กำแพงที่ยาวที่สุดในโลก
รุ่งเช้าเรามีเวลาไปเที่ยวทั้งวันเลยตัดสินใจเหมารถไปพร้อมกับลูกเรือคนอื่น เพราะจุดหมายปลายทางของการทำไฟล์ทนี้ที่แท้จริงของพวกเราทุกคนคืนการไปปีนกำแพงเมืองจีนนั่นแหละ (ถ้าไม่ใช่เพราะอยากมาเห็นกำแพงซักครั้งในชีวิตก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะทำไฟล์ทนี้ - มิตรสหายลูกเรือท่านหนึ่งกล่าวไว้)
เราเจอลุงคนขับตอนเจ็ดโมงครึ่ง เป็นคุณลุงอายุประมาณ 50 กว่าปีที่ใช้เสียงเรียกเข้ามือถือเป็นเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ พูดอังกฤษไม่ได้(ซึ่งจอร์จก็ได้พยายามคุยกับลุงผ่าน google translate) และในรถเปิดเพลงจีนแอโรบิคแบบที่อาม่าเต้นกันในสวนลุม
ครื้นเครง รื่นเริง บันเทิงใจเหลือเกิน
เรานั่งรถมุ่งหน้าไปที่ Mutianyu Great Wall ซึ่งเป็นจุดชมกำแพงเมืองจีนที่ใกล้กับกรุงปักกิ่งมากที่สุด ซื้อบัตรเข้าไป 190 หยวน
ไล่มาจากฝั่งซ้ายมือ ใบแรกเป็นบัตรเข้าพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับของโบราณที่ขุดพบในบริเวณกำแพงเมืองจีน ใบที่สองคือบัตรสไลด์เดอร์ที่เราจะเล่นตอนลงมาจากกำแพง ใบที่สามคือตั๋วนั่งกระเช้า และใบสุดท้ายคือตั๋วรถบัสรับส่ง
ก่อนไปปีนกำแพงเราก็เข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งเราค้นพบป้ายในห้องน้ำที่น่าสนใจ ดังนี้
แอบสงสัยว่ามัน Only in China หรือว่ามันใช้คำแบบนี้กันทั้งโลกนะ....
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็เดินไปขึ้นรถบัสขึ้นไปบนเขากันจะ สองข้างทางก็เป็นร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกกุ๊กกิ๊กน่ารักแต่โคตรแพง ต้องต่อเยอะๆ ซึ่งเราผู้มีสกิลการต่อราคาของเท่ากับศูนย์ก็ขอบายยยยย ไม่ซื้อ ไม่สบตา ไม่เดินเข้าใกล้แผงใดๆทั้งสิ้น กลัวววว
วกกลับมาเรื่อง Mitianyu กันต่อ คือจากที่เราอ่านป้ายนี่นั่นนู่นโน่นก็สรุปใจความได้ว่า จุดนี้เป็นจุดที่ดีที่สุดสำหรับการชมกำแพงเมืองจีน เนื่องจากมีหอสังเกตการณ์ 3 จุดที่หาชมได้ยาก มีทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตรึงใจทั้งทางธรรมชาติที่งดงามทั้ง 4 ฤดู และทัศนียภาพของกำแพงเมืองจีนที่ทอดยาวไปตามไหล่เขาเหมือนกับมังกรที่กำลังบินขึ้นลงไปตามเหลียมผา
บัสมาจอดตรงสถานีบนเขา จากจุดนี้เราก็จะนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปด้านบน เราเป็นบัดดี้คู่กันกับอินนา ลูกเรือชาวเกาหลี จริงๆแล้วเขามีกระเช้า 2 แบบคือแบบที่เรานั่งกับแบบที่เหมือนกับนองปิงที่ฮ่องกง (แน่นอน เราเลือกอันที่ถูกกว่า) และสำหรับใครที่มีเวลาก็สามารถเดินเท้าขึ้นไปที่กำแพงได้นะจ๊ะ
สำหรับตัวกระเช้าค่อนข้างเก่านิดหน่อย มีเสียงแก๊กๆพอให้ตื่นเต้นลุ้นระทึก
ต้นไม้เขียนขจีเต็มไปหมดเลย รู้สึกได้ถึงอากาศบริสุทธิ์ อาหหหหหหห์
กำลังจะหายใจเข้าไปเต็มปอด อินนาออนนี่ก็เตือนว่า ไหนเมื่อคืนอากาศมันแย่ไง! อย่าสูดเยอะ!!
และแล้วเราก็ขึ้นมาถึงฮะ ครั้งหนึี่งในชีวิตกับการเหยียบกำแพงเมืองจีนนนนนนนนนน ไฟนอลลี่เว้ยยยยทุกคนต่างกระจัดกระจายไปถ่ายรูปกันยกใหญ่ หยิบกล้อง DSLR บ้างล่ะ Gopro งู้นงี้ออกมาแชะภาพถ่ายคลิปกันใหญ่
จากตรงจุดลงจากกระเช้า เราเลือกเดินมาทางซ้ายมือ ทะลุป้อมปราการมาเรื่อยๆซึ่งทางค่อนข้างชันเลยแหละ ขึ้นลงสลับกันเยอะมาก เหนื่อยเหลือเกิน
มีปืนเหล็กที่ใช้กันในสมัยก่อนให้ดูด้วยเด้ออออ
วิวสวยจริงๆแหละ ภูเขางดงามเขียวขจีมากๆ
เอามือไปแตะพอ ไม่ขีด ไม่เขียนอะไรใดๆ
Take only memories, leave only your footprint. เด้อออออ
อันนี้เราปีนขึ้นไปด้านบนของหอสังเกตการณ์ ได้ภาพนี้มา
จะเห็นว่ากำแพงมันทอดยาวไปไกลสุดสายตาเลย
สังเกตดีๆที่ภูเขาตรงกลางภาพก็จะเห็นแนวของกำแพงอยู่
พอมายืนดูอะไรแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเรานี่ตัวเล็กจริงๆ และกำแพงเมืองจีนนี่มันสุดมาก
เออ This is The Great Wall. จริงๆแหละ
ความ Man-made นี่มันน่าทึ่งดีนะ เอาจริงๆมนุษยชาติเป็นเผ่าพันธุ์ที่สร้างสรรค์อะไรได้มากมาย
และทำลายล้างอะไรไปเยอะแยะมาก เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความทะเยอทะยานสูงมากจริงๆ
เนี่ย ทางมันขึ้นชันมากจริงๆแหละ เดินขึ้นกันจนหอบ
เหนื่อยสุดแต่ก็ใจสู้เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนอื่นเริ่มเหนื่อยๆเนือยๆก็เดินกลับล่ะ
อ้อ... มีอีกเรื่องนึงที่พีค(สัสๆ) คือ ภาพนี้ค่ะ....
ด้วยรักจากทะเลทราย สะเทือนใจนำเสนอ
กำแพงเมืองจีน กำแพงที่ยาวที่สุดในโลก และ เสาโทรศัพท์ !!!!
ไอ้เชี่ย!
ใครสั่งใครสอนให้เอาเสาโทรศัพท์มาตั้งข้างๆมรดกโลกวะ!?
พีคไปอี๊ก ช็อกมาก สะเทือนใจสุด....
หลังจากที่เดินปีนกันจนเหนื่อยก็ลองเดินมาอีกทางนึงบ้าง(เลี้ยวซ้ายจากจุดลงกระเช้า) ก็พบกับมุมถ่ายรูปตามประเพณีนิยม ฝั่งนี้เดินง่ายกว่ามาก เป็นทางเรียบๆตรงๆ ใครจะพาญาติผู้ใหญ่มาเที่ยวก็จงเลือกเดินทางนี้นะ อีกทางมันทรหดเกิ๊นนนนนน
พอเริ่มเที่ยงๆมนุษย์ก็เริ่มขวักไขว่ ต้องเดินหลบมุมกล้องกันไปมา
ชอบรูปนี้ที่สุดตั้งแต่ถ่ายมาตลอดเช้า
ไหนๆก็มาแล้ว โดดเป็นที่ระลึกไว้หนึ่งภาพ ได้มาเหยียบแล้วนะจ๊ะ เย้เฮ
ทีนี้ก็ได้เวลาลงแล้ว ซึ่งตั๋วขาลงของเราคือตั๋วเล่นสไลด์เดอร์! มันก็เป็นที่นั่ง มีคันโยกให้บังคับความเร็วแล้วก็สไลด์ลงมาเรื่อยๆ สนุกดีแหละ
คุณลุงคนนี้ตลกมาก แกนั่งทายว่าแต่ละคนมาจากประเทศอะไร
ซึ่งรอบนี้เราโดนมาเลเซียจ้าาาาา พอบอกว่าหว่อชื่อไท่กั๋วเหรินปุ๊บลุงแกก็สวัสดีคร้าบบบบบบ
และอธิบายทุกอย่างเป็นภาษาไทยว่าแบบนี้คือไปช้าๆ ดึงแบบนี้คือไปเร็วๆ ฮามากกกก
สไลด์ฟู่ววววลงไปแบบไม่มีเบรก สนุกดีแหละ
จากนั้นเราก็เดินเข้าไปดูในพิพิธภัณฑ์นิดๆหน่อยๆระหว่างที่คนอื่นๆช้อปปิ้งซื้อที่ติดตู้เย็น จากนั้นก็หลับยาวจนกลับมาถึงโรงแรม เรากับอินนาข้ามไปที่ห้างฝั่งตรงข้ามโรงแรมเพื่อหาอะไรกิน ก็ไปจบที่ร้านบะหมี่ซักอย่างที่รสชาติปะแล่มๆแปลกๆดี
แต่ที่อร่อยๆจริงๆคือสิ่งนี้ มันเป็นชาสมุนไพร เรียกว่าอะไรไม่รู้แหละ เราเคยเห็นตอนที่ไปกินชาบูมองโกเลียที่ดูไบ(เป็นร้านประจำของเราเอง อร่อยมากกกกกกกก) แล้วโต๊ะข้างๆสั่งกันหมดเลย พอมาถึงที่นี่ก็เอาวะ ลองบ้าง เฮ้ยยยยยยย มันดีมากกกกกกกกก อร่อยยยยยยยยย ไปลองงงงงงงงงงง
จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เราหลับยาวววววววววว จนกระทั่งเวคอัพคอลตอนเช้าวันรุ่งขึ้น กลับไปต่อสู้กับไฟล์ทต่อ แต่ขากลับค่อนข้างโอเคเพราะผู้โดยสารน้อยม๊ากกกก ร้อยนิดๆเท่านั้น ก็นั่งถ่างตาเม้ามอยกันไปจนกระทั่งแลนด์ที่ดูไบนั่นแหละ
และก็ไม่ลืมถ่ายรูปซิกเนเจอร์ ด้วยรักจากกำแพงเมืองจีนนนนนนนน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in