ไฟล์ทที่เป็น "ที่สุด" ของเดือนกุมภาพันธ์
และที่สุดของความพีคในเดือนนี้ เราขอมอบให้กับไฟล์ทสุดท้ายปลายเดือน นั่นก็คือ
วอชิงตัน ที่เรารู้สึกว่าไม่อยากไปเลย กลัวเหลือเกิน และมีความตะหงิดในใจแปลก ๆ ปน ๆ กับความขี้เกียจ เพราะมันเป็นไฟล์ทยาว ไปอเมริกา ที่บินด้วยเครื่อง A380 ซึ่งหมายความว่าเครื่องใหญ่ ผู้โดยสารเยอะ เวลาไปพักเบรกน้อยลงกว่าเวลาบินด้วย B777 และได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่าไฟล์ทนี้ยุ่งมากเหลือเกิน ผู้โดยสารที่น่ารักไม่หลับไม่นอนกันเล้ย (จริง ๆ มันก็ยุ่งทุกไฟล์ที่เข้ายูเอสนั่นแหละนะ เฮ้อ... แต่เพราะเวลาเราบิน 777 จะมีเวลาเบรกไปพักไว้ปลอบใจว่ายุ่งแค่ไหนก็หนีไปนอน!)
เดชะบุญที่ไฟล์ทขาไปไม่เต็มมาก มีพื้นที่ให้ผู้โดยสารได้เหยียดแข้งเหยียดขานอนพักหลับกันบ้างเลยไม่ยุ่งในระดับเครื่องแตกอย่างที่กังวลใจไว้แต่อย่างได้ และได้ Lower Deck Crew Rest Compartment ซึ่งก็คือที่พักของลูกเรือไปหลบอยู่ในคาร์โกจ้า ไม่ได้อยู่ท้ายเครื่องแบบปกติ เลยได้ขยายเวลาในการพักไปนอนมากกว่าเดิมนิดนึง ซึ่งก็ช่วยชีวิตไว้ได้มากโขเลยทีเดียว
แต่ แต่ แต่! เวลาเลโอเวอร์ที่วอชิงตันนั้นยาวเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้นนะเออ หมายความว่ากว่าผู้โดยสารจะยุรยาตรออกจากเครื่องจนหมด กว่าจะผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่นานเหลือเกิน ไหนจะต้องมานั่งบัสไปโรงแรมอีก สรุปคือเรามีเวลาในการเรียกฟื้นร่าง เรียกวิญญาณให้กลับเข้ากายหยาบเพียงแค่ 20 ชั่วโมงเท่านั้นแหละคุณเอ๊ย
การมาวอชิงตันก็เหมือนการไปนิวยอร์กนั่นแหละ
ไม่เคยจะได้เห็นเทพีเสรีภาพฉันใด ก็ไม่ได้เห็นทำเนียบขาวฉันนั้น
แต่ในความเหนื่อยละร่างพังนั้นก็มีเรื่องกุ๊กกิ๊กที่ชวนให้ใจฟูอยู่สองเรื่องนะเออ เรื่องแรก คือ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ไม่ได้รักเด็กม๊ากมากอย่างเรา (เป็นแอร์ค่ะ ไม่ใช่นางงาม ไม่ได้รักเด็กเด้อ) แต่ดันรู้วิธีเล่นกับเด็ก รู้ว่าทำแบบนี้เด็กจะชอบ เพราะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องสาวมาแต่เล็กแต่น้อย ได้ไปผูกมิตรกับ
น้องวิลเลี่ยม อายุ 5 ขวบ เป็นลูกครึ่งเอเชียนอเมริกันที่น่ารักมากกกกกกกกก (ก.ไก่ล้านตัว)
เรื่องของเรื่องคือตอนผู้โดยสารกำลังออกจากเครื่อง และเรายืนอยู่หน้าประตูทางออกพอดี น้องวิลเลี่ยมก็เดินมาพร้อมครอบครัวและวิ่งมาถามว่า
Can I see the captain, please? แล้วก็ทำตาโตปิ๊ง ๆ ใส่เรา
โอ้ น่ารัก พูดเพราะ say please (ที่หาได้ยากยิ่งจากเด็กแขกต่าง ๆ ไม่ว่าจะแขกกัลฟ์หรือแขกอินเดีย ปากี ฮือออออออ ปริ่มใจเหลือเกินลูกเอ๊ย) เราก็ Yes, of course! น้องเลยเดินมาจับมือ แล้วเราก็พาไปหาทีมนักบินให้พาน้องเข้าไปดูนั่นนี่ คุณพ่อคุณแม่ของน้องก็ขอบคุณใหญ่เลย น้องก็เดินยิ้มแป้นมา Say Thank you เองโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้บอกให้พูด โอ้ (เอามือกุมหัวใจ น่ารักกกกกก)
