14 May 2017
ไทเปเป็นไฟล์ทน่ารัก
เราได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับไฟล์ทไทเปมานานแล้วว่าเป็นไฟล์ทดีงามตะมุตะมิน่ารัก ผู้โดยสารสุภาพเรียบร้อย ไม่โฉงฉางเสียงดัง เสิร์ฟอะไรให้ก็ทานได้หมดไม่เรื่องมากดราม่าเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียร์เตอร์ ดีลได้ง่ายมากแม้ว่าจะทำ 2 เซอร์วิสก็ตาม แถมโรงแรมก็อยู่ในเมือง เดินทางสะดวก ของกินอร่อย ช้อปปิ้งสนุ๊กสนุก
ประกอบกับเราเห็นคนนู้นก็ไปไทเป คนนี้ก็ไปเช็คอินถ่ายรูปลงโซเชียลต่างๆมากมายเลยคิดว่า เอาวะ ไหนๆเราก็เป็นมนุษย์บินรูทเอเชียแล้ว เอาหน่อย ไปลองหน่อยก็ได้
และสำหรับแหล่งข้อมูลสำคัญสูงสุดเกี่ยวกับการเที่ยวไทเปจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก อาลี่ เดอะรูมเมท นั่นเองงงงง ซึ่งนางก็น่ารัก จดที่เที่ยวและส่งแผนที่ต่างๆนานาๆมาให้เยอะแยะเชียวแหละ แม้ว่าทุกครั้งที่นางทำไฟล์ทไทเปจะไปกินแค่ติ่นไท่ฟงก็ตาม (พื้นเพนางมาจากทางตอนใต้ของไต้หวันล่ะ ไม่ใช่สาวเมืองหลวง เลยไม่ค่อยทำไฟล์ทไปไทเปเพราะยังไงก็ไม่ได้กลับบ้านอยู่ดี นางบ่นๆของนางงี้)
ไฟล์ทไปไทเปเป็นเครื่อง A380 2 class ที่มีแค่บิสเนสและอีโคโนมี ผู้โดยสารเต็มลำทั้งไปกลับเพราะมีไฟล์ทแค่วันละเที่ยวเท่านั้น โชคดีที่เรามีพี่คนไทยในอีโคไปด้วยกันเลยจับคู่เป็นทีมไทยมาเฟียกันอยู่สองคนกุ๊กกิ๊ก สำหรับการทำงานก็ง่ายมากจริงๆประหนึี่งทำไฟล์ทญี่ปุ่นอะ เป็น 8 ชั่วโมงที่ชิวดี ผู้โดยสารหลับกันหมดแต่ก็ไม่เงียบเหงาจนเกินไป มีอะไรทำตลอดเวลาก็จริงแต่ไม่ได้ยุ่งเหมือนไฟล์ทไปจีนแผ่นดินใหญ่ที่ทุกคนขอฮ้อตเตอะว้อเต้อและคัพปะนู้ดเดิ้ลตลอดเวลา
Shilin Night Market is too mainstream.
เราไปถึงตอนประมาณ 5 โมงนิดๆ มาถึงโรงแรมก็ประมาณทุ่มนึง รีบเปลี่ยนชุดแล้วออกไปหาของกินที่ตลาดกลางคืนทันทีด้วยความหิวกระหาย ซึ่งหลังจากที่สอบถามข้อมูลจากลูกเรือไต้หวันบนไฟล์ท ประกอบกับที่ถามอาลี่มา จริงๆแล้วในไทเปมีตลาดกลางคืนอยู่เยอะมากกระจายอยู่ทั่วเมืองเลย มีตลาดที่ดังในหมู่นักท่องเที่ยวคือ Shilin Night Market
แต่! เราไม่ไป 555555 เพราะเรามีเป้าหมายคือตลาดกลางคืนอีกแห่งหนึ่งที่ลูกเรือไต้หวันทุกคนบอกว่ามันดี มันโลคอลกว่า ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไร ยูเดินไปเหอ จิ้มร้านไหนก็อร่อยเว้ย
ต่อไปนี้คือคำอธิบายของอาลี่:
Raohe Street Night Market เป็นหนึ่งในตลาดกลางคืนที่เก่าแก่ที่สุดในไทเป เป็นตลาดสำหรับไต้หวันนิสแท้ๆ มีขายทั้งของคาว ของหวาน มีร้านขายของเยอะแยะมากมาย มีร้านเสื้อผ้าน่ารักด้วย แต่ทำใจไว้ก่อนว่าบางร้านอาจไม่พูดภาษาอังกฤษนะ เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาเดินก็เป็นคนไต้หวัน คนขายก็เป็นวัยกลางคนที่ไม่ถนัดภาษาต่างประเทศ ยูก็ใช้ภาษามือเอาละกัน
วิธีไปก็ง่ายมาก นั่งรถใต้ดินสายสีเขียวไปลงที่สถานี Songshan ทางออกที่ 2 หรือ 5 ก็ได้ ถ้าออกทางที่ 1 ก็ถึงกลางตลาดเลย ถ้าออกทางที่ 5 จะไปที่ต้นถนนที่มีวัด ไปถึงยูก็เลือกเลยว่าหิวมากหรือหิวน้อย อยากกินเร็วหรือกินช้า
แน่นอนว่าเราเลือกออกทางออกที่ 2 (ฮา)
พอขึ้นจากใต้ดินมาปุ๊บจะเจอกับ Songshan Market ก่อนเลย อย่าเพิ่งตกใจไป เดินทะลุซอยมืดๆนั่นเข้าไปก็จะพบกับความสว่างไสวของร้านรวง
เจอตรงนี้ละถูกแล้ว เดินตรงเข้าไปเลยจ้า
โผล่มากลางตลาด ซื้อของกินได้เลย เย้
เดินวนตรงไปเรื่อยๆก็จะเจอกับต้นถนนที่มีวัดจีน เป็นแลนด์มาร์กให้ถ่ายรูปกับป้ายทางเข้าตลาดนั่นเอง
ถ่ายมาสามรูปพอให้เห็นบรรยากาศ
หิว เดินเข้าไปหาของกินล่ะจ้ะ
และต่อไปนี้จะเป็นการรีวิวอาหารที่ข้าพเจ้าลิ้มลองในค่ำคืนนี้
เชิญรับชมได้เลยจ้ะ
เมนูแรกที่เราลิ้มลองคือ เต้าหู้เหม็น
คือถ้าไม่กินเหมือนมาไม่ถึงอะ ก็จัดไปตรงแผงข้างๆทางเข้าตอนแรกนั่นแหละ
คนอื่นอาจจะว่าเหม็นแต่เราว่าเราไม่ได้รู้สึกว่ากลิ่นมันแรงมากขนาดนั้นนะ
เนื้อเต้าหู้แน่นดี ตรงกลางเป็นผักๆ ราดซอสเค็มๆ ถ้าชอบเผ็ดๆก็เติมน้ำจิ้มพริกได้ อร่อยดีเปรี้ยวๆ
ราคา 50 เท่าน้านนนนน
ไปต่อกับเมนูเนื้อกันบ้าง กับเมนู เนื้อย่างลนไฟฟฟฟฟฟฟฟ
คือย่างอย่างเดียวไม่พออะ ต้องลนไฟให้ดูมีกิมมิกด้วยเว้ย
เอาป้ายหน้าร้านไปดูก่อนว่าร้านหน้าตาเป็นแบบนี้นะจ๊ะ
เขามีเฟรนชายอยู่หลายร้าน เดินๆไปเดียวก็เจออีกแล้ว แต่ร้านนี้คนย่างหล่อสุด ซื้อ!
(พิกัดอยู่ใกล้ๆกับวัดจีน #คนขายหล่อบอกด้วย)
แก ฉันว่าเขาน่ารัก แต่ก่อนที่จะเคลิบเคลิ้มไปกับความหล่อของคนขาย
อยากให้โฟกัสที่กรรมวิธีการย่าง คือแก๊ ยืนอยู่หน้าเตานี่ร้อนมากจ้า
ร้อนเพราะไฟล้วนๆไม่เกี่ยวกับความฮอตของคนขายใดๆเด้อ
ย่างเสร็จแล้วก็ออกมาเป็นอย่างนี้
เขามีให้เลือกว่าจะโรยอะไรปรุงรส เราก็เลือกเป็นเกลือกับพริกไทยสไตล์ Saltbae
เฮ้ยยย มันอร่อยมาก เนื้อดี ไม่เหนียวเลย ย่างออกมาแบบ medium นิดๆ สุดยอดดดดดดดด
กล่องละร้อย ไปลอง!
ส่วนนี่ไม่ใช่อาหาร เป็นน้องหมาของแม่ค้าร้านข้างๆ น่ารักกกกกกกกกกกกก
กินเนื้อแล้วก็ต่อด้วยเมนูหมูกันบ้างเนอะ
อย่างที่ทราบกันดีว่าที่ดูไบไม่มีหมูให้ดิฉันกินนะคะ วันๆกินแต่อกไก่ ไข่ต้ม
พอเจออะไรที่เป็นหมูๆก็จะพุ่งเข้าไปด้วยความไวแสง
เขาบอกว่าเป็นเบอร์เกอร์หมูอะ ดูแบบแข๊กแขกมากๆเลย
รู้สึกว่าไปไหนไม่พ้น วนกลับมาหาอะไรแขกๆ ผงกะหรี่เยอะๆเงี้ย
เริ่มจากอุ่นแป้ง ผัดหมู ใส่เครื่องปรุงรสที่ใส่เยอะมากจนกลัวว่าจะเป็นโรคไต
ผ่ามผ้ามมมมมมมม เหมือนกินเคบับแต่เป็นไส้หมูอะ กลิ่นแกงกะหรี่อินเดีย มีความฟิวชั่นแบบแปลกๆ
จำราคาไม่ได้แล้ว อันนี้ไม่ต้องไปกินก็ได้ ไม่ได้ว้าวมากมาย
(อาจเป็นเพราะชินกับรสชาติแบบนี้ก็ได้นะ)
ตัดภาพมาที่อะไรเฮลตี้เพื่อสุขภาพบ้าง นี่คือแผงผลไม้ที่ทุกอย่างใหญ่จัมโบคูณสี่ไปอี๊ก
ส่วนนี่เราไม่ได้ซื้อ แต่ไปยืนเนียนชิมฟรีมาสองชิ้น
คือตั้งใจว่าจะวนกลับมาซื้อแหละหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการกินของคาวต่างๆนานา
แต่พอกลับมาพบว่าหมดแล้ว สะเทือนใจมากจ้ะ
คือแก๊ มันอร่อยมากกกกกกกกกกก เนื้อเค้กนวลเนียนดึ๋งดั๋งที่สุดดดดดด
ไหนๆก็กินเนื้อกินหมูมาแล้ว ไก่ย่างบ้างก็ได้อะ
มันอร่อยดีแต่เขาใส่ผงปรุงรสมาเยอะมากกกกกกกกกก โซเดียมทะลุล้านแน่นอน
ทุกอย่างที่นี่ใส่ผงปรุงรสกันเกือบหมดเลย ฮือ โมโนโซเดียมกลูตาเมทที่แท้จริง
มาถึงของหวานกันบ้างดีกว่า
เราเป็นคนชอบกินแป้งหยุ่นๆแบบแป้งโมจิอะไรแบบนี้เป็นชีวิตจิตใจ
และฟ้าก็ส่งร้านนี้มาให้เรา ฮูเร่
เป็นแป้งกลมๆ ไส้ถั่วต่างๆ เราไม่ชอบกินถั่วบดๆ นอกจากหนมเปี๊ยะครูสมทรง
เลยเลือกเอางาดำมาแทน (จริงๆมันก็ถั่วอะ แต่มันไม่รู้สึกว่าเป็นถั่ว นึกออกมะ)
ด้านนอกเขาคลุกกับถั่ว หอมเชียวล่ะ
ความรู้สึกเหมือนกินบัวลอยน้ำขิงแบบแห้ง
อยากเดินไปซื้อน้ำขิงร้อนมาแล้วก็หย่อนก้อนนี่ลงไป จะฟินมาก
อร่อยดี ฝืนคอไปหน่อย แต่เราก็กินคนเดียวจนหมดนะ ฮา
ร้านตรงข้ามคือร้านเสริมสวย จัดแต่งทรงคิ้วด้วยเส้นด้าย
มีสาวๆมาใช้บริการมากมายหลายคน
มีความโลคอลมากๆ
เนื่องจากฝืดคอจากก้อนแป้งไส้ถั่วเมื่อกี้นี้ เลยมากินบิงซู(ที่นี่เขาเรียกว่าซูบิงล่ะ)
มีน้ำแข็งให้เลือกสองแบบว่าเอาน้ำแข็งธรรมดาเป็นน้ำแข็งใส หรือว่าเป็นนมน้ำแข็ง
อันจริงหน้าตาเป็นแบบนี้ล่ะ
เยอะมากกกกกกก ชามใหญ่กว่าหน้าเราไปอีก อร่อยดีนะ
สิ่งที่ประทับใจคือลีลาการบดน้ำแข็งของเฮียเจ้าของร้าน 10 10 10 ไปเลยจ้ะ
(อยากรู้ต้องไปดูเองนะ)
เราเดินวนอยู่อีกสองสามรอบ กินเกี๊ยวนึ่งเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง (ไม่ได้ถ่ายรูปมา ลืม) เดินไปลองเสื้อผ้าที่ร้านค้าแถวนั้น เดินเข้าร้านขายของกุ๊กกิ๊ก ไปเล็งแผ่นมาส์กและลองเครื่องสำอางในร้านบิวตี้ต่างๆ เหนื่อยล่ะ กลับไปนอนพักผ่อนเพราะวันรุ่งขึ้นเรามีแพลนไปเที่ยวตั้งแต่เช้าาาาาา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in