จากนั้นเวนดี้ก็พามาที่ร้าน Barefoot ซึ่งเป็นร้านขายผ้าลินิน ผ้าไหมและผ้าคอตตอนธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี ออแกนิกเป็นที่สุด รวมถึงของแต่งบ้าน งานคราฟท์ทำมือต่าง ๆ ซึ่งผ้าทุกผืน ชุดทุกชุด ผลงานทำมือทุกชิ้น ผลิตโดยกลุ่มแม่บ้านในศรีลังกา มีความ Fair Trade ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาชุมชน โอ้ยยย รักกกกกกกกกก
เราผู้อินกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็เดินชมร้านด้วยความชื่นมื่นประหนึ่งมีซาวด์ประกอบรายการยูทูปของคุณสู่ขวัญเปิดอยู่ในร้าน อุ๊ย อันนั้นก็ดี อันนี้ก็น่ารักกกกกกกกกกกกกก (และก็ได้เดรสมาหนึ่งตัวค่ะ)
และแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาที่เรารอคอย กับร้านอาหาร Ministry of Crab กับการกินปูที่ตัวใหญ่ที่สุดในชีวิต!!!!
ร้านอาหารนั้นแบ่งโซนที่นั่งเป็น 2 ส่วนคือด้านนอกร้านที่นั่งเย็นสบายรับลม ฟังดนตรีสดจากร้านอื่น ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากกัน และด้านในร้านที่มองเห็นครัวเปิด ได้ดูกรรมวิธีในการทำอาหารทุกขั้นตอน
เราได้นั่งที่โซนด้านนอกของร้านค่ะ
Keep calm and crab on!
ที่นี่เขาการันตีว่าปูและกุ้งสดทุกตัว ไม่ผ่านการแช่เย็นนะจ๊ะ
และเขาจะไม่จับลูกปูตัวเล็ก ๆ ที่น้ำหนักน้อยกว่า 500 กรัม
เพราะเขาเชื่อในเรื่องของความยั่งยืนและการสร้างสมดุลเกี่ยวกับทรัพยากรในท้องทะเล
ว่ากันด้วยเรื่อง ปู ?
ที่นี่มีขนาดปูให้เลือกหลากหลายตามความหิว (และกำลังทรัพย์) ของท่าน เริ่มตั้งแต่น้ำหนัก 600 กรัม จนกระทั่งถึงไซส์ Crabzilla ที่มีน้ำหนัก 2 กิโลกรัม!
เราต้องเลือกด้วยความไว เพราะถ้าเลือกช้า ปูไซส์ที่ต้องการอาจจะหมดได้ ต้องเลือกไซส์ที่เล็กลง ทางเรานั้นไม่ไปสุดทางเพราะอยากเลือกลองชิมอย่างอื่นด้วย เลยเลือกไซส์ OMG! ที่น้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม (ที่ตอนหลังก็มาคิดได้ว่าทำไมไม่เอาใหญ่สุดไปเลยว้า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วววว)
เลือกได้ปุ๊บ ก็มีเมนูปูให้เลือกหลากหลาย ทั้ง Pepper Crab - ปูราดซอสพริกไทยดำ ซึ่งพริกไทยดำนี้ก็เป็นราชาแห่งสมุนไพรคู่บ้านคู่เมืองของชาวศรีลังกานั่นเอง หรือ Chilli Crab - ปูราดพริก อันนี้ไม่ขออธิบายเยอะ หน้าตาเหมือนกันกับที่สิงคโปร์นั่นแหละ นอกจากนี้ก็มี Curry Crab - ปูราดแกงกะหรี่ศรีลังกา ที่เขาว่ามันช่างเผ็ดร้อน และเมนูขายดีอันดับหนึ่ง เป็น Signature Dish ของทางร้าน คือ Garlic Chilli Crab นั่นเองงง (ซึ่งเราก็เลือกอันนี้แหละจ้า)
ในรูปดูไม่ใหญ่ แต่ของจริงคือบึ้มมากกกกกกกกก
สุดมาก เนื้อหวานมาก โอ้ ดี ที่ทำงานเหนื่อย ๆ มานั้นหายหมด
เสิร์ฟพร้อมขนมปัง เอามาจิ้มซอสนะ อื้อหืออออออออออออ ฟินนนนนนนนน
และเราก็ลองสั่ง Avocado Crab Salad มาด้วยค่ะ เป็นเนื้อปูคลุกเคล้ากับวาซาบิมายองเนส เสิร์ฟในอะโวคาโด เป็น Perfect combination ทางรสชาติมาก ๆ อร่อย!
