื่นอีกทีก็นู้นนน เกือบๆบ่ายสามครึ่ง เด้งตัวลุกออกมาจากเตียงด้วยความขี้เกียจปนหิวหน่อยๆ ชั่งใจระหว่างโทรสั่ง Room Service แล้วนอนต่อหรือออกไปหาของกินข้างนอกดีหว่า แต่สุดท้ายก็กลั้นใจว่าไหนๆก็มาแล้วอะ ออกไปเดินเล่นรับอากาศหนาวยามเย็นก็ได้ ออกไปหาอาหารเอเชียนกินให้ชุ่มชื่นหัวใจหายอยากดีกว่าเนอะ




    อันนี้ถ่ายพระอาทิตย์ตามเช้า ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนแล้ววาร์ปยาว







    ก่อนออกจากโรงแรมก็นึกขึ้นได้ว่ามีร้านโดนัทแถวๆ Fitzroy - Brunswick Street ที่อยากลองไปกินนี่หว่า เอาล่ะไหนๆก็มาแล้วเราไปลองหน่อยละกันเนอะ ก็เดินไปนี่แหละจากโซน East Melbourne ที่เราอยู่ ไม่นั่งรถรางด้วยเพราะอยากเดินเล่นออกกำลังกายเผาผลาญแคลลอรี่ก่อนที่จะไปกินโดนัท






    ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงของซีกโลกใต้ล่ะ เลยมีฝนตกปรอยๆนิดๆหน่อยๆ
    อากาศเย็นเฉียบ ลมเย็นพัดตึ่งบาดผิวหน้าเวลาเดินดีเหลือเกิน



















    เราเดินเอื่อยๆตาม Google Map มาเรื่อยๆจนถึง Brunswick Street ที่โคตรคูล เป็นย่านฮิปๆของเมลเบิร์นเขาล่ะ สองข้างทางมีร้าน hand craft มากมาย ร้านอาหารและร้านกาแฟมากมี รวมถึงร้านหนังสือและเสื้อผ้าวินเทจมือสองเยอะแยะ

    เราเองก็ตกเป็นเหยื่อของร้านขายกระดาษห่อของขวัญและเครื่องเขียนร้านหนึ่ง ไปได้โปสเตอร์แผนที่โลกแบบโบราณกับโปสเตอร์นิวยอร์กและเกียวโตแบบวินเทจมาอย่างละใบ แถมเกือบจะซื้อเซ็ตตราประทับครั่งมาแล้วแต่ยั้งใจไว้ได้เสียก่อน กลัวไม่มีเงินเหลือเอาไว้ซื้อข้าวนั่นเอง







    ระหว่างตรอกซอกซอยต่างๆก็มีกราฟฟิตี้เป็นระยะ























    เสียดายที่ตอนเราไปเดินมันเย็นๆแล้ว ร้านรวงเริ่มทยอยปิดกันแล้ว
    เหลือแต่ร้านอาหารและบาร์เท่ๆที่เริ่มเปิดกันตอนตะวันตกดิน














    ในที่สุดเราก็เดินมาถึงร้าน Doughnut Time เป้าหมายของกินแรกของเราในทริปนี้ ;)











    มีความรู้สึกละม้ายคล้ายกับตอนที่เราไปยืนซื้อ Voodoo Donut ที่พอร์ตแลนด์ (จะเขียนถึงไว้ใน ตอนนั้น...จำได้ว่า... ทริปเที่ยวอเมริกาของเราเอง) เราไปยืนเกาะตู้กระจก เล็งว่าอยากจะลองชิมโดนัทแบบไหน ตอนแรกคิดว่าจะลองชิมแค่ชิ้นเดียว ไปๆมาๆก็ได้มาสามแบบสามสไตล์จ้ะ









    อันนั้นก็น่ากิน อันนี้ก็ดูดีมาก โอ้ยยย เลือกไม่ถูกกกกกกกก อยากมีซักสามกระเพาะ
















    มี Hot Chocolate ด้วยนะ ตอนแรกจะสั่งแล้วแหละแต่ในมือพะรุงพะรังมากเพราะมีกระบอกใส่โปสเตอร์และร่มด้วย คนขายก็หน้าตาน่ารักเชียวล่ะ ยิ้มสดใสละมุนละไมมากเลยคุ๊ณณณณ














    อาห์... Please help me regain my strength.









    ผ่ามผ๊ามมมมมมมมมมมม
    เราได้มา 3 แบบ คือ...

     The O.G. ที่หน้าตาเหมือนคริสปี้ครีมนั่นแหละ เบสิก ไม่หวือหวา แต่ทว่าโคตรอร่อย
    ชิ้นนี้เขมือบทันทีด้วยความหิวอยู่หน้าร้าน ก่อนจะเก็บอีกสองชิ้นใส่กล่องกลับไปกินต่อที่โรงแรม



    อันต่อมาคือ Fairy Godmother อันนี้ซื้อเพราะชื่อเลยแหละ
    เราต้องการการปลอบประโลมใจที่ดีจากไฟล์ทที่แย่เพราะซีเนียร์บ้า
    เพราะฉะนั้นโดนัทครีมหนาๆโรยเรนโบว์หลากสีนี่คือใช่เล้ยยย
    ชิมแล้วรู้สึกว่ารสชาติหวานมาก หวานขึ้นตาสุดๆไปเลย
    แอบเลี่ยนนิดนึงเพราะครีมข้างหน้าด้วยแหละ




    ท้ายสุดที่ยกให้เป็นผู้ชนะในแคมเปนจ์นี้คือ Creme de la creme ที่ราดคาราเมลข้างบน
    หน้าตาอาจจะดูธรรมดาแต่เราเลิฟมากที่สุด กัดไปแล้วแป้งนุ่มมาก
    แถมด้วยไส้ครีมทะลักทะลายแบบโอ้ยยยย ฟินสุด ผสมผสานกับคาราเมลกรอบๆด้านบน
    กินแล้วเหมือนลอยได้ไปสุดขอบจักรวาล สลายทุกความเครียดและขุ่นข้องหมองใจ











    Doughnut Time - It's always a good time














  • หลังจากฟาดโดนัทไปหนึ่งชิ้นก็เกิดอยากกินของคาวขึ้นมาบ้าง เป้าหมายต่อไปคืออยากกินหมูกรอบ กร๊าซซซซซซ เราต้องการหมูกรอบ หมูกรอบจะเยียวยาทุกความบอบช้ำในจิตใจ เสิร์จกูเกิลแล้วออกเดินทางไปโดยพลันนนน




    เป้าหมายเราอยู่ที่ร้าน Pacific BBQ House เรื่องของเรื่องคือไปแอบเห็นร้านนี้ในไอจีของลูกเรือการบินไทยที่อยู่ๆก็โผล่ขึ้นมาในหน้า Explore ดูทรงแล้วว่าดี ต้องอร่อยแน่นอน เอาล่ะ เราเชื่อเขา เราไปลองบ้าง!



    ระหว่างทางก็ทุลักทุเลพอสมควรเพราะอยู่ๆฝนก็ตกหนัก เราต้องหอบกระบอกโปสเตอร์ หนีบร่ม และประคับประคองกล่องโดนัทไม่ให้โดนฝนจนกระทั่งมาถึงที่ร้านโดยสวัสดิภาพแบบน้ำท่วมรองเท้า







    ถึงปุ๊บก็สั่งปั๊บ ได้หมูกรอบกับเป็ดย่างมากินให้หายอยาก
    จริงๆมีอีกร้านนึงใกล้ๆคือ China Bar เขาว่าก็เด็ดเหมือนกันโดยเฉพาะน้ำจิ้ม
    รอบหน้าจะไปลอง!







    กินเสร็จก็เดินกุ๊กกิ๊กกลับโรงแรม นอนพักแล้วตื่นไปทำไฟล์ทโอ๊คแลนด์ต่อตอนตีห้า สู้ชีวิตเหลือเกิน ฮืออ











  • ตรอกเล็กๆในเมืองโอ๊คแลนด์


    ไฟล์ทจากเมลเบิร์นมาโอ๊คแลนด์ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงนิดๆ เรารำคาญซีเนียร์ก็หงุดหงิดอารมณ์เสียมาตลอดทาง (แม่งเอ๊ย คนเชี่ย) พอถึงโรงแรมแล้วก็บาย แยกย้าย ไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง หาของกินบำบัดจิตใจกันดีกว่าเนอะ



    เราออกจากโรงแรมประมาณประมาณห้าโมงนิดๆ ตอนแรกกะว่าจะไปกินปิ้งย่างเกาหลีร้านเดิมที่ไปมาททุกรอบแต่ก็เบื่อแล้วอะ ชีวิตเราต้องหาอะไรใหม่ๆให้เป็นสีสันบ้างสิ ได้เวลาตามหาร้านอาหารในดวงใจร้านใหม่แล้วจ้าาาา










    เย็นนี้เราเลยเดินลงเขามาวนเวียนแถวๆ Queen Street วกไปวนมาไม่รู้จะกินอะไรดีแต่ก็หิวมากจนตาลายแล้วเด้อ เลยเปิดกูเกิลหาร้านอาหารญี่ปุ่นก็แล้วกัน ก็ไปเตะตากับร้านหนึ่งตรง Durham Street ซึ่งมีรีวิวเขียนว่า






    Quick. Tasty. Haven't changed their prices in 15 years.
    Best Katsu curry chicken.





    โป๊ะเช๊ะ! ร้านนี้แหละ เร็ว อร่อย และไม่เปลี่ยนราคามา 15 ปีแล้วแปลว่ามันถูกเว้ย ไปลองงงงง อยากรู้ก็ต้องลองงงงงงง











    Durham Street เป็นตรอกเล็กๆซึ่งผู้คนที่เดินอยู่ในถนนเส้นหลักที่มีคนเดินขวักไขว่อาจจะมองข้ามไปเลยเพราะดูจากภายนอกแล้วไม่มีอะไรสะดุดตาน่าเชิญชวนให้เดินเข้ามาเลย แต่แท้ที่จริงแล้วมีร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆซ่อนตัวอยู่ชื่อว่าร้าน Renkon
















    ร้านนี้มีกันอยู่เพียงสามคนเท่านั้น คือ คุณที่คอยรับออเดอร์และพ่อครัวอีกสองคน มีเมนูให้เลือกเยอะพอสมควร แต่เราก็ลองตามรีวิวคือ Katsu curry แต่เปลี่ยนจากไก่เป็นหมู (โหยหาสุดๆ)
















    ทาด๊าาาาาา หน้าตาเป็นแบบนี้นะจ๊ะ เราสั่งซุปมิโซะเพิ่มมาด้วย และทางร้านมีน้ำเปล่าและน้ำชาร้อนไว้ให้บริการจ้า








    หมูกรอบมาก กัดไปแล้วนุ่มมาก แม้ไม่ได้นุ่มขนาดที่เอาตะเกียบตัดได้แบบร้านดังๆ
    แต่มันมีความโฮมเมดละมุนละไมที่ดีเหมือนกับข้าวที่คุณแม่ทำ
    ชวนให้คิดถึงร้านข้าวแกงกะหรี่ Smiley Kitchen ที่นิมมาน ซ.3 ที่เรารักมากมากมากมากมาก
    (ใครไปเชียงใหม่ต้องไปลองนะ เราไปกินทุกรอบ ทุกครั้ง ประเสริฐ!)








    กินเสร็จแล้วก็อิ๊มอิ่มแต่ก็ยังไม่อยากกลับไปนอนอยู่ดี เราเลยเดินเข้าไปที่ร้าน The Kimchi Cafe ตรง Lorne Street (เส้นนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารเอเชียนมากมายและมีซุปเปอร์มาเก็ตของจีนเล็กๆด้วย) ร้านนี้กลายเป็นร้านติดดาวในดวงใจของเราไปเลยเพราะที่นี่มี 2 โซนให้เลือกนั่ง มีโซนคาเฟ่ด้านในที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาว มีต้นไม้น่ารักมุ้งมิ้งและเคาเตอร์ชงกาแฟ ส่วนโซนด้านนอกเป็นเหมือนสวนหลังบ้ายเปิดโล่ง มีบาร์และที่นั่งเก๋ๆ









    ภายในร้านค่อนข้างมืด มีคนมาทานอาหารเย็นเยอะแยะมากมาย แอบเหลือบดูเมนูแล้วที่นี่เป็นเมนูฟิวชั่นเยอะแยะมากมายที่น่าลิ้มลอง แต่ด้วยความอิ่มจากข้าวแกงกะหรี่เลยสั่งช็อคโกแลตร้อนมาทานคู่กับคุกกี้ และอ่านหนังสือไปเงียบๆในมุมสุดของร้าน กะว่าตอนเช้าเราจะกลับมาใหม่! มาทานอาหารเช้าที่นี่ก่อนทำไฟล์ทกลับไปเมลเบิร์น










    ถ่ายกับกระจกตรงทางไปห้องน้ำ น่ารักมากเล้ยยยย













    และประมาณ 10 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้นเราแวะเวียนมาใหม่ สั่ง Egg Benedict มาทานให้สาสมกับความอยาก โซ้ยแบบรีบๆเพราะต้องกลับไปเตรียมตัวบินต่อ




    ดื่มไปเกือบครึ่งนึง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมถ่ายรูปแหะ




























    ผ่ามผ๊ามมมม หน้าตางดงามแถมอร่อยอีกต่างหาก
    มีแรงและกำลังใจไปต่อสู้กับความพังพินาศบนไฟล์ทต่อไป วู้ฮู้ววววว














  • เดินตลาดยามสายในเมลเบิร์น




    เรากลับมาถึงเมลเบิร์นตอนประมาณสี่ทุ่ม หลับเป็นตายยาวไปจนประมาณเก้าโมงครึ่งก็ตัดสินใจลุกออกมาจากที่นอน เช้านี้เรามีเป้าหมายคือไปเดินเล่นที่ Queen Victoria Market เพราะมีภารกิจไปซื้อสบู่ลาเวนเดอร์ให้คุณพ่อจ้ะ


    เรื่องของเรื่องคือคุณพ่อเคยมาเมลเบิร์นและซื้อสบู่ไปจากร้านหนึ่งในตลาดแห่งนี้ แล้วก็ติดอกติดใจเฝ้าใฝ่ฝันถึงสบู่นี้มาตลอด เอาล่ะ... ทำตัวเป็นลูกสาวที่น่ารัก เราเดินไปซื้อให้ก็ได้เด้อออออ





    แต่ก่อนอื่นนั้นกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง ประกอบกับอยู่ๆเมื่อคืนก็มีความคิดแว้บเข้ามาในหัวว่าอยากกินปาท่องโก๋! เอาละสิ จะไปหาปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้ร้อนๆได้จากที่ไหนในเมลเบิร์นล่ะเนี่ย เดชะบุญที่ไปคุยกับมิลค์ผู้เคยอยู่ที่เมลเบิร์นมาก่อน มิลค์เลยแนะนำว่าให้ไปที่  State Library สิ ฝั่งตรงข้ามมีร้านขายปาท่องโก๋อยู่นะ



    โอเค จัดไปฮะ เมื่อเรามีอาหารเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิต อากาศข้างนอกจะเหน็บหนาวเท่าไรก็ไม่หวั่น จะต่อสู้ฝ่าฟันออกไปเพื่อของกินนนนนนน












    ฟ้าใส แดดจ้านะ แต่ลมพัดมาทีนี่เย็นยะเยือกมากจ้า
    และรถรางฟรีมีให้ใช้ก็ไม่ใช้ด้วย เดินเอานี่แหละ
    เพราะถือเป็นการออกกำลังกายอีกอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากการขยับขากรรไกร
















    ถึงแล้วจ้า Mr.Kitchen ตรงข้าม State Library
    จริงๆแล้วร้านนี้มีหลายสาขานะ ใกล้โรงแรมกว่านี้ก็มี
    แต่ตรงนี้มันทางเดียวกันกับที่ไปตลาดเลย













    คนจีนเต็มไปหมดเลย ที่นี่มีเมนูหลากหลาย โจ๊กเกี๊ยวอะไรแบบนี้ก็มีนะ
    แต่เราเก็บท้องไว้กินอย่างอื่นเลยสั่งแค่น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋









    ได้มาเรียบร้อยแล้วก็ทำเก๋ไม่นั่งในร้าน(เพราะไม่มีที่นั่ง คนเต็มมมมมไปหมด) เลยเดินข้ามฝั่งไปนั่งที่เก้าอี้หน้าหอสมุดแทน มองคนเดินผ่านไปผ่านมาไปเรื่อยเปื่อย เป็นยามเช้าวันอาทิตย์ที่สดใสดีนะ :)











































    บรรเทาความอยากให้เบาบางลงบ้างแม้ไม่มีนมข้นหวานก็ตามที
    น้ำเต้าหู้อุ่นพอดีแต่หวานไปหน่อยแหละ
















    กินไป หวาดระแวงไปเพราะเจ้าพวกนี้ค่อยๆรุกคืบมาเรื่อยๆ
    นี่ปาท่องโก๋ของเรานะ!










    อิ่มแล้วก็ค่อยๆเดินไปตลาด ด้วยความที่เป็นวันอาทิตย์ผู้คนเลยเนืองแน่นมากเลยจ้ะ ตัวตลาดก็มีหลายโซนให้เดิน แยกย่อยไปตามหมวดหมู่อาหาร มีทั้งโซนอาคารด้านในตึกและลานด้านนอก




























    เราออกมาเดินเล่นข้างนอกก่อน มีวงดนตรีเปิดหมวกมากมายและ food truck หลากหมายให้เลือกสรร ซึ่งเราก็ไปสะดุดตากับร้านแพนเค้กที่มีสามสาวเป็นคนขาย คนต่อแถวเยอะแยะเลยแหละ


























    ละมุนมากแบบโอ้ยดีงามมมมม โปะวิปครีม ราดช็อคโกแลต ฟินมากกกกกกกกกกก









































































  • เราเดินวนเวียนตามหาร้านสบู่ของคุณพ่อ แต่ก็ไม่เจอซะที เลยแวะกิน Brazilian BBQ หน่อยก็แล้วกัน คนต่อแถวเยอะแปลว่าอร่อยชัวร์!








































    มีทั้งข้าว เนื้อย่าง ไก่ย่าง ไส้กรอกย่าง โอ้โหหหหหหหหห จัดเต็ม อิ่มอร่อยมากกกกกกก
    นั่งไปก็ฟังวงดนตรีสดเล่นเพลงไปเรื่อยๆ คึกครื้นมาก




























    อันนี้ก็เป็นส่วนตลาดข้างนอกเหมือนกัน ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเจเจแบบอากาศหนาวและมีระเบียบ














    โดนัทร้านนี้ก็คนแน่นเหมือนกัน แต่ไม่ไหวแล้วเด้อ ถ้ากินอีกนี่น่าจะจุกจนเดินไม่ไหวล้าวววววว


















  • และแล้วเราก็เจอร้านสบู่ที่ตามหา แต่ทว่ามันปิดไปแล้วอ้ะ! ตอนแรกเซ็งๆมาเลยก็ไลน์ไปบ่นๆกับคุณแม่ แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นป้ายเล็กๆว่าร้านย้ายไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตลาด เย้เฮ มาแล้วไม่เสียเที่ยว ไปแบกเอาสบู่ลาเวนเดอร์กลับมาหลายก้อนเลย ฮี่ฮี่













    และตอนแรกเรากะว่าหลังจากเดินตลาดเรียบร้อยแล้วจะไปคาเฟ่ช็อคโกแลตที่เห็นคนแชร์ๆกันในเฟสบุ๊ค แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจไปเดินซื้อของกินที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน โหลดของกลับดูไบดีกว่าเนอะ











    แต่ก่อนที่เราจะเดินไปถึงซุปเปอร์มาร์เก็ต เราก็โดนกลิ่นหอมของราเมงดึงดูดให้เลี้ยวเข้าร้านนี้ ฮือออ ไม่ได้หิวอะไรเลยนะแต่รู้สึกว่าไม่ได้กินมาน๊านนาน ลองหน่อยละกัน ฟื้นฟูพลังใจเพราะเดี๋ยวต้องทำไฟล์ทสิบสามชั่วโมงกลับ โฮฮฮฮ แค่คิดก็เหนื่อยแล้วจ้า









    อร่อยมาก หมูชาชูละลายในปากมาก เส้นเหนี่ยวนุ่มพอดีไม่แข็งไม่นุ่มจนเกินไป อาห์ เวิร์คคคค









    จากนั้นก็ไปลัลลาซื้อของ ได้บัวลอยน้ำขิงแช่แข็งมา 2 แพค มักกอลลี 1 ขวด และน้ำพริกเผาจีนแบบที่คนไกลตัวแต่ใกล้ใจเราชอบ 2 กระปุก เราไม่กล้าซื้อพวกเนื้อหรือผักต่างๆเพราะไฟล์ทมันยาว กลัวจะเสียก่อนเลยเอามาแค่นี้พอเนอะ จากนั้นก็เดินต๊อกแต๊กกลับโรงแรม นอนนนนนน ไปบินนนนน และกลับมาเป็นผักที่ดูไบ







    ช่วงนี้เริ่มรู้สึกว่าร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะบินไฟล์ทยาวๆได้แล้วอะ เหนื่อยล้าเป็นพิเศษ ต้องลดละการบินไฟล์ทยาวลงซักพักหนึ่ง TT______TT







    จบไฟล์ทนี้ก็เป็นมะนิลาที่เราโชคดีเอาเบอร์มิ่งแฮมเบอร์มิ่งเฮลไปแลกมาได้ ก็ไปนอนอืดดูทีวีเฉยๆหนึ่งคืน และทำไฟล์ทกรุงเทพต่อกัน 2 ไฟล์ท ชื่นชีวันเมื่อฉันและเธอชิดใกล้จริงๆ และก็หยุดอยู่ดูไบเฉยๆ 5 วันที่ไปไหนไม่ได้ กลับไทยไม่ได้เพราะไฟล์ทกลับกรุงเทพเต็มมากกกกกก ก็ถือว่าประหยัดค่าตั๋วกลับไทยในเดือนนี้ไปละกันเนอะ (พยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ฮึบบบบ)



    ส่วนปลายเดือนคือทริปที่เรารอคอย เฝ้ารอมานานแสนนานกว่าจะได้ไฟล์ทนี้ ซึ่งก็ยังไม่บอกหรอกว่าไปไหน เอาไว้กลับมาเล่าให้อ่านกันนะ ;)







    ด้วยรัก...จากทะเลทราย







    ป.ล.1 เรารวบรวมเรื่องราวจิปะถะเกี่ยวกับอาชีพการงานไว้ที่ above the sea level ไปตามอ่านกันได้นะ
    ป.ล.2 ทริปฮ่องกงผ่านกล้องฟิล์มของเราก็เขียนจบแล้วเช่นกันใน ขึ้นเครื่องบินด้วยกันเป็นครั้งที่สอง






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Sprite's Sophap (@fb1867636150155)
อ่านแล้วรู้ชอบมากเลยคะ ?