พอนั่งบัสไปที่อาคารผู้โดยสาร เราเลยเดินไปนั่งด้วย แล้วก็ชวนคุยเรื่องเครื่องบิน ชี้ให้ดูว่านั่นคือเครื่องบินลำเล็กนะ วิลเลี่ยมเคยนั่งมั๊ย โตขึ้นอยากเป็นนักบินใช่รึเปล่า มีความคุยกุ๊กกิ๊กกันอยู่สองคนมาก ๆ ตอนบ๊ายบายกัน น้องก็โบกมือให้เราแบบสุดแขนจริง ๆ
เราว่าตอนนี้ที่เรามานั่งเขียนเล่าให้ทุกคนอ่าน
น้องก็คงจำหน้า จำชื่อเราไม่ได้หรอกว่าเราเป็นใคร หน้าตาแบบไหน ชื่ออะไร
แต่เราเชื่อว่าน้องจะจำเที่ยวบินวันนี้ได้
น้องจะจำความตื่นเต้นที่ได้ไปคุยกับกัปตันและได้เห็นห้องทำงานที่เล็กที่สุดในโลก
และหวังว่าน้องจะได้รับแรงบันดาลใจไม่มากก็น้อยจากไฟล์ทนี้
เหมือนกับตอนเด็ก ๆ ที่เรานั่งเครื่องบินครั้งแรก
แล้วเจอพี่แอร์มาดูแลตลอดการเดินทางซึ่งเป็นภาพจำที่ทำให้เรารู้สึกว่า
เราอยากเป็นความทรงจำดี ๆ ของใครซักคนบนโลก
แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม
และนอกจากเรื่องของน้องวิลเลี่ยมแล้ว อีกเรื่องนึงก็คือได้รับของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากผู้โดยสารค่ะ เขาเป็นผู้โดยสารชาวฟิลิปปินส์ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่สิบกว่าปีแล้ว เราได้รับคำชมจากเขาว่าเรายิ้มตลอดเวลาเลยนะ แม้ว่ายูจะดูเหนื่อยมาก ๆ แต่ก็ยังคงสดใส ขอให้ยิ้มแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นะ Keep Shining! แล้วก็ให้นกกระดาษนี้มาค่ะ
อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบเรื่องของน้องวิลเลี่ยมหรือคุณผู้โดยสารเจ้าของนกกระดาษหนึ่งดอลล่าร์นี้ก็เป็นสิ่งที่่ทำให้เรายังคงทำงานนี้อยู่ต่อไปนะคะ มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ทำให้ใจฟูและเป็นกำลังใจในการทำงานในทุก ๆ วันของเรา
แน่ล่ะ ว่าเรามาทำงาน พอจบไฟล์ทก็จบกัน ปลายเดือนก็รับเงินเดือน แต่เรื่องราวแบบนี้เราคิดว่ามันเป็นโบนัส เป็นกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นความสุขประจำวันที่หล่อเลี้ยงให้ชื่นชีวิตชูชีวาต่อไป และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงรักในตัวอาชีพนี้ค่ะ :)
สำหรับไฟล์ทขากลับนั้นก็... เฮ้อออออออ... ที่เฮ้อย๊าวยาวนี่ก็ไม่ใช่เพราะไฟล์ทยุ่งอะไรหรอกค่ะ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ระดับความง่วงอยู่ที่ระดับการเดินไปบิสเนสคลาสเพื่อทำ espresso double shot รวมทั้งสิ้นสามรอบเพื่อให้มีสติสัมปะชัญญะอยู่รอดตลอดไฟล์ท กายหยาบนั้นยืนอ๊องกดทำกาแฟอยู่ในแกลลี่ ส่วนกายละเอียดคืออยู่เตียง ห่มผ้า นอนเรียบร้อยแล้วเด้อ
อะ ก็คิดแล้วว่ากลับบ้านไปจะอาบน้ำ กินอะไรนิดหน่อยไม่ให้ท้องว่าง แล้วก็นอนยาวไปเลยจ้า แต่! ความซวยมาเยือนเมื่อเรากำลังจะลดระดับเพดานบินลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบค่ะ
ลูกเรือพร้อม ผู้โดยสารพร้อม เครื่องบินก็พร้อม
แต่สนามบินไม่พร้อม!
เช้าวันนั้น ฝนตกหนักที่ดูไบ! ชาวเมืองทะเลทรายผู้ไม่คุ้นชินกับฝนก็แตกตื่นจ้า อากาศแย่จ้า หมอกลงจัดมาก ฝนก็กระหน่ำ เอาเครื่องลงไม่ด๊ายยยยย นักบินเลยประกาศว่าเราจะต้องบินวน on hold กันประมาณ 20 นาทีนะจ๊ะ
ภาพจำลองของข้าพเจ้าหลังจากได้ยินกัปตันประกาศว่าจะต้องบินวน
อะ วนไปจ้ะ วนไปจนครบ 20 นาที เราก็คิดว่าเอาละ นี่คงเป็นการวนเลี้ยวรอบสุดท้ายก่อนที่เครื่องจะลงจอด แต่แล้วกัปตันก็ประกาศอีกรอบว่า... น้ำมันจะหมดแล้วจ้าาาาา แลนด์ไม่ได้เด้อ ต้องไปลงที่สนามบิน Al Ain (อีกเมืองนึงของยูเออี) เราจะไปเติมน้ำมันแล้วกลับมาใหม่หลังจากสภาพอากาศดีแล้ว...
โอ้โห้ อิฉิบหายยยยย
(ถือว่าเซนเซอร์แล้วนะจ๊ะ)
ภาพจำลองของข้าพเจ้าหลังจากได้ยินกัปตันประกาศว่าจะ divert
โอ้ยยยยยย ไฟล์ทก็ยาว เหนื่อยก็เหนื่อย คิดว่าจะกลับบ้านไปนอน แต่นี่อะไร ต้องไปลงอีกสนามบิน แล้วยังไง ต้องเติมน้ำมัน และไม่รู้ว่าอากาศมันจะดีเมื่อไรเนี่ยนะ อะไรกันวะเนี่ย นี่มันวันอะไรของกู๊วววว ผู้โดยสารก็เริ่มเลิกลั่กแล้ว ยังไงดี มีไฟล์ทที่ต้องต่อ จะทำยังไง นั่นนี่นู่นโน่น ทั้งเคบินวุ่นวายมาก เราก็ต้องบอกว่ายู นั่งก่อน เดี๋ยวจะแลนด์อีกสนามบินนึงแล้ว ใจเย็นก่อนนนนนนนน
พอถึงที่สนามบิน Al Ain ที่อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ สภาพคือเวิ้งว้างว่างเปล่ามาก มีแต่พื้นกับทรายและหอบังคับการบินเล็ก ๆ คือ somewhere in the desert มาก ๆ อะ เราก็เริ่มลุกมาจัดการเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟกาฟงกาแฟ หวังให้ทุกคนไม่ตื่นตระหนก มีอะไรดื่มจะได้สงบสติอารมณ์ลงไปบ้าง แล้วก็รอการประกาศจากกัปตันต่อไปว่าจะยังไงต่อ
และเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่า...
พายุทะเลทรายเข้าว้อยยยยยยยยยยย
จุดนั้นคือสบถในใจว่า เชี่ยอะไรวะเนี่ยชีวิตกู๊ววว ผู้โดยสารข้างในก็งอแงว่าจะนั่งบัสไปดูไบได้มั้ย ข้างนอกก็ลมพัดหวีดหวิวจนรู้สึกว่าเครื่องบินโยกตามแรงลม คือทำอะไรไม่ได้ และต้องติดอยู่ในความวุ่นวายแบบนี้ไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ ใจจริงอยากจะกรี๊ดแล้วก็เปิดประตูกางสไลด์ลงไปเลย บายจ้า พอกันที แต่ก็ทำไม่ได้ไง ชีวิตต้องกินต้องใช้ ต้องมีงานมีเงินเลี้ยงชีพ ฮือออออออออออ
หมอกจาง ๆ หรือควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้
ซึ่งไม่ได้อยากรู้เลยเว้ย อยากออกไปจากที่นี่ กรี๊ดดดดดดดดดด
สุดท้าย เมื่อผ่านไปประมาณชั่วโมงกว่า ๆ กัปตันก็ประกาศว่าจะเอาเครื่องขึ้น จะกลับดูไบแล้วนะเออ ลูกเรือทุกคนก็เฮแบบ เฮออกเสียงกันจริง ๆ ว่าจะได้กลับบ้านแล้วเว้ย และในที่สุดเราก็กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ครบสามสิบสอง แต่สติสัมปะชัญญะขาดหายไม่รับรู้อะไรแล้วจ้า ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ต้องมี ไม่ต้องพบ ไม่ต้องเจอก็ได้ ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตการทำงานเป็นลูกเรือจะขาดหายอะไรไป ฮืออออ พอ ไม่เอาอีกแล้วจ้าาาาา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in