มาดูทางฝั่งของกุ้งกันบ้าง ?
น้ำหนักของกุ้งก็เริ่มจากกุ้งแม่น้ำขนาดกลาง ไปจนถึง Prawnzilla ที่น้ำหนักมากกว่า 500 กรัมขึ้นไป มีให้เลือกซอสหลากหลายเช่นเดียวกันกับปูนั่นแหละจ้ะ
และเมนูกุ้งที่เราเลือกมานั้นก็คือ Clay pot Prawn Curry ซี่งเป็นกุ้งสองขนาดที่น้ำหนักรวมกันครึ่งกิโลมาอบกับซอสในหม้อดินเผา จานนี้เนี่ย เขาว่ากันว่าเป็น The best prawn curry in the country เลยนะจ๊ะ
สารภาพว่าเราชอบซอสแกงเผ็ดนี่มากกว่า Garlic Chilli แหละ
ถูกจริตมากกว่าเพราะมีความเผ็ดร้อนของเครื่องแกง โอ้ย ดีดีดีดี กวาดเกลี้ยงอะ พูดเลย
เมนูอื่น ๆ นอกจากปูและกุ้งก็มีนะจ๊ะ เช่น หอยนางรม หอยแมลงภู่ ไก่ ปลา แต่เราไม่ได้สั่ง เท่านี้ก็อิ่มท้องจะแตกตายแบบชูชกละเด้อออ อ้ออออ อีกอย่างหนึ่งที่อยากให้มาลองกันคือ Iced Tea Soda จ้า เป็นเครื่องดื่มพื้นบ้านของศรีลังกาที่ซู่ซ่าไม่แพ้น้ำอัดลมเลยทีเดียว
เรากลิ้งเป็นลูกขนุนกลับไปที่โรงแรม เข้านอนด้วยความสุขใจ รู้สึกว่านี่แหละคือความสุขของชีวิตที่แท้จริงอย่างหนึ่ง กับการที่เราได้ออกมาเปิดประสบการณ์ ออกไปมองโลกกว้าง ได้มีช่วงเวลาที่ดี มีโอกาสได้กินของอร่อยจากทั่วทุกมุมโลก และมีเรื่องราวดี ๆ สนุก ๆ มาบอกต่อเล่าสู่กันฟัง
ดีใจที่ยังสนุกกับทุกวัน และสามารถมองเห็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัวนะ
สำหรับขากลับนั้น ด้วยความที่เราเปลี่ยนโรงแรม เลยต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพราะกลัวว่ารถจะติด แต่รถไม่ติดแหะ เลยมีเวลาไปเดินเล่นดูของในดิวตี้ฟรีประมาณ 45 นาที เราก็เดินวนไปวนมา ไม่รู้จะซื้ออะไร เลยลองซื้อเครื่องปรุงเหล่านี้มาจ้ะ
ข้ามเกลือชมพูไป เพราะที่ไหนก็มี แค่เกลือที่บ้านหมด เราเลยซื้อมา ส่วนพริกไทยเราได้บอกไปแล้วว่าของเขาดีจริง ราชาแห่งเครื่องเทศของศรีลังกาเลยนะเฮ้ย ไม่ซื้อไม่ได้
ส่วนอย่างสุดท้ายนี่นับว่าเป็นของแปลกใหม่ ไม่เคยพบเคยเจอที่ไหน ดูภายนอกมันก็เหมือนไซรัปทั่วไปนั่นแหละ แต่ช้าก่อน! สิ่งนี้มีเฉพาะในศรีลังกาเท่านั้นนนนนน
ไซรัปนี้มาจากต้นปาล์มที่ชื่อว่า Kithul นั่นแหละ และเจ้าต้นปาล์มนี้ก็เจริญเติบโตงอกงามเฉพาะในภูมิภาคแถบนี้เท่านั้น คนที่นี่เขาเลยไม่ค่อยใช้น้ำตาลกันเพราะมีต้นนี้อยู่แล้ว ก็ใช้เจ้าสิ่งนี้ในการเพิ่มความหวานให้กับอาหารทั้งคาวหวานและเครื่องดื่ม สรรพคุณคือมีวิตามินบีสูงมาก เฮลตี้เป็นที่สุดดดดดดด
เราได้ลองแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่หวานจนเกินไป แต่มีกลิ่นและรสที่เป็นเอกลัษณ์เฉพาะมาก ๆ พูดไม่ถูกแหะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ เหม็น หรืออะไรนะ แต่แค่รู้สึกว่ามันแปลกจากสารให้ความหวานอื่น ๆ ที่คุ้นเคยอย่างพวกเมเปิ้ลไซรัป น้ำผึ้ง หรือน้ำหวานดอกมะพร้าว
สำหรับไฟล์ทขากลับที่ยาวสี่ชั่วโมงก็น่ารัก ชิว ๆ ตามสไตล์นั่นแหละ และก็ได้ของขวัญกุ๊กกิ๊กเล็กน้อยจากผู้โดยสารมาอีกแล้วจ้า กล่าวคือ ผู้โดยสารท่านนี้เป็น Gold Member ที่บินกับสายการบินเราเป็นครั้งที่ 126 แล้วจ้าาาาาาา
ได้นูเทลล่ากระปุกปุ๊กปิ๊กมาเป็นรางวัล เย่
พอแลนด์ถึงดูไบปุ๊บเราก็รีบบบบบบบบโบกแท็กซี่ไปสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ ดินแดนทะเลทรายเพื่อไป เลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักร ค่ะ
ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้วนะจ๊ะ มาทั้งยูนิฟอร์มเลยเด้อ
ขอให้บัตรเลือกตั้งเดินทางไปยังนครปฐม เขต 5 โดยสวัสดิภาพ
และมีการนับคะแนนอย่างโปร่งใสถูกต้องตามเจตจำนงด้วยเถิด เพี้ยงงงง
แอร์ทะเลทรายยังไปใช้สิทธิ์!
แล้วคุณล่ะ พรุ่งนี้พร้อมแล้วหรือยัง!?
เราก็ขอใช้โอกาสนี้ในการเชิญชวนเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกท่านนะคะ
อย่าลืมออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันในวันที่ 24 มีนาคมที่จะถึงนี้
(ก็วันพรุ่งนี้นั่นแหละ ถ้าคุณอ่านบล็อกนี้ในวันที่ 23 นะ)
เลือกนโยบายที่ชอบ เลือกพรรคและผู้สมัครที่ใช่
อย่าลืมว่าหนึ่งเสียงของทุกคนมีค่า มีความหมาย
อยากให้ประเทศไทยก้าวหน้าไปในทิศทางใดก็อยู่ในมือของเราแล้วนะคะ :)
และก็ขอจบเรื่องราวของไฟล์ท โคลัมโบ - ศรีลังกา ไว้เพียงเท่านี้ค่ะ
ไฟล์ทหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหน
ฝากติดตาม "ด้วยรัก...จากทะเลทราย" ในตอนหน้าด้วยนะคะ
ด้วยรัก...จากเกาะศรีลังกา มหาสมุทรอินเดีย
ตามไปพูดคุยกุ๊กกิ๊กกันต่อได้ที่
#ด้วยรักจากทะเลทราย
#withlovefromthedesert
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in