31 December 2016
สวัสดีวันสุดท้ายของปี
เราลุกจากเตียงตอนประมาณหกโมงครึ่ง ทั้งๆที่นอนหลับไม่ค่อยสนิททั้งคืนแต่ก็ตื่นด้วยความสดชื่น รีบไปเปิดหน้าต่างดูแสงแรกของวันสุดท้ายของปี
เป็นช่วงเวลาสั้นๆในตอนเช้าที่อากาศข้างนอกอยู่ที่ประมาณ 2 องศา เรายืนมองแสงแดดอุ่นๆ รถวิ่งไปมา คนขี่จักรยานและคนเดินบนทางเท้า เป็นโมเม้นที่คิดอะไรเกี่ยวกับชีวิตไปเรื่อยเปื่อย
แปดโมงเช้าเราโดดขึ้นรถไปพร้อมฟง กินข้าวเช้าที่สตาร์บัคตรงสถานีโอซาก้า เราสั่ง Soy Latte และแซนวิชเบคอนราดซอสแอปเปิลมัสตาร์ด อร่อยมากเลยล่ะ
ความใส่ใจเล็กๆน้อยๆที่สุดแสนจะญี่ปุ๊นญี่ปุ่น
จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้คือการไป ศาลเจ้าจิ้งจอก หรือ ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ นั่นเองงงง (โปรดจินตนาการเสียงพากย์แบบทีวีแชมเปี้ยนด้วยนะจ๊ะ)
เรื่องของเรื่องคือตอนแรกเราก็กะว่าจะเดินช้อปปิ้งกินวนไปแถวๆนัมบะนั่นแหละ ก็แหม่...ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นป้ายเซล 50% ทั้งนั้นเลย จะปีใหม่ก็งี้ ทุกสิ่งทุกอย่างช่างน่ารักน่าซื้อไปหมดเล้ย แต่ขุ่นแม่ฟงอยากไปถ่ายรูปเก๋ๆชิคๆ นางเอารูปมาให้ดูว่าอยากไปที่นี่อะ อยากมีฟิลลิ่งแบบวิ่งผ่านโทริอิสีแดงแบบในหนังเรื่องเกอิชา
โอเค ทริปสานฝันขุ่นแม่ เริ่มค่ะ!
จากสถานีโอซาก้า เรานั่งไปที่เกียวโต และเปลี่ยนสายไปลงที่สถานีอินาริ ซึ่งพอไปถึงปุ๊บก็พบกับคนเป็นล้านนนนน เฮ้ย... ลืมไปเลยว่าวันนี้เป็นวันสิ้นปีนี่หว่า ผู้คนต่างหลั่งไหลมาที่นี่ซึ่งเป็นศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าอินาริทั้งหลายในญี่ปุ่น (และเป็นศาลเจ้าอันดับหนึ่งสำหรับมาขอพรปีใหม่อีกด้วย! ซึ่ง...เราก็มากันในวันสิ้นปีนะฮะ)
มีร้านรวงน่ารักตั้งเรียงรายตลอดสองข้างทางที่จะเข้าไปยังศาลเจ้า กะว่าเดี๋ยวจะต้องมาเดินดูแน่นอน!
คนเยอะมาก แต่ไม่ได้เบียดเสียดยัดเยียด ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไหลตามคลื่นมนุษย์มาเรื่อยๆก็ถึงแล้วจ้ะ
สังเกตว่าตรงทางเข้ามีรูปสลักจิ้งจอกล่ะ
มีตำนานมากมายเกี่ยวกับจิ้งจอกและศาลเจ้าแห่งนี้
แต่โดยสรุปแล้วคือจิ้งจอกเป็นตัวแทนที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และพืชพรรณธัญญาหาร
สำหรับรูปสลักหน้าศาลเจ้า ตัวนึงจะคาบกระบอก อีกตัวนึงจะคาบลูกแก้วไว้
ก่อนที่จะเข้าด้านในก็ต้องล้างมือ บ้วนปากให้สะอาดก่อนนะคะ
(คือเห็นเขาทำกัน เลยไปมุงๆดูบ้าง มีป้ายภาษาอังกฤษอธิบายขั้นตอนไว้จ้ะ)
พอเข้ามาปุ๊บก็จะเจอกับโต๊ะ information สำหรับนักท่องเที่ยว
เราก็ได้รับแผนที่พร้อมคำอธิบายภาษาอังกฤษโดยย่อเกี่ยวกับศาลเจ้า
และแผนพับเกี่ยวกับมรรยาทและข้อควรปฏิบัติของนักท่องเที่ยว
เราเริ่มไหว้จากตรงอาคารหลักก่อนและตัดสินใจว่าไหนก็มาแล้ว ก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาเลยก็แล้วกัน
การเดินทางจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงโดยประมาณ
เป็นการไหว้ขอพรปีใหม่ที่จริงจังมาก
สำหรับเราผู้มาเหยียบญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก (รอบแรกที่ตายอยู่ในห้องขอไม่นับ)
การเห็นโทริอิเรียงรายไปตามทางครั้งแรกนั้นมันสุดยอดมาก
แบบโอ้ยยยย กูมาถึงญี่ปุ่นแล้วว้อยยยยยยยยยยยย
(หวีดร้องอยู่ในใจ)
เดินไปเรื่อยๆจะไปถึงจุดที่มี หินโอโมะคารุ-อิชิ ซึ่งเป็นหินเสี่ยงทาย โดยให้ตั้งคำถามไว้ในใจ ถ้ายกแล้วหินเบาแสดงว่าดี ซึ่ง... จุดนี้คนเยอะมากกกกกกกกกกก เยอะจนไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้จ้า
จุดนี้คือจุดที่มีโทริอิหนาแน่นมาก ซึ่งความสูงของเสาจะเตี้ยลงกว่าทางด้านหน้า
ตรงนี้แยกเป็นทางขึ้นกับทางลง
สำหรับ กระดานขอพร หรือ เอมะ ของที่นี่น่ารักมากกกกกกกกก เป็นรูปจิ้งจอกและให้วาดหน้าตาเติมเอาเองด้วย ซึ่งเราก็ไปยืนเล็งๆอันที่เราชอบมาได้ ดังต่อไปนี้...
อันนี้แบ๊วๆน่ารัก ปกติ
ชอบบบบบบ เห็นปุ๊บแล้วขำเลย
ไปขอสาวๆถ่ายรูปมาด้วยล่ะ อยากใส่บ้างแต่รู้สึกว่าอากาศหนาวเกินไป...
ด้านหลังของโทริอิจะสลักชื่อและวันที่ไว้
ยิ่งขึ้นมาสูงก็ยิ่งหนาวและอากาศเริ่มชื้นขึ้นเรื่อยๆ เวลาพูดแล้วมีไอออกมาจากปากด้วยล่ะ
เราก็ไม่ย่อท้อ ปีนบันไดกันต่อไป
เรามานั่งแวะพักที่จุดชมวิว
กดชาเขียวมานั่งดื่ม (ชาเขียวคิริน ไม่หวาน อร่อยม๊ากกกก)
เริ่มเมื่อยแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงซะที เริ่มเถลไถลไปดูร้านขายของที่ระลึกตามทาง ฮา
มีคนเอาสาเกและโทริอิจิ๋วมาถวายด้วยล่ะ
ระหว่างทางมีแผนที่และป้ายบอก เมื่อไรจะถึง เริ่มหอบแล้วจ้า
เกือบแล้วจ้า อีกนิดเดียวเท่าน้านนนน
ถึงแล้ว ไฟนอลลี่ กับการเดินต๊อกแต๊กขึ้นมาชั่วโมงครึ่ง (ไม่รวมเวลาถ่ายรูปให้ขุ่นแม่)
ต่อแถวไหว้ขอพร โยนเหรียญ สั่นกระดิ่ง
ตอนลงนี่ง่ายมาก ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็โผล่มากระพริบตาสู้แสงแดดและมนุษย์มหาศาลด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้า เที่ยงพอดีก็ได้เวลาหาของกินนนน วู้ฮู้ววววว
สิ่งนี่ช่างน่าเย้ายวนใจเสียเหลือเกินนนนน
เราเป็นมนุษย์แป้ง รักการกินคาร์โบไฮเดรต
สามารถกินขนมปังเปล่าๆไปเรื่อยอย่างมีความสุขจนบางทีก็คิดว่าชาติที่แล้วเราอาจเกิดเป็นปลาสวาย
สิ่งนี้เลยตอบโจทย์ คืออะไรก็ไม่รู้ เป็นแป้งนุ่มๆหยุ่นๆ
ปิ้งร้อนๆ ราดซอสหวานๆ สนนราคาอยู่ที่ 500 เยน
ส่วนอีกเมนูที่ลองคือหมูย่าง เป็นหมูส่วนที่เป็นเบคอนหนาๆอะ ย่างร้อนๆ
โห พีคมาก แสงพุ่งสุด ชิ้นใหญ่หนานุ่ม 500 เยนเช่นกัน
ซึ่ง...ลืมถ่ายรูป มัวแต่กิน รู้ตัวอีกทีก็ซัดเกลี้ยงไปหมดแล้วจ้า
ขนมอื่นๆก็มีเด้อ มีร้านขายตุ๊กตุ่นตุ๊กตาด้วยนะ
ทุกอย่างล้วนน่ารักน่าอร่อย อยากกินไปหมดเลย
แต่เราก็ไม่ได้กินทุกอย่างที่อยากกินเพราะโดนขุ่นแม่ลากไปขึ้นรถไฟก่อน ต้องรีบทำเวลากลับไปกินข้าวและนอนก่อนไปบิน ซึ่งอาหารกลางวันวันนี้ ขุ่นแม่ฟงมาไปกินซูชิที่อิเซตันตรงสถานีเกียวโตและนั่งรถไฟกลับโอซาก้า
ระหว่างทางกลับเรานั่งรถไฟที่เป็น Local ไม่ใช่ Rapid เลยได้เห็นวิวสองข้างทางที่น่ารัก
พอถึงโอซาก้าเราก็ขอแยกไปซื้อของจุ๊งจิ๊งเล็กน้อยจากร้านค้าแถวสถานี (ชื่อร้าน ร้าน kokoschka ล่ะ เราได้เครื่องสำอางนิดหน่อยและสมุดจดเล่มใหม่สำหรับปี 2017 ) จากนั้นก็นั่งรถบัสฟรีกลับโรงแรม ซึ่ง...ถามว่ากลับมาเร็วแล้วได้นอนพักก่อนไปบินมั๊ย ก็ไม่อะ เพราะด้วยความที่เวลามันต่างจากดูไบมาก ร่างกายเราเลยรวน เหนื่อยและอยากนอนมากแต่ก็นอนไม่หลับ ทรมานใจเหลือเกิน
สำหรับไฟล์ทขากลับนั้นคือสวรรค์ที่แท้จริงเพราะมีผู้โดยสารเพียง 84 คนเท่าน้านนนนน งดงามเหลือเกินและ 30 นาทีหลังเทคออฟจากสนามบินก็เข้าสู่ปีใหม่ เราประกาศให้ผู้โดยสารทราบและเฮกันอยู่ในแกลลี่หลังเครื่องและตั้งเวลาตามไทม์โซนที่เครื่องบินจะผ่าน ก็เฮ Happy New Year กันทุกรอบจนมาถึงดูไบ
ก็... นี่แหละไฟล์ทสุดท้ายของปี ขอให้ปีหน้ามีแต่เรื่องสนุกๆมาเล่าให้อ่านกันน้า
ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามกันมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา
ขอให้ปี 2017 เป็นปีที่ดีของทุกคนเลยนะจ๊ะ
ด้วยรัก...จากใต้เงาโทริอิ